สิบหมื่นมหาบรรพต ภายในห้องโถงใหญ่!
จางหลี่เอ๋อร์จ้องจางเสินซวีด้วยสายตาเ็า
“ให้เ้าจับตามองพรรคเทพหมาป่า์ แต่เ้าจับตามองอะไร? ข่าวที่เ้าได้คือหวังเค่อไปจากพรรคเทพหมาป่า์ได้สามสี่วันแล้ว?” จางหลี่เอ๋อร์ถลึงตา
“ท่านพี่ ท่านรู้ไหมว่าหวังเค่อนั่นลื่นเป็ปลาไหลขนาดไหน? ครั้งก่อนปลอมตัวอัปลักษณ์คิดหลบหนีแต่ก็ถูกข้าจับได้ การแปลงโฉมครั้งนี้จะต้องยิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม พวกเราส่งคนไปเฝ้าเมืองหลางเซียนไว้แล้ว เดิมที...!” จางเสินซวีเอ่ยเสียงขื่น
ยังจำครั้งก่อนที่จับหวังเค่อจางเจิ้งเต้ามาได้ คนหนึ่งหน้าตะปุ่มตะป่ำ อีกคนปลอมเป็หญิงอ้วนตุ๊ต๊ะ หากไม่ใช่ว่ามีภาพเหมือนอยู่ในมือคงไม่มีทางรู้ว่านี่เป็พวกมันแปลงโฉมมา! ตอนนี้ไม่มีภาพเหมือนแล้วจะหาตัวยังไง?
“ข้าไม่สน นั่นเองก็เป็เพราะพวกเ้าละเลยหน้าที่ตัวเอง แล้วให้กระเรียนออกไปหาแต่กลับมามือเปล่า?” จางหลี่เอ๋อร์จ้อง
“ท่านพี่ ไฉนท่านถึงได้โกรธหวังเค่อขนาดนั้น หวังเค่อใช่ทำเื่ที่สุดทานทนต่อท่านไว้หรือไม่?” จางเสินซวีนิ่วหน้า
“เพี๊ยะ!”
จางหลี่เอ๋อร์ตบหัวจางเสินซวีจนอีกฝ่ายแทบหน้าจูบพื้น
“พูดบ้าๆ อะไรของเ้า? หวังเค่อนับเป็อย่างไรได้ มันใช่คู่มือข้า?” จางหลี่เอ๋อร์ด่า
“แต่ทำไมท่านถึงต้องโกรธมันขนาดนั้นด้วยเล่า!? ที่แท้เกิดอะไรขึ้นที่ห้องทำงานหวังเค่อวันนั้นกันแน่?” จางเสินซวีถามอย่างฉงนฉงาย
วันนั้น?
พอพูดถึงวันนั้นจางหลี่เอ๋อร์ก็ควันออกหู ดักตีหัวคนมาก็มากแต่ไม่เคยแพ้ภัยตนเองแบบนี้ ไม่เพียงไม่ได้ดักตีหัวแต่กลับเป็ฝ่ายรับความอัปยศแทน?
น่าอับอายขายหน้าสิ้นดี!
“ล้วนต้องโทษเ้า ข้าให้เ้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารเสินหวังให้ดี ใช้เวลาตั้งหลายวันแต่กลับให้พิมพ์เขียวข้ามาผิดๆ ห้องทำงานของหวังเค่อยังมีช่องลิฟต์ลับอีกตัว ทำไมเ้าถึงไม่วาดออกมา? ทำไม!?” จางหลี่เอ๋อร์คาดโทษ
“ขะ ข้าก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วนะ!” จางเสินซวียิ้มขื่น
“หาให้เจอ ให้กระเรียนมงกุฎแดงทุกตัวหาให้เจอ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะหาไม่เจอ!” จางหลี่เอ๋อร์เอ่ยเสียงต่ำ
“แต่ถ้าให้กระเรียนออกไปหมดเกิดศิษย์ในพรรค้าขี่พวกมันขึ้นมาจะทำยังไง?” จางเสินซวีเป็กังวล
“ไม่มีกระเรียนแล้วไม่มีเท้าเดินหรือยังไง ให้พวกมันคอยไปก่อน!” จางหลี่เอ๋อร์เอ่ยเสียงเย็น
“แต่ฝั่งท่านประมุข ผู้าุโ...?”
