ในวันที่ห้าเดือนสิบ หิมะเริ่มโปรยปราย ทว่าวันนี้กลับไม่มีหิมะตก
เมืองหลวงของแคว้นเชินช่างหนาวเหน็บ ทว่าในฤดูหนาวปีนี้ในเขตห่างไกลความเจริญของแคว้นเชินกลับมีเสื้อผ้าขนสัตว์ขาย
เนื้อผ้านั้นทั้งบางเบาและให้ความอบอุ่น ด้วยเหตุนี้จึงเป็ที่นิยมของผู้คนในแคว้นเชินขึ้นมา โดยเฉพาะในหมู่บัณฑิตที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์
ผ้าขนสัตว์นี้ยังเป็ที่โปรดปรานขององค์หญิงอี เพียงแต่ประโยคนี้ลือสะพัดออกไป ผ้าขนสัตว์นี้ก็ได้รับความนิยมเป็วงกว้าง
ในเมืองหลวงร้านค้าที่รับผ้าชนิดนี้ไปขายก็ได้กำไรเป็กอบเป็กำ
คราแรกร้านค้าเ่าั้ยังพากันคิดว่าผ้าชนิดนี้แพงเกินไป ต่อมาจึงได้เสียใจภายหลังที่ไม่ได้นำผ้าชนิดนี้เข้ามา ยามที่ผ้าชนิดนี้เพิ่งจะแพร่หลาย เหล่าร้านค้าก็ล้วนไม่สนใจ คิดว่าในใต้หล้านี้จะมีสินค้าจากที่ใดที่ดีกว่าเมืองหลวงของตนอีก
ไม่คาดคิดว่าองค์หญิงจะทรงโปรดผ้าชนิดนี้ขึ้นมา เดิมทีพวกเขาก็เฟ้นหาสินค้าที่เป็ที่นิยมที่สุดในตอนนั้นไปถวายบัดนี้เหล่าบัณฑิตในแคว้นเชินล้วนคิดว่าการได้สวมผ้าขนสัตว์นี้นับเป็เกียรติของตน ถึงขั้นที่มีบางคนไปยื่นคำร้อง ด้วยหวังว่าสำนักในแคว้นจะสามารถทอผ้าแบบนี้มอบให้ศิษย์ทุกคนได้
วันนี้แม้จะไม่มีหิมะตก แต่สำหรับเหล่าศิษย์ในสำนักเชินแล้ว วันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดวันหนึ่ง เพราะวันนี้สำนักเชินจะประกาศรายชื่อศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดจำนวนยี่สิบคน รางวัลคือโอกาสในการได้เข้าเฝ้าฝ่าาในวังหลวง
ยี่สิบรายชื่อนี้ได้เริ่มเตรียมพร้อมมานานแล้ว
เพียงได้รู้ว่าจะได้เข้าเฝ้าฝ่าา โอกาสนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง ขุนนางบางคนรับตำแหน่งมาแล้วชั่วชีวิตก็ใช่ว่าจะเคยได้รับโอกาสให้เข้าเฝ้าฝ่าาได้ อีกทั้งพวกเขายังเป็เพียงบัณฑิต ทว่ากลับมีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ัของฝ่าาเช่นนี้ ช่างเป็เกียรติที่ประเสริฐที่สุด อีกทั้งในวาระนั้นก็ว่ากันว่าองค์หญิงจะมาเข้าร่วมด้วย ทุกคนจึงหมายมั่นปั้นมือพยายามแสดงฝีมือของตนให้ดีที่สุด
เื่บทกวีนั้นแน่นอนว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้เช่นกันว่าฝ่าาจะตั้งโจทย์ว่าอย่างไร ทว่าเหล่าบัณฑิตส่วนใหญ่ได้เตรียมตัวมาไม่น้อยแล้ว
เมื่อถึงเวลา ทางสำนักก็มาติดประกาศ
เหล่าบัณฑิตที่มีรายชื่อในยี่สิบคนนั้นความจริงแล้วก็เก่งกาจอยู่เป็ทุนเดิม คนเหล่านี้ขอแค่ไม่ทำอะไรผิดพลาด ต่อไปย่อมจะได้เป็ขุนนางคนสำคัญในราชสำนักอย่างแน่นอน
เช้าตรู่วันต่อมา รถม้าคันโตก็มาจอดรออยู่หน้าสำนักเชินแล้ว
ภายใต้สายตาที่จับจ้องอยู่ บัณฑิตทั้งยี่สิบคนของสำนักเชินค่อยๆ ต่อแถวกันขึ้นรถไปทีละคนอย่างสง่าผ่าเผย
ความจริงแล้วไม่ได้มีสิ่งใดแอบแฝง เพียงแต่เหล่าบัณฑิตจากสำนักเชินนั้นน่ามองนัก
