ในวันถัดมาชวีเสี่ยวปอถูกโทรศัพท์ปลุกให้ตื่นขึ้นมา
พูดให้ถูกก็คือ ถูกเสียงวิดีโอคอลของเวินลี่โทรมาปลุกจนตื่น ในขณะนั้นเขาคลำหาโทรศัพท์มือถือย่างสะลึมสะลือ แล้วจึงกดรับสาย แต่หัวสมองของเขากลับรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติไป ชวีเสี่ยวปอจึงถีบมันออกไปในทันที จากนั้นถึงค่อยพูดทักทายกับโทรศัพท์ไป
การกระทำทั้งหมดเกิดขึ้นจนเสร็จสิ้นในคราเดียว ไม่ได้มีการหยุดกลางคัน
“ยังนอนอยู่อีกเหรอลูก? ” เวินลี่อยู่ริมทะเล ทั้งยังมีเสียงลมพัดฟู่ฟู่ดังเข้ามาในวิดีโอคอล “อยู่บ้านคนเดียวเป็ยังไงบ้าง? กินข้าวแล้วหรือยัง? ”
“กินอิ่ม ใส่เสื้อผ้าอุ่นครับ” ชวีเสี่ยวปอขยี้ตา สายตามองกวาดไปเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่บนพื้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงพร้อมกับผ้าห่มที่ม้วนขดตัวกันอยู่ เขาอยากที่จะหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่กล้า จากนั้นจึงตอบกลับเวินลี่ไป “พ่อกับแม่เที่ยวให้สนุกเถอะครับ ไม่ต้องเป็ห่วงผม”
“ให้ลูกมาด้วยกันก็ไม่เอา” เวินลี่อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอก็ได้ยินเสียงชวีอี้เจียที่ไม่ได้อยู่ในจอดังขึ้นมาว่า “ลูกกว่าจะได้หยุดสักที คุณไม่ปล่อยให้ลูกได้นอนตื่นสายสักหน่อยเลยเหรอ” เวินลี่โบกมือไปมา แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “พอแล้วๆ ไม่พูดแล้ว พ่อของลูกไม่ชอบที่แม่พูดเยอะ ถ้าเงินไม่พอก็โทรมาหาแม่นะ”
“ได้เลยครับ” ชวีเสี่ยวปอทำมือโอเคขึ้นมากับโทรศัพท์ แล้วจึงพูดร่ำลากับเวินลี่
หลังจากนั้นเขาก็รีบโยนโทรศัพท์ไว้ด้านข้าง รีบะโลงจากเตียงไปดึงเซี่ยเจิงขึ้นมา
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวๆ ให้ฉันตั้งสติก่อน” เซี่ยเจิงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่มือกลับม้วนผ้าห่มเก็บเข้ามา “ทำไมฉันถึงตกจากเตียงมานั่งอยู่ที่พื้นได้”
“ฉันถีบเองแหละ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะขึ้นมา “พอแม่โทรมาฉันก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย เลยไม่ได้ยั้งแรงไว้”
“ถูกแฟนถีบจนตกเตียงนี่รู้สึกแบบนี้นี่เอง” เซี่ยเจิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่ายหน้าไปมา จากนั้นจึงจ้องมองไปยังชวีเสี่ยวปอ “อรุณสวัสดิ์นะ คุณแฟน”
“อรุณสวัสดิ์” ชวีเสี่ยวปอจุ๊บลงไปที่ริมฝีปากของเซี่ยเจิงหนึ่งที และในที่สุดเขาก็ดึงเซี่ยเจิงขึ้นมาอย่างรู้สึกพออกพอใจ
“แปดโมงแล้วเหรอเนี่ย” เซี่ยเจิงฟุบลงไปบนเตียงอีกครั้งพลางมองนาฬิกา แล้วจึงถามขึ้นว่า : “นายจะนอนต่อไหม? ”
โดยปกติตอนอยู่บ้านตัวเอง ถ้าตื่นขึ้นมาในเวลานี้ชวีเสี่ยวปออาจจะกลับไปนอนอีกครั้ง ทว่าเมื่อครู่ที่พลิกตัวไปมาเช่นนั้นจึงไม่ได้รู้สึกง่วงอะไรแล้ว แต่ชวีเสี่ยวปอก็ยังดึงแขนของเซี่ยเจิงมาพร้อมทั้งยกศีรษะขึ้นไปหนุนบนแขนของเขา : “ไม่นอนแล้ว นอนไม่หลับด้วย วันนี้นายมีอะไรที่ต้องทำไหม? ”
ทันทีที่ชวีเสี่ยวปอขยับ ตอผมแข็งๆ บนศีรษะของเขาก็ถูไปมาบนแขนของเซี่ยเจิง เซี่ยเจิงสูดลมหายใจเข้าไป :
“อยากจะไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้จำเป็จะต้องซื้อขนาดนั้น ถ้านาย...”
