สีหน้าของพวกหลินเฉินพลันไม่น่ามอง ใครจะไปรู้ว่าจะมียอดฝีมือที่มีวรยุทธ์เหนือกว่าระดับจื่อฝู่ขั้นหกซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเล็กๆ แบบนี้ถึงสามคน
“สหายท่านนี้ เมื่อครู่เป็พวกเราที่บุ่มบ่ามเอง พวกเราจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ในที่สุดหลินเฉินก็ยิ้มกว้างออกมาขณะกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงประนีประนอม จากนั้นเขาก็คิดจะพาคนของตนจากไป
“ช้าก่อน ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่พวกเ้ายังฟังไม่เข้าใจอีกหรือ? มอบผลึกอสูรมาเสีย”
มู่เฟิงเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่คิดจะปล่อยให้คนที่้าจะชิงผลึกอสูรของเขากลับไปได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน
“เ้าหนุ่ม ข้ามอบสุราคำนับให้แต่เ้ากลับไม่ดื่ม ดัน้าดื่มสุราลงทัณฑ์* แม้พละกำลังของพวกเ้าจะไม่ธรรมดา แต่หากต้องต่อสู้กันขึ้นมาก็ใช่ว่าจะเอาชนะพวกเราได้”
(*พูดจาดีไม่ยอมต้องให้ใช้กำลังบีบบังคับ)
หลินเฉินตวาดออกมาอย่างดุดัน
“ฮ่าๆ ลำพังแค่เ้าน่ะหรือ?”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม “ถ้าเ้ายังไม่ยอมมอบมันออกมา เช่นนั้นข้าจะลงมือเอง”
“ลุยเลย!”
เหล่าศิษย์ตระกูลมู่ต่างก็ะโออกมาเสียงดัง นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะเป็ฝ่ายเข้าไปจู่โจมศิษย์ตระกูลหลินก่อน
“จัดการพวกเขา"
หลินเฉินแผดเสียงคำราม ศิษย์ตระกูลหลินต่างก็พุ่งตัวเข้าไปโรมรันกับศิษย์ตระกูลมู่อย่างไม่ยอมแพ้ทันที
มู่เฟิงทะยานร่างออกไปข้างหน้า เขาปล่อยลำแสงสีทองจากดรรชนีนิ้วสองสายให้พุ่งทะลวงแหวกอากาศออกไปพร้อมกัน
ฉึก! ฉึก!
“อ๊าก…!”
ลำแสงของดรรชนีนิ้วเจาะทะลวงเข้าที่ต้นขาของศิษย์ตระกูลหลินสองคน ร่างของพวกเขาล้มลงพร้อมกับกรีดร้องโหยหวนออกมาด้วยความเ็ป
ส่วนหลินเฉินก็พุ่งทะยานเข้าหามู่เฟิงโดยที่ในมือก็ถือกระบี่ยาวเอาไว้ เมื่อเขาตวัดกระบี่ออกไป ลำแสงกระบี่สีเขียวที่มีความยาวกว่าสามเมตรก็พุ่งผ่านอากาศออกไปเบื้องหน้าทันที
มู่เฟิงปล่อยพลังหมัดออกมา มันสามารถทำลายลำแสงกระบี่ของหลินเฉินได้โดยตรง เมื่อเห็นดังนั้นหลินเฉินก็รีบทะยานร่างะโขึ้นสูงเพื่อหลบหมัดของมู่เฟิง ทำให้หมัดนั้นกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังของเขาแทน และต้นไม้ต้นนั้นก็หักโค่นลงมาทันที
“เคล็ดกระบี่จันทราสีคราม”
พลังปราณภายในร่างของหลินเฉินหลั่งไหลเข้าสู่ตัวกระบี่ที่อยู่ในมือของเขา กระบี่ยาวพลันเปล่งแสงระยิบระยับในยามราตรี และเมื่อเขากวาดกระบี่ออกมา ลำแสงกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวอันทรงพลังก็พุ่งไปทางมู่เฟิงอย่างรวดเร็ว
ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขวางหน้ามู่เฟิงถูกคมกระบี่ตัดผ่านจนแยกออกเป็สองส่วน เห็นได้ชัดว่ากระบวนท่านี้ทรงพลังเพียงใด และนี่ก็คือพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของหลินเฉิน ระดับวรยุทธ์ของมู่เฟิงทำให้เขาไม่อาจเก็บซ่อนฝีมือได้อีกต่อไป
“ะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยา! หมัดเพลิง!"