ที่จริงแล้วความงดงามก็นับว่าเป็หัวข้อใหญ่ที่ทำให้ได้คะแนนเพิ่มเช่นกัน
ในเหล่ายี่สิบคนนี้คนที่รูปงามที่สุดย่อมเป็คุณชายหลู หลูเชิงห้าว เขาเป็คนที่เดินอยู่หน้าสุดของขบวน และเป็คนที่โด่งดังที่สุดด้วยเช่นกัน
ทว่าคนที่เดินรั้งท้ายอยู่ปลายขบวนอย่างเฉาจิ่วนั้นกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ผิวคล้ำก็แล้วไปเถิด แต่มันยังหยาบกร้านนัก ดวงตาก็ใหญ่ข้างเล็กข้าง มือทั้งสองเต็มไปด้วยเนื้อด้าน ดูแล้วไม่คล้ายกับบัณฑิตแม้แต่น้อย เขาดูคล้ายกุลีข้างถนนยิ่งกว่า
คนอื่นๆ ล้วนสวมชุดขนสัตว์กัน มีแต่เพียงเขาที่ไม่ได้สวม สวมเพียงชุดเก่าๆ ชุดหนึ่งเท่านั้น
ว่ากันว่าเขานั้นเป็บุตรของทาส ต่อมาผู้เป็นายเกิดเื่ขึ้น ก่อนหน้าจะเกิดเื่ก็ได้พาครอบครัวเขาไปขึ้นทะเบียนภูมิลำเนาไว้แล้ว จึงทำให้เขามีโอกาสเข้ามาศึกษาในสำนักได้
ทว่ารูปลักษณ์ของเขานั้นกลับไม่ค่อยน่ามองเท่าไรนัก
เหล่าชอบบ้านที่มามุงดูก็ได้แต่คิดว่าหากให้คนรูปลักษณ์เช่นนี้ไปเข้าเฝ้า แล้วอีกประเดี๋ยวองค์หญิงก็จะเสด็จมาร่วมด้วย ถ้าหากว่าใบหน้าของเ้าหนุ่มคนนี้ทำให้องค์หญิงใ จะไม่เป็การทำให้บัณฑิตคนอื่นเสียหน้าหรอกหรือ
ทว่าคะแนนของเขาดียิ่งนัก ในคนทั้งหมดยี่สิบคนเขามีคะแนนเป็อันดับที่สาม เช่นนั้นต่อให้จะหน้าตาไม่น่ามองเพียงใด ก็ได้แต่ต้องยอมให้เข้าไปแล้ว
ทั้งยี่สิบคนล้วนขึ้นไปบนรถม้าเรียบร้อย บัดนี้จึงต้องนั่งเผชิญหน้ากันเป็คู่ๆ
รถม้าค่อยๆ บดลงไปบนถนน พาทุกคนออกเดินทางไปยังวังหลวง
บรรยากาศในรถม้าช่างคุกรุ่น เหล่าเด็กหนุ่มในรถจิตใจล้วนเตลิดไปไกล ทั้งยังอิ่มเอมใจนัก โดยเฉพาะคุณชายหลู ใบหน้ายิ้มแย้ม ดูทั้งอบอุ่นและมีมารยาท เขากำลังสนทนาเสียงเบากับสหาย
ส่วนเฉาจิ่วนั้นนั่งอยู่ด้านในสุดของมุมรถม้า ท่าทียังคงนิ่งเงียบดังเดิม ทว่าไม่เพียงนิ่งเงียบไม่นานนักเขาก็เริ่มสัปหงก เพื่อนในสำนักที่นั่งอยู่ข้างเขา ก็จงใจขยับหนีออกมาเพื่อให้ตนได้อยู่ไกลจากเขาสักหน่อย
ได้ยินมาว่ามารดาของเฉาจิ่วนั้นป่วยหนัก หลักเลิกเรียนเขาจึงต้องไปทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว คาดว่าคงเพราะสาเหตุนี้จึงทำให้เขาสัปหงกในตอนกลางวัน
แต่เด็กหนุ่มเ่าั้กลับไม่เข้าใจ ศิษย์ในสำนักเชินทุกคนไม่ว่าจะออกไปที่ใดหรือกระทำการใดก็ล้วนมีแต่คนสนับสนุน
เ้าเฉาจิ่วคนสมองทื่อนี่ ช่างเป็บัณฑิตหน้ามืดตามัวยิ่งนัก
เฉาจิ่วเหนื่อยไปสักหน่อยจริงๆ ทว่าตอนที่เขาหลับตาลงนั้น เขากลับไม่ได้หลับไป
เขาแค่ไม่อยากลืมตาขึ้นมา
ความจริงแล้วเขาไม่ใช่บุตรของทาส บุตรของทาสตัวจริงได้ตายไปแล้ว เพื่อที่จะให้เขามาสวมรอยได้ สถานะที่แท้จริงของเขาคือหลานชายของอดีตฮองเฮา เขาคือบุตรชายของพี่ชายแท้ๆ ของอดีตฮองเฮา
นามเดิมของเขาคือหลานเหยียน
เหยียนที่แปลว่าสีที่งดงาม