“งั้นก็ไปกัน” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมานั่ง “ฉันรู้สึกว่าั้แ่ฉันขึ้นมอต้นมา ฉันก็ไม่ได้ไปร้านหนังสืออีกเลย”
“ได้” เซี่ยเจิงถูกเขาพูดขัดจังหวะขึ้นมา อันที่จริงประโยคที่ยังพูดไม่จบก็คือ “ถ้านายอยากไปเดตอะไรทำนองนี้ก็ได้นะ” แต่ดูแล้วชวีเสี่ยวก็เหมือนว่าจะรู้สึกสนใจร้านหนังสืออยู่ไม่น้อย เขาจึงไม่ได้พูดออกไป
ทั้งสองคนนอนเล่นกันอยู่บนเตียงอีกสักพักใหญ่ถึงจะลุกขึ้นมา ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอเปิดประตูออกไป ก็เห็นแม่ของเซี่ยเจิงกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาพลางแทะเมล็ดแตงโมไปด้วย
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณป้า” ชวีเสี่ยวปอรีบทักทายออกไป
“เอ๊ะ? เสี่ยวปอมาั้แ่เมื่อไหร่กัน? ” ท่าทางของแม่เซี่ยเจิงดูประหลาดใจอยู่ไม่น้อย จากนั้นจึงวางเมล็ดแตงโมลงพลางปัดมือเล็กน้อย
“เมื่อคืนกลับมาดึกน่ะครับ ก็เลยนอนที่นี่เลย” เซี่ยเจิงโพล่ออกมาจากทางด้านหลังของชวีเสี่ยวปอ “กินข้าวเช้าหรือยังครับ? ”
“กินแล้วจ้า !” แม่ของเซี่ยเจิงชี้ไปยังห้องครัว “มีโจ๊กแล้วก็ซาลาเปาทอด ลูกสองคนกินไหม? อุ่นร้อนสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว” พูดจบก็ลุกขึ้นไปอุ่นอาหารเช้าให้พวกเขาทั้งสองคน
ชวีเสี่ยวปอจึงรีบเข้าไปขว้างเอาไว้ “คุณป้าดูทีวีไปเถอะครับ เดี๋ยวพวกเราไปอุ่นกันเอง” พูดจบก็ดันเซี่ยเจิงไปด้านหน้า ทั้งสองคนคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังเดินเข้าห้องครัวไป
อันที่จริงเขาอยากที่จะเข้าไปจับมือกับเซี่ยเจิง อีกทั้งยื่นมือออกไปแล้วด้วย แต่ก็ต้องชักมือกลับเข้ามาซะก่อน
เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของเขาและเซี่ยเจิงในตอนนี้ แล้วยิ่งตอนอยู่ต่อหน้าแม่ของเซี่ยเจิงแบบนี้ ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อย
แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ไม่ได้ถึงขั้นนั้น เพราะก่อนหน้านี้เขากับเซี่ยเจิงก็เคยจับมือโอบไหล่อะไรทำนองนี้มาก่อน และสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็การแตะเนื้อต้องตัวที่ธรรมดาทั่วไป แต่สรุปแล้วคือความรู้สึกภายในหัวใจของเขาต่างหากที่เปลี่ยนไป
ทันทีที่คิดขึ้นมาว่าคนคนนี้เป็แฟนของตัวเอง ชวีเสี่ยวปอจึงอดไม่ได้ที่จะไม่นึกถึงเซี่ยเจิง
ต้องไม่ให้แม่ของเซี่ยเจิงเห็นถึงลาดเลาอะไรบางอย่าง จนทำให้เซี่ยเจิงต้องเกิดเื่เดือดร้อน
ให้ตายเถอะ การมีความรักทำให้คนต้องเสแสร้ง !
“ทำไมนายถึงดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้” แต่ชวีเสี่ยวปอกลับนึกไม่ถึงว่าเมื่อเดินเข้ามาในห้องครัวเซี่ยเจิงก็จับมือของเขาเอาไว้ทันที “นายไม่อยากกินซาลาเปาทอดใช่ไหม? ”
“เปล่า” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าน้ำเสียงของเซี่ยเจิงฟังดูเหมือนกำลังโอ๋เด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงหัวเราะขึ้นมา พร้อมทั้งพูดตามตรงออกไปว่า : “ฉันกลัวคุณป้าจะมองออกเข้าน่ะ”
“คิดมากเกินไปแล้ว” เซี่ยเจิงลูบหลังของเขาอย่างเบามือ “เื่แบบนี้แม่ของฉันเข้าใจช้าจะตายไป ก่อนหน้านี้แม่เจอจดหมายรักในกระเป๋านักเรียนฉัน แต่เปิดขึ้นมายังไม่ทันจะได้ดูก็โยนทิ้งไปซะแล้ว”
“ถ้างั้นก็สบายใจขึ้นมาหน่อย” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแหยๆ ขึ้นมาสองครั้ง ที่จริงแล้วเขาอยากจะบอกว่าเื่เช่นนี้กับการเจอจดหมายรักมันไม่เหมือนกันเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกว่าถ้าพูดออกมาก็คงจะทำให้เสียบรรยากาศน่าดู จึงจบบทสนทนาไว้แต่เพียงเท่านี้
หลังจากที่ทั้งสองคนอาบน้ำและทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกจากบ้าน ร้านหนังสือถือว่าอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเซี่ยเจิงเท่าไหร่ ผ่านไฟจราจรไปสามครั้งก็ถึงแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้รีบร้อนอะไร เลยตัดสินใจค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ
“สบายสุดๆ ” ชวีเสี่ยวปอตบไปบนท้องที่กินจนอิ่มแปล้ จากนั้นก็บิดี้เียืดตัวไปทางดวงอาทิตย์ “เมืองไทยมีอะไรดีกัน ฉันยอมนอนตื่นสายอยู่ที่บ้าน กินซาลาเปาทอด แล้วออกมาเดินเล่นที่ร้านหนังสือกับแฟนดีกว่า”
“อืม เงื่อนไขไม่สูงเลยจริงๆ ” เซี่ยเจิงมองชวีเสี่ยวปอที่ยกแขนขึ้นมาจนเผยให้เห็นเอวของเขา “ถึงยังไงซาลาเปาทอดก็มีพอสำหรับนายอยู่แล้ว”
“นี่ เซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอจิ้มเข้าไปที่ด้านข้างเอวของเซี่ยเจิงอย่างแรง “ฉันรู้สึกไม่เหมือนเดิมนิดนึง”
“อะไรไม่เหมือนเดิม? ” เซี่ยเจิงมองเขา
“ไม่รู้สิ” ชวีเสี่ยวปอเกาศีรษะ “แต่รู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าบนหน้ามีคำเพิ่มขึ้นมาคำหนึ่ง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชวีเสี่ยวปอจึงพูดเน้นเสียงออกมาทุกคำว่า “ฉันมีแฟนแล้ว นายรู้สึกแบบนี้ไหม? ”
เซี่ยเจิงหลุดหัวเราะออกมา แต่ก็พูดขึ้นว่า : “รู้สึก แบบนี้ไม่ใช่ว่านายอยากจะอวดหรือไง? หรือว่าให้ฉันไปซื้อโทรโข่งให้ดี แล้วนายก็เอาไปประกาศว่านายออกจากกลุ่มคนโสดเรียบร้อยแล้ว”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย !” ชวีเสี่ยวปอยื่นนิ้วชี้ออกมาแนบลงไปที่ริมฝีปากพร้อมทั้งทำเสียงชู่ออกมา แต่ฟันเขี้ยวที่แสดงให้เห็นว่าเขามีความสุขกลับไม่ได้หายไปเลย
“เอ้” ทันใดนั้นเซี่ยเจิงก็ถอนหายใจออกมา “เื่ของพวกเราสองคน นายจะบอกซือจวิ้นไหม? ”
“บอก...มั้ง” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปตามสัญชาตญาณ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา เขายังไม่เคยคิดถึงเื่นี้เลยจริงๆ เพราะระหว่างเขากับซือจวิ้นจริงใจต่อกันมาโดยตลอด ไม่เคยปิดบังอะไรอีกฝ่ายเลยสักครั้งเดียว
ทว่าเื่นี้กลับต้องครุ่นคิดให้ดีสักหน่อย
เพราะยังมีเื่อื่นที่สำคัญยิ่งกว่าความจริงใจ
ซือจวิ้นจะเข้าใจและรับได้หรือเปล่า
เมื่อนึกถึงเื่นี้ หัวใจของชวีเสี่ยวปอก็เต้นแรงขึ้นมา
“อย่าเพิ่งบอกดีไหม? ” เขาทำเสียงจิ๊ปาก “หรือไม่ก็เดี๋ยวฉันหาโอกาสคุยกับเขาเอง? นายจะว่าอะไรไหมถ้าจะให้ซือจวิ้นรู้เื่นี้? ”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าท่าทีของเซี่ยเจิงก็สำคัญมากเหมือนกัน นี่ไม่ใช่เื่ง่ายๆ ระหว่างเพียงแค่เขาและซือจวิ้น แต่การเปิดเผยรสนิยมทางเพศให้คนอื่นได้รับรู้ สิ่งนี้ก็เป็เื่ที่ท้าทายสำหรับเซี่ยเจิงเช่นกัน