“หากพวกมันไม่ปลื้มงั้นก็ให้พวกมันมาหาข้า! พวกเ้าแค่หาไปตามที่ข้าสั่งก็พอ จำไว้ว่าหากหาตัวหวังเค่อไม่เจอไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก! รวมถึงกระเรียนทุกตัวด้วยเช่นกัน ถ้าหาหวังเค่อไม่เจอก็ไม่ต้องกลับมา!” จางหลี่เอ๋อร์ว่า
“อ๋า?” จางเสินซวีหน้าแข็งทื่อ
“ย่าผู้นี้โมโหแทบตายแล้ว วันๆ พวกเ้าทำอะไร? ฮะ! ทั้งที่เป็น้องชายเหมือนกันแต่เ้าดูบ้านอื่น แล้วดูเ้า ทำข้าโมโหแทบตายแล้ว!” จางหลี่เอ๋อร์แดกดัน
จางเสินซวีหน้าแข็งค้าง “ท่านพี่ ท่านพี่ข้าจะไปตามหาหวังเค่อเดี๋ยวนี้ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว!”
ระหว่างที่พูดมันก็รีบเผ่นแน่บออกไปจากตำหนัก
“ฮึ่ม!” จางหลี่เอ๋อร์ยังไม่หายโกรธ
สิบหมื่นมหาบรรพต ภายในป่าเขาแห่งหนึ่ง
จางเจิ้งเต้ามองดูหุ่นไล่กาสองตัวตรงหน้า
หุ่นไล่กาทั้งสองตอนนี้ยืนนิ่งอยู่ในชุดของหวังเค่อและจางเจิ้งเต้า
“หวังเค่อ นี่น่ะหรือแผนรับมือการปล้นกางเกงในของเ้า? แม่งเอ๊ย หุ่นไล่กาสองตัว แค่นี้อ่ะนะ?” จางเจิ้งเต้าสีหน้าว่างเปล่า
“แล้วเ้าคิดได้ดีกว่านี้มั้ยล่ะ?” หวังเค่อจ้องจางเจิ้งเต้าตาเขม็ง
“แต่นี่ไม่หยิบหย่งไปหน่อยรึ? ของเล่นปาหี่แบบนี้ใช้ประโยชน์อะไรได้? อย่างมากก็ขู่ได้แค่นกที่บินผ่านไปมาเท่านั้น!” จางเจิ้งเต้ายังคงมีสีหน้าว่างเปล่า
“มองไม่เห็นหรือไง? หุ่นไล่กาสองตัวนี้สวมชุดที่ข้าเพิ่งถอดออกมาอยู่!” หวังเค่อเอ่ยเสียงเข้ม
“แล้วไง?” จางเจิ้งเต้าทำหน้างง
“ความดั้งเดิม!” หวังเค่ออธิบาย
“อ๋า? ความดั้งเดิมอะไร?” จางเจิ้งเต้าทำหน้างง
หวังเค่อกลอกตาใส่อีกฝ่าย แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ? งั้นก่อนหน้านี้รสนิยมหนักของเ้าพัฒนามาได้ยังไงกัน?
“เอาละ พวกเราไปซ่อนตัวไกลๆ กันเถอะ ใช้กลิ่นบุปผาแมกไม้อำพรางรัศมีพลัง ข้าขอดูหน่อยเถอะว่าไอ้คนที่ขโมยกางเกงในข้าทุกครั้งมันเป็ใครกันแน่! ถึงขนาดไล่ตามมาถึงนี่!” หวังเค่อเอ่ยเสียงต่ำ
“แค่นี้อะนะ?” จางเจิ้งเต้าชะงักไป
“แค่นี้แหละ!” หวังเค่อพยักหน้า
“แล้วศึกป้องกันกางเกงในเ้าล่ะ? เ้าไม่แม้แต่จะประจันหน้ากับศัตรู? เ้าไม่คิดสู้? แค่นี้ก็เป็อันเสร็จแล้วเนี่ยนะ? เ้าจะยกเสื้อผ้าเต็มยศนี้ไปฟรีๆ?” จางเจิ้งเต้าอุทาน
“งั้นเ้าคิดได้ดีกว่านี้มั้ยล่ะ?” หวังเค่อเอ่ยเสียงต่ำ
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเ้าไม่ได้ทำอะไรเลยนี่นา?” จางเจิ้งเต้าอุทาน
“ก็แค่ปล้นกางเกงใน ไม่ได้ฆ่าคนวางเพลิง ไหนเลยจะผิดบาปมหันต์เพียงนั้น? เ้าคิดว่าข้าจะจับคนเปลื้องผ้ารึไง? ข้าขอดูหน่อยเถอะว่าที่แท้เป็แม่นางคนใดในพรรคเทพหมาป่า์ที่มีงานอดิเรกวิตถารแบบนี้!” หวังเค่ออธิบาย
“ศิษย์สตรีพรรคเทพหมาป่า์เราจะสติไม่ดีมาขโมยกางเกงในเ้า? แถมยังไล่ล่าพันลี้มาเพื่อขโมยกางเกงในเ้าอีกครั้ง?” จางเจิ้งเต้าเผยสีหน้าไม่เชื่อถือแม้แต่นิดเดียว
“ก็ไม่แน่หรอก! พวกเราต้องผ่อนปรนต่อศิษย์พี่หญิงของพวกเราสักหน่อย!” หวังเค่อเอ่ยราวกับว่าเป็เื่ที่ถูกที่ควร
“แล้วถ้าไม่ใช่ศิษย์พี่หญิง แต่เป็ศิษย์พี่ชายเล่า?” จางเจิ้งเต้าวิเคราะห์
หวังเค่อหน้าแข็งทื่อ เป็ผู้ชาย?