พลังปราณเพลิงภายในร่างของเด็กหนุ่มไหลเวียนผ่านเส้นลมปราณไปรวมตัวกันที่หมัดของเขาเป็จุดเดียว และเมื่อเขาปล่อยพลังหมัดให้พุ่งทะยานออกมา เปลวเพลิงจากกำปั้นก็พุ่งเข้าปะทะกับลำแสงของกระบี่เล่มนั้นอย่างรุนแรง
เปรี้ยง...!
เมื่อพลังหมัดและลำแสงกระบี่ปะทะกัน คลื่นพลังก็พลันปะทุขึ้นและซัดสาดออกไปรอบๆ อย่างแรงทันที ต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคลียงถูกคลื่นพลังเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำแผดเผาไปด้วย
“อ๊าก…!”
หลินเฉินหวีดร้องโหยหวนออกมา ร่างกายของเขาถูกหมัดกระแทกอย่างแรง และปลิวกระเด็นไปไกลกว่าสิบเมตรจนอัดเข้ากับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะร่วงลงไปกองบนพื้นพลางกระอักเืออกมา
อีกด้านหนึ่ง ไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงกำลังนำศิษย์ตระกูลมู่เข้าประจันหน้ากับศิษย์ตระกูลหลินอย่างดุเดือด แต่แน่นอนว่าเหล่าศิษย์ตระกูลหลินย่อมไม่อาจรับมือกับเด็กหนุ่มทั้งสองที่มีวรยุทธ์เหนือกว่าได้ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นานกลุ่มศิษย์ตระกูลหลินก็ถูกทุบตีจนต้องนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นอย่างเ็ป
มู่เฟิงเดินเข้าไปหาหลินเฉินอย่างใจเย็น เขาย่อตัวลงก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “บัณฑิตพิเศษ เ้าจะยอมมอบผลึกอสูรออกมาเองหรือจะให้ข้าลงมืออีก?”
แม้ว่ามู่เฟิงจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาของเขากลับให้ความรู้สึกเย็นะเืจนเสียดแทงลึกเข้าไปถึงกระดูก ทำให้หลินเฉินอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“มะ มอบ ข้ายอมมอบแล้ว!”
หลินเฉินลอบกลืนน้ำลายก่อนจะรีบพยักหน้าด้วยความขมขื่น เขานำหยิบถุงหนังออกมาและส่งให้มู่เฟิงทันที
เมื่อเปิดปากถุงมู่เฟิงก็พบว่าภายในถุงหนังใบนั้นบรรจุผลึกอสูรเอาไว้ทั้งหมดหกก้อน แม้ว่าจำนวนจะน้อยกว่าของพวกเขา แต่เพียงเท่านี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
“เฮ้อ กลุ่มของพวกเ้านี่นะ ไม่รู้จักตั้งใจออกล่า คิดแต่จะแย่งชิงจากผู้อื่น รีบไสหัวไปให้พ้น”
มู่ขวงตวาดออกมา กลุ่มคนตระกูลหลินรีบพลิกตัวและพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล พวกเขาต่างก็ช่วยประคับประคองซึ่งกันและกันก่อนจะรีบจากไปในทันที
“ฮ่าๆ พี่เฟิง ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดบนโลกนี้จึงมีโจรอยู่มากมายนัก แค่ปล้นชิงเพียงครั้งเดียวก็ได้รับผลึกอสูรกลับมามากกว่าที่พวกเราออกแรงล่าอสูรมาสองวันเสียอีก”