ทายาทลำดับที่เก้า
เดิมเขารูปงามนัก ความรู้ก็เป็เลิศ ั้แ่เด็กก็มีสติปัญญาโดดเด่น ทว่าในคืนหนึ่งตระกูลของเขากลับโดนกล่าวหาอย่างไม่มีมูลว่าสมคบคิดกับข้าศึก
บุรุษในตระกูลล้วนโดนปะา ส่วนสตรีก็โดนเนรเทศ
เขาเร่งหลบหนีอยู่หลายคืน ตลอดการเดินทางก็โดนป้อนหญ้าทำลายโฉมอยู่ตลอด หญ้าทำลายโฉมเมื่อกินเข้าไปแล้วก็จะยิ่งหน้าตาน่าเกลียดขึ้น สุดท้ายก็อัปลักษณ์จนไม่มีใครจำได้
อีกทั้งหญ้าทำลายโฉมนี้ นอกจากบุปผาน้ำแข็งในตำนานที่สามารถฟื้นคืนรูปลักษณ์เดิมได้ ก็ไม่มีอะไรสามารถช่วยได้อีก ผู้ที่กินหญ้าชนิดนี้เข้าไปจะต้องติดกับรูปลักษณ์อัปลักษณ์เช่นนี้ไปตลอดชีวิต
เพียงคืนเดียวจากบุตรของพระเชษฐาของฮองเฮา กลับกลายมาเป็บุตรของทาส
ตระกูลล่มสลายแล้ว
ไม่มีหลานเหยียนคนนั้นอีกแล้ว
เขาไม่ใช่หลานเหยียนผู้รูปงามจนร่ำลือไปทั้งเมืองคนนั้นอีกแล้ว
เขาเคยเข้าไปในวังหลวงมาก่อน ที่หลับตาลงนั้นก็เพียงเพราะไม่อยากเห็นมัน
เขารู้ดีว่าท่านอายังคงอยู่ในนั้น ว่ากันว่านางได้สติวิปลาสไปแล้ว
รถม้ารวดเร็วว่องไวนัก ถนนในวังหลวงทั้งเรียบและกว้างขวาง รถม้าจึงไม่โคลงเท่าใด
เหล่าบัณฑิตที่เรียงแถวกันอยู่ก็ถูกส่งไปยังสวนอวี้ฮวา เื่นี้นับเป็เกียรติสูงสุดในชีวิตพวกเขา ทั้งฝ่าาและองค์หญิงอีกประเดี๋ยวก็จะเสด็จมาพบพวกเขาที่นี่
เหล่าเด็กหนุ่มเมื่อลงจากรถม้าแล้วก็ตรวจดูเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินไปยังสวนอวี้ฮวา
แม้จะอยู่ในยามเหมันต์ แต่สวนแห่งนี้ก็ราวกับอยู่ในยามคิมหันต์ก็ไม่ปาน ดอกไม้บานสะพรั่ง ผีเสื้อบินว่อน นกน้อยร้องเจื้อยแจ้ว
ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ยังมีเหล่านางกำนัลที่งดงามราวกับเทพเซียนยืนล้อมรอบอยู่ ในมือกำลังยกถาด ทุกถาดล้วนมีอาหารหน้าตาประณีตจัดวางไว้จนเต็ม แล้วจึงวางเรียงลงบนโต๊ะในสวนดอกไม้
เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยได้ยินศิษย์พี่เล่าว่าในแต่ละวันนางกำนัลเหล่านี้เอิกเกริกเพียงใด หรูหราเพียงใด อีกทั้งยังประณีตถึงขั้นใด
ทว่าเมื่อได้มาเห็นกับตาก็อดจะใจสั่นขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะยามที่ฝ่าาจูงพระหัตถ์ขององค์หญิงน้อยเสด็จมา พวกเขาพลันตื่นเต้นจนเกินจะพรรณนา
ความจริงแล้วเหล่าบัณฑิตแคว้นเชินไม่จำเป็ต้องคุกเข่าถวายบังคม ทว่าบัดนี้เหล่าบัณฑิตหนุ่มต่างก็พากันคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง
เฉาจิ่วก็คุกเข่าลงถวายบังคมเช่นกัน
เสียงกังวานเปี่ยมด้วยอำนาจจึงดังขึ้น “ลุกขึ้นได้ ไม่ต้องใไป ทุกคนล้วนแต่เป็เสาหลักของแคว้น เจิ้นเองก็ปลื้มใจและภูมิใจกับพวกเ้าทุกคนจากใจจริง”
เหล่าบัณฑิตทั้งยี่สิบคนจึงยืนขึ้นเรียงกันเป็ระเบียบ เมื่อได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสเมื่อครู่ก็ยิ่งตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
ฝ่าาช่างเป็กันเองกับพวกเขานัก อีกทั้งองค์หญิงแม้จะยังมีพระชันษาไม่มาก ทว่ากลับมีสิริโฉมงดงามไม่ต่างจากที่ชาวบ้านร่ำลือกันแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้อาสาพาเหล่าบัณฑิตชมสวนด้วยตนเอง
เหล่าเด็กหนุ่มที่ตามหลังอยู่ต่างก็สนทนากันอย่างสนุกสนาน พลอยทำให้บรรยากาศโดยรอบนั้นสดชื่นนัก
ฮ่องเต้เองก็โปรดปรานบรรยากาศนี้ยิ่งนัก
เหล่าบัณฑิตหนุ่มช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเหลือล้น ทั้งยังเต็มไปด้วยจิติญญา
เด็กหนุ่มเหล่านี้คืออนาคตของแคว้นเชิน
องค์หญิงอีก็ทรงน่าเอ็นดู เพียงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ คอยฟังสิ่งที่ทุกคนกล่าว หากว่าบุคคลใดกล่าวได้ไม่เลว ใบหน้าก็จะพยักหน้าเบาๆ
ทำเอาเหล่าบัณฑิตหนุ่มนั้นใยิ่ง ไม่คาดคิดว่าองค์หญิงน้อยจะเข้าใจบทกวีที่แสนซับซ้อนที่พวกเขากล่าวออกมา ช่างนับว่าเป็อัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง
โดยเฉพาะคุณชายหลู เมื่อเห็นว่าองค์หญิงยิ้มให้ตนถึงสองครา หัวใจก็พลันเต้นแรง
ส่วนเฉาจิ่วยังคงสงวนท่าทีนิ่งขรึมอยู่เช่นเดิม
เขายังจำได้ว่ายามยังเล็ก ฝ่าาเคยอุ้มเขาด้วยพระองค์เอง เมื่อเทียบกับในอดีตแล้ว พระองค์ก็ยังคงอ่อนโยนดังเดิม เพียงแต่....
สรรพสิ่งล้วนเป็เช่นเดิม ทว่าคนย่อมไม่มีทางเหมือนเดิม
ไม่นานนักทุกคนก็เดินมาจนถึงทะเลสาบริมสวนอวี้ฮวา แม้จะเป็ยามเหมันต์แต่น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ยังคงไม่เป็น้ำแข็ง กลางทะเลสาบยังมีหงส์ขาวแหวกว่ายให้ชื่นชม มองแล้วงดงามนัก
ฝ่าานั้นเบิกบานใจไม่เบา จึงได้ตรัสขึ้น “เหล่าบัณฑิตทั้งหลาย ในเมื่อบรรยากาศช่างเป็ใจเช่นนี้ ยินดีจะประพันธ์บทกวีกันสักบทหรือไม่”
เดิมทีการประพันธ์บทกวีนั้นก็เป็เป้าหายที่ทุกคนได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว เมื่อได้ยินพระประสงค์ของฝ่าา ก็พากันยกมือคารวะส่งสัญญาณว่ารับทราบ
ทันใดก็ได้ยินเสียงองค์หญิงน้อยตรัสขึ้น “วันนี้มีเหล่าบัณฑิตผู้เก่งกาจมากเหลือเกิน ข้าเองก็คิดไว้แล้วบทหนึ่งเช่นกัน ทว่าเกรงว่าอาจจะเป็การโยนหินกระแทกหยกไปสักหน่อย”
เหล่าบัณฑิตหนุ่มเมื่อได้ยินองค์หญิงตรัสว่าตนตื้นเขินดุจการโยนหินกระแทกหยก ก็พลันจิตใจสั่นไหว
ช่างเป็คำที่ดีนัก
องค์หญิงทรงพระปรีชาจนสามารถตรัสคำพูดแบบในคัมภีร์ได้เชียวหรือ
องค์หญิงในฉลองพระองค์แสนวิจิตร และผมยาวสวยที่รวบไว้อย่างเรียบร้อย กำลังประทับนั่งด้วยท่วงท่าสง่างามอยู่ข้างทะเลสาบ พระสุรเสียงใสๆ เปล่งขึ้น
“เ้าห่านเอ๋ย
โก่งคอส่งเสียงร้อง
ขนสีขาวลอยล่องบนน้ำสีเขียว
เท้าสีแดงดั่งไม้พายในสายน้ำ”
เฉาจิ่วยังคงนั่งก้มหน้า ในมือกำชายชุดของตนแน่น ฟังเหล่าสหายกู่ร้องว่าบทกวีนี้ช่างเป็เลิศนัก