“แม่งเอ๊ย ไอ้วิตถารน่าตาย แบบนั้นย่อมปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด!” หวังเค่อตาลุกเป็ไฟ
“อ๋า?” จางเจิ้งเต้าไม่อาจเข้าใจ
“ไอ้วิตถารน่าตายนี่ขโมยเสื้อผ้าข้ามาตลอด บิดาจะเผามันให้ตาย!” หวังเค่อเอ่ยเสียงต่ำ
“เผา?” จางเจิ้งเต้างุนงง
แต่แล้วก็เห็นหวังเค่อพลิกฝ่ามือนำถุงปิดผนึกออกมาใบหนึ่ง ขณะเดียวกันก็กระตุ้นสัจปราณขุ่นไปด้วย สัจปราณขุ่นสีทองอร่ามเติมเต็มถุงใบนั้นในพริบตา จากนั้นหวังเค่อก็นำมาซ่อนไว้ในหุ่นไล่กาของตนเองอย่างระมัดระวังสุดเปรียบ
“สัจปราณเ้านั่นมัน? เ้าคิดจะทำอะไร?” จางเจิ้งเต้าทำหน้างง
แต่แล้วก็เห็นหวังเค่อนำกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง ใช้หินจุดไฟมัดไว้ปิดส่วนที่ปรากฏสู่สายตาเพียงหนึ่งเดียวของถุงไว้
บนกระดาษเขียนว่า “ใครขโมยกางเกงในข้า มันผู้นั้นไม่ตายดี!”
จางเจิ้งเต้ามองดูการกระทำของหวังเค่อด้วยสีหน้าพิลึก “เ้าเล่นอะไรของเ้า? ทำไมข้าถึงดูไม่เข้าใจเลย?”
“เ้าก็ต้องไม่เข้าใจอยู่แล้ว นี่คือพิชัยยุทธ์ของซุนวู ปีนั้นซุนปิน[1] ใช้อักษรบนที่ฝังศพฆ่าผางจวน![2] ที่ข้าเขียนอักษรพวกนี้ก็เพราะ้าสร้างความอัปยศแก่ไอ้วิตถารน่าตายนั่น เมื่อถึงเวลามันจะต้องอับอายจนเกิดโทสะก่อนฉีกกระดาษแผ่นนี้ทิ้ง เมื่อนั้นหินจุดไฟก็จะถูกเสียดสีจนสัจปราณของข้าลุกติดไฟ ฮึ่ม! ไอ้วิตถารน่าตาย ข้าจะให้มันเป็หมูย่างไปซะ!” หวังเค่อเอ่ยเสียงเข้ม
“ไอหยา วิธีนี้ลึกล้ำนัก เพียงแต่ว่าซุนปินคือใคร?” จางเจิ้งเต้าทำหน้างง
จางเจิ้งเต้ามีหรือจะเคยได้ยินชื่อคนเก่าคนแก่ของโลก?
“ซุนปินน่ะรึ? มันก็คือหลานของซุนวู!” หวังเค่ออธิบาย
จางเจิ้งเต้า “ซุนวูผู้นี้เป็ใครเ้าถึงได้ด่ามันแบบนี้?”
“ข้าไม่ได้ด่ามัน แต่มันคือหลานของซุนวู เอาละ รีบไปกันได้แล้ว!” หวังเค่อลากจางเจิ้งเต้าเผ่นแน่บจากไปไกล
ทั้งสองต่างก็เป็พวกรักตัวกลัวตาย ดังนั้นจึงหนีไปซ่อนซะไกลลิบ หลังจากข