มู่ขวงมองไปที่ถุงหนังในมือของมู่เฟิง ก่อนจะหัวเราะออกมา
“คนไร้โชคไม่อาจมั่งมี ม้าไร้หญ้าก็ไม่อาจอ้วนพี*”
(*หากไม่พึ่งพาความพยายามของตนก็ไม่อาจได้มา)
ไป๋จื่อเยว่เอ่ยขัดขึ้นมา
“เอาละทุกคน วันนี้ก็พักผ่อนกันก่อนเถอะ จื่อเยว่ คืนนี้เ้ากับมู่เฉวียนเป็คนเฝ้ายาม”
มู่เฟิงสั่งการ จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ในขณะเดียวกันนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีเงาร่างหนึ่งกำลังลอบมองพวกเขาด้วยสายเ็าจากมุมหนึ่งในป่า ก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไปอย่างเงียบเชียบ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เมื่อคืนได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อแสงแรกของวันส่องกระทบลงบนผืนป่า พวกมู่เฟิงก็ออกเดินทางค้นหาอสูรร้ายในเทือกเขาเทียนอวิ่นต่อในทันที
ห่างจากกลุ่มของมู่เฟิงออกไปราวสิบลี้ บริเวณริมผาที่มีความสูงราวๆ ยี่สิบกว่าเมตรนั้น มีต้นไม้สีเขียวมรกตขนาดเล็กต้นหนึ่งกำลังแผ่กลิ่นอายพลังฟ้าดินอันเข้มข้นออกมา
บนต้นไม้ต้นเล็กมีผลไม้สีทองขนาดเท่ากำปั้นสี่ผล นอกจากนี้รอบลำต้นของมันยังมีประกายแสงสีทองโอบล้อมเอาไว้
กลิ่นอายพลังฟ้าดินในบริเวณใกล้เคียงล้วนถูกดึงให้เข้าไปปกคลุมผลไม้ทั้งสี่ลูกเอาไว้ และผลไม้ทั้งสี่ลูกนั้นก็คอยดูดซับพลังเข้าไปจนก่อตัวเป็ม่านหมอกแห่งพลังฟ้าดินที่มีหลากหลายสีสันคอยโอบล้อมรอบต้นไม้เอาไว้ ซึ่งภายในรัศมีวงกลมหลายสิบลี้จะสามารถเห็นหมอกที่มีหลากหลายสีสันนี้ได้อย่างชัดเจน
ในยามนี้มีกลิ่นหอมประหลาดลอยกระจายออกไปไกลกว่าสิบลี้
“โฮก…!”
วานรูเาระดับหนิงกังตนหนึ่งที่มีร่างกายสูงใหญ่ราวเจ็ดถึงแปดเมตรและมีขนสีเทายาวปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกำลังจ้องมองผลไม้บนต้นด้วยแววตาลุกวาว
“โฮก…”
แต่ขณะเดียวกันนั้นก็มีเสียงคำรามดังมาจากระยะไกล เป็พยัคฆ์สีทองร่างั์ตนหนึ่งซึ่งมีความสูงราวเจ็ดถึงแปดเมตรและมีลวดลายสีทองบนตัว มันกำลังวิ่งทะยานเข้ามาจากระยะไกล ทันทีที่มันเห็นผลไม้ทั้งสี่ลูกบนต้นไม้ เืในกายของมันก็เกิดการสูบฉีดขึ้นมา
อสูรร้ายระดับหนิงกัง พยัคฆ์แถบทองคำ!
ระยะห่างระหว่างอสูรร้ายทั้งสองตัวนั้นอยู่ห่างกันหลายสิบลี้ มันต่างก็จ้องมองกันด้วยสายตาเ็าพร้อมกับแผดเสียงคำรามออกมาราวกับ้าข่มขู่อีกฝ่าย คลื่นพลังที่ส่งออกมาจากร่างพวกมันแผ่ขยายออกไปเป็บริเวณกว้าง
“พี่เฟิง ท่านดูนั่น ม่านพลังฟ้าดิน!”
