รู้สึกเย็นนิดหน่อย แต่ก็นุ่มมากเลยทีเดียว
ความรู้สึกเชื่องช้าเหล่านี้ราวกับว่าเป็ดอกไม้ไฟที่ะเิขึ้นมาในหัวของชวีเสี่ยวปอในชั่วพริบตา ะเิจนทำให้ภาพตรงหน้าของเขาพร่ามัวไปหมด แต่หลังจากที่เขารู้สึกตัวว่าจริงๆ แล้วตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ชวีเสี่ยวปอจึงถอยหลังออกไปทันที จนกระทั่งหลังศีรษะของเขากระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง และมันทำให้เขารู้สึกเจ็บจนต้องทำหน้าบู้บี้ออกมา
“ระวัง !” เซี่ยเจิงกำลังจะยื่นมือไปรองรับเอาไว้ แต่ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขา ทั้งยังรีบลงจากเตียงไปในทันที
จนกระทั่งลมหนาวพัดผ่านมาปะทะเข้ากับขาส่วนที่ยื่นออกมาจากกางเกง จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอตัวสั่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ในตอนนั้นเองเขาถึงได้รู้ว่าตอนนี้ตัวเขายืนอยู่บนถนนเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ชวีเสี่ยวปอหลับตาลง แต่กลับนึกไม่ออกว่าตัวเองวิ่งออกมาได้อย่างไร... ใช่ เหมือนว่าเซี่ยเจิงจะะโเรียกเขา พร้อมทั้งวิ่งตามมาด้วย ทว่าเขาไม่ได้แม้แต่จะหันกลับไปมอง ทั้งยังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต
ให้ตายสิ
ขายหน้า
เวลาตอนนี้ ในชุมชนเก่าเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่เงาของคนเลยสักคน ชวีเสี่ยวปอเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย และในตอนที่เขาเลี้ยวเข้าไปในทางโค้งที่อยู่ด้านหน้าจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้านั้นช่างดูคุ้นตาเสียจริงๆ
นี่มัน......ร้านขายซาลาเปา?
ร้านที่เซี่ยเจิงเคยพาเขามา
และน่าจะเป็เพราะว่าอากาศเริ่มหนาวแล้ว ที่หน้าประตูของร้านซาลาเปาจึงมีผ้าม่านอย่างหนาแขวนเอาไว้อยู่ ชวีเสี่ยวปอเปิดผ้าม่านขึ้นพร้อมทั้งยื่นศีรษะเข้าไปด้านใน ใช้ปลายจมูกัักับอุณหภูมิด้านในร้าน ในขณะนั้นเ้าของร้านที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมามองพลางพูดว่า :
“ขอโทษด้วยนะครับ ซาลาเปาหมดแล้วครับ”
“งั้นผม... ” ชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไปในร้าน “ยังมีอะไรเหลืออยู่บ้างครับ? ”
“เกี๊ยวน้ำ แล้วก็บะหมี่” เ้าของร้านหยุดการกระทำในมือของเขาลง “แต่ว่ามันไม่อร่อยเท่าซาลาเปานะครับ”
“อ๋า งั้นเอาเป็เกี๊ยวน้ำก็ได้ครับ” เมื่อชวีเสี่ยวปอได้ยินแบบนั้นก็ผงะไป นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเ้าของร้านจะซื่อตรงขนาดนี้
อันที่จริงชวีเสี่ยวปอไม่ได้รู้สึกอยากกินอะไรเลยสักอย่าง เพราะว่าเมื่อครู่รีบร้อนวิ่งออกมาจนเกินไป ถึงขนาดที่ว่าตอนนี้เขาอยากจะอาเจียนออกมาแล้วด้วยซ้ำ แต่เขาจำเป็ต้องหาที่สักที่หนึ่งไว้ให้ตัวเองได้พักสักครู่ เพื่อจัดการกับความคิดที่พันกันยุ่งเหยิงในหัวของเขาไปให้หมดสิ้น ถ้าหากทำได้นะ
อย่างเช่น ทำไมตัวเขาถึงไปจูบเซี่ยเจิง
เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าเซี่ยเจิงหล่อมากเป็พิเศษ
ให้ตายเถอะ ชวีเสี่ยวปอเคาะไปที่หน้าผากของเขาอย่างแรงสองครั้ง เพราะว่าหล่อก็เลยเอาปากไปงับคนอื่นเขานี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน? แบบนี้มันจะไปต่างอะไรกับไอ้พวกโรคจิตที่พอเห็นสาวสวยข้างถนนก็คิดอกุศลขึ้นมาฮะ !
ชวีเสี่ยวปอยอมรับว่าบางครั้งเขาก็ทำอะไรไม่ค่อยคิดจริงๆ แต่เขาไม่เคยทำผิดศีลธรรมอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากว่าเขาเป็โรคจิตจริงๆ ก็คงจะไม่ไปทำตัวโรคจิตกับเซี่ยเจิง
เพราะว่าเซี่ยเจิงเป็ผู้ชาย
ดังนั้นมันเป็เพราะอะไรกันแน่ทำไมเขาถึงได้ไปจูบกับผู้ชาย?
“เกี๊ยวน้ำได้แล้วครับ”
ชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันที่จะได้ครุ่นคิดหาคำตอบออกมาได้เลยว่าเป็เพราะเหตุผลใด เ้าของร้านก็ยกเกี้ยวน้ำที่ทำเสร็จร้อนๆ มาวางไว้ให้ซะก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้ว่าร้านนี้ขายซาลาเปาแป้งบางที่อัดไส้เข้าไปจนเต็มลูก แต่เมื่อชวีเสี่ยวปอได้เห็นเกี๊ยวน้ำชามใหญ่นี้แล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า : “เถ้าแก่ ร้านของเถ้าแก่ได้กำไรไหมครับเนี่ย? ”
“ยังหนุ่มยังแน่นต้องกินเยอะๆ หน่อย !” เ้าของร้านยกนิ้วโป้งให้เขา “มีเื่ลำบากทุกข์ใจอะไรเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ! ชีวิตคนเรามันยังอีกยาวไกล รู้หรือเปล่า? ”
หลังจากที่เ้าของร้านพูดจบเขาก็เดินเข้าไปนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านในพร้อมทั้งเปิดดูคลิปวิดีโอไปด้วย และในขณะนั้นก็มีเสียงเพลงฮิตในอินเทอร์เน็ตดังขึ้นมาเป็ครั้งคราว ส่วนชวีเสี่ยวปอก็นั่งเหม่อลอยมองเกี๊ยวน้ำชามนั้นที่มีไอร้อนลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอยู่พักใหญ่ เวลาผ่านไปนานมากกว่าเขาจะรู้สึกตัวขึ้นมา ขนาดเ้าของร้านยังนึกว่าตัวเองเจอกับคนที่ล้มเหลวในชีวิตอะไรทำนองนี้เข้าแล้วหรือเปล่านะ?
ชวีเสี่ยวปอใช้ฝ่ามือถูไปที่หน้าของตัวเอง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดกล้องหน้าเพื่อดูหน้าตัวเองสักหน่อย
ยังได้อยู่ นอกจากใบหน้าที่ดูแดงขึ้นมาหน่อย อย่างอื่นก็ไม่ได้ดูมีปัญหาอะไร
“นายอยู่ไหนน่ะ? ” ข้อความของเซี่ยเจิงเด้งขึ้นมา
ชวีเสี่ยวปอกำโทรศัพท์แน่นขึ้นมาทันที
ตอนนี้ดูเหมือนจะมีปัญหาขึ้นมาแล้ว
ขี้ขลาด
ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขี้ขลาดขนาดนี้มาก่อนเลย
ไม่ใช่ขี้ขลาดตาขาว ไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่ไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอะไร
ควรจะตอบกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ไม่เป็ไร ไม่ต้องตามหาฉัน” หรือว่าควรจะหาเหตุผลที่แสนจะไร้สาระมาอธิบายการกระทำของตัวเองเมื่อครู่นี้ดี ไม่ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่ามันดูแปลกๆ อยู่ดี
เขารู้สึกงงไปหมดแล้ว
ในตอนนี้เซี่ยเจิงก็คงจะตกอยู่ในอาการงุนงงเช่นกัน จู่ๆ ก็โดนผู้ชายเข้ามาจูบ... เอ๊ะ หรือว่าที่เซี่ยเจิงรีบร้อนตามหาเขาในตอนนี้ คงจะไม่ได้เอาเขาไปฆ่าทิ้งหรอกนะ?
ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแหะๆ กับตัวเองสองครั้ง พร้อมทั้งมองดูข้อความของเซี่ยเจิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแล้วเก็บโทรศัพท์สอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
หลังจากผ่านไปห้านาที ชวีเสี่ยวปอก็ยังไม่ได้ตอบข้อความกลับไป
ในขณะนั้นเซี่ยเจิงยืนอยู่ตรงหลังรถของชวีเสี่ยวปอ พร้อมทั้งมองไปยังสองข้างทาง... คนวิ่งหนีไปแล้ว แต่รถยังจอดอยู่ตรงนี้ ดูท่าแล้วน่าจะยังไปได้ไม่ไกลมาก ถ้าหากว่าตอนที่วิ่งไล่ตามไปไม่ได้บังเอิญข้อเท้าแพลงขึ้นมาซะก่อน เขาก็คงจะไม่ปล่อยให้ชวีเสี่ยวปอวิ่งหายไปจนไม่เหลือเงาขนาดนี้หรอก
วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายซะอีก
เซี่ยเจิงเดินอ้อมจากหลังรถมา ใช้มือดันกระจกมองข้างของรถออก จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงไปส่องกระจกพลางเลียริมฝีปากไปด้วย
ไม่รู้ว่าเป็เพราะผลที่จิตใจส่งผ่านออกมาหรือเปล่า เซี่ยเจิงรู้สึกว่าริมฝีปากของเขาแดงขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
อันที่จริงมันก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ประมาณสองวินาที? หรือว่าสามวินาที?
แต่ชวีเสี่ยวปอปะทะเข้ามาอย่างรุนแรง ถึงขนาดที่ว่าเซี่ยเจิงคิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้ามาจูบตัวเอง
ท่าทางดูเหมือนจะเข้ามาทะเลาะกับเขาซะมากกว่า
แต่คิดถึงมันขึ้นมาแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ?
ต่อให้ในตอนนี้เขาจะสมมติขึ้นมามากแค่ไหนก็ตาม แต่เซี่ยเจิงคิดว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมันก็จะยังคงเหมือนเดิม
ถึงยังไงเขาก็ไม่หลบเด็ดขาด
ส่วนเื่ที่เหลือก็รอให้ตามหาชวีเสี่ยวปอเจอก่อนแล้วค่อยพูดถึงก็แล้วกัน
หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วเขาก็ออกจากร้านซาลาเปามา ชวีเสี่ยวปอค่อยๆ เดินกลับไปตามทางอย่างช้าๆ
สำหรับเื่ที่เกิดขึ้นมาเมื่อครู่นี้ เขาไม่อยากที่จะคิดให้มันยุ่งอยากไปกว่านี้แล้ว อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว เขากับเซี่ยเจิงเป็ลูกผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ไม่เห็นจะต้องเอาเื่เล็กแค่นี้มาทำให้ทุกข์ใจเลย เพราะมันดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลเลยสักนิด อย่างมากก็คิดซะว่าสมองมันเบลอไปชั่วขณะ ถึงยังไงทำเื่ที่ติ๊งต๊องมากกว่านี้มาก็เยอะถมไป เพิ่มขึ้นมาอีกสักเื่สองเื่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่านี้สักเท่าไหร่หรอก
“ชวีเสี่ยวปอ”
บนถนนอันว่างเปล่า พอมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ในตอนที่ได้ยินเสียงของเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกแข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงขนาดที่ว่าเขาอยากจะหันหลังแล้ววิ่งออกไปอีกครั้ง
แต่ทันทีที่เห็นเซี่ยเจิงเดินขากะเผลกเข้ามาหาเขา ชวีเสี่ยวปอก็รีบลบความคิดเ่าั้ออกไปจากหัว พร้อมทั้งรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที
“เกิดอะไรขึ้นกับนายเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอโน้มตัวลงไปพยายามเปิดขากางเกงของเซี่ยเจิงขึ้นมา
เซี่ยเจิงจึงรีบยื่นมือออกไปห้ามเขาเอาไว้ “เมื่อกี้ขาแพลงน่ะ เดี๋ยวกลับไปทาน้ำมันยาแล้วนวดอีกนิดหน่อยก็หายแล้ว”
เดิมทีชวีเสี่ยวปออยากจะพูดเหน็บแนมเขาไปด้วยว่าโตขนาดนี้แล้วทำไมไม่รู้จักระวังตัวอีก แต่เมื่อคิดดูให้ดีแล้วว่าทำไมเซี่ยเจิงถึงข้อเท้าแพลง เขาจึงเลือกที่จะเปลี่ยนเื่ดีกว่า
“นายยืนรอตรงนี้มาตลอดเลยเหรอ? ”
“ก็ส่งข้อความหานาย แต่นายไม่ยอมตอบ” เซี่ยเจิงมองเขาพลางอมยิ้มออกมา
“อ๋า จริงเหรอเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอตบไปที่กระเป๋ากางเกงของตัวเองด้วยท่าทางที่ดูลุกลี้ลุกลน “นายส่งมาหาฉันเหรอ? ไม่ได้ยินเลยนะ”
ใช่แล้ว แบบนี้นี่แหละ ทำดีมาก รักษาท่าทีเช่นนี้เอาไว้ แสดงได้ไม่เลวเลยทีเดียว
นายรู้ไหมว่าตอนที่นายโกหกนายจะชอบกะพริบตา
ในขณะที่เซี่ยเจิงมองท่าทางเช่นนั้นของชวีเสี่ยวปอเขาต้องใช้ความพยายามเป็อย่างมากที่จะกลั้นขำเอาไว้ แล้วก็ทำเสียงอ๋อออกไปถือว่าเป็การยอมรับไปโดยปริยาย จากนั้นจึงพูดต่อขึ้นมาว่า : “แต่พอออกมาแล้วเห็นรถของนายยังจอดอยู่ คิดว่ายังไงเดี๋ยวนายก็ต้องกลับมา เพราะงั้นเลยยืนรออยู่ตรงนี้”
“แล้วถ้าฉันเรียกรถออกไปแล้วล่ะ” ชวีเสี่ยวปอถามกลับ
“นายไม่ทำแบบนั้นหรอก” เซี่ยเจิงมองเขาด้วยท่าทางที่มั่นใจ
แล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ คนเราไม่สามารถทำเื่ผิดมโนธรรมได้ !
ชวีเสี่ยวปอถูกเซี่ยเจิงมองจนทำตัวไม่ถูก จึงยิ้มแหยออกไปสองที “ไปกัน กลับกันเถอะ”