ในเวลาเดียวกันนั้น ศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลมู่ก็อุทานออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปยังม่านหมอกหลากสีที่กำลังลอยอยู่เหนือป่าจากที่ไกลๆ
มู่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ม่านหมอกนั่นมีหนาแน่นเป็อย่างมาก หรือว่าจะมีสมุนไพรล้ำค่าอยู่ตรงนั้นกัน?”
มู่ขวงกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
“กล่าวกันว่าเมื่อผลิญญาสุกงอมจะเกิดม่านหมอกพลังฟ้าดินขึ้น ไปกันเถอะ อยู่ห่างจากพวกเราไม่ไกลนัก รีบไปดูกัน”
มู่เฟิงออกคำสั่งในทันที จากนั้นเขาก็เดินนำกลุ่มศิษย์ตระกูลมู่มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่มีม่านหมอกพลังฟ้าดินรวมตัวกันอย่างหนานแน่น
อีกด้านหนึ่ง คนอีกหลายกลุ่มก็ค้นพบม่านหมอกพลังฟ้าดินนี้เช่นกัน
“พี่หยาง ท่านรีบดูนั่น ม่านหมอกพลังฟ้าดิน! เป็หมอกพลังฟ้าดินขอรับ”
ศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลหลี่ว์อุทานออกมา เมื่อหลี่ว์หยางมองตามอีกฝ่ายก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น
“ปรากฏการณ์เช่นนี้ ที่นั่นต้องมีสมุนไพรล้ำค่าอย่างแน่นอน ไปกัน เราจะปล่อยให้คนอื่นไปถึงที่นั่นก่อนไม่ได้เด็ดขาด”
ดวงตาของหลี่ว์หยางเป็ประกาย เขานำกลุ่มศิษย์ตระกูลหลี่ว์มุ่งหน้าไปที่นั่นทันที
ไม่ไกลจากกันมากนัก บัณฑิตนับร้อยคนต่างก็ค้นพบม่านหมอกพลังฟ้าดินนี้เช่นกัน ทำให้คนแต่ละกลุ่มต่างก็รีบมุ่งหน้าไปที่นั่น
เนื่องจากอยู่ในรัศมีสิบลี้ กลุ่มของมู่เฟิงจึงไปถึงที่นั่นภายในเวลาไม่กี่นาที
เมื่อมาถึงพวกเขาก็ค้นพบว่าบนหน้าผาสูงราวสามสิบกว่าเมตรมีต้นไม้แห่งจิติญญาสีเขียวขจีกำลังออกผลสีเหลืองทองจำนวนสี่ผลอยู่
เมื่อได้เห็นผลไม้เหล่านี้ พวกมู่เฟิงก็เกิดใจเต้นแรงขึ้นมาทันที
“ผลิญญาขั้นสี่ระดับกลาง ผลิญญาทองคำ!”
แต่ยังไม่ทันจะได้ดีใจ พวกมู่เฟิงก็เหลือบไปเห็นอสูรร้ายร่างั์สองตัวที่อยู่ใต้หน้าผา ตัวหนึ่งคือวานรูเา ส่วนอีกตัวคือพยัคฆ์แถบทองคำ เมื่อพิจารณาจากคลื่นความผันผวนของพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกมันแล้ว คาดว่าน่าจะเป็อสูรร้ายระดับหนิงกังขั้นสาม
อสูรร้ายทั้งสองตัวต่างก็แผดเสียงคำรามใส่กัน ราวกับว่ามันกำลังจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงผลิญญา
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
และทันใดนั้นเอง ภายในผืนป่าก็มีเงาร่างของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แน่นอนว่าเป็เหล่าบัณฑิตใหม่ที่ััได้ถึงกลิ่นอายของม่านพลังฟ้าดินจึงได้รีบร้อนพากันมาที่นี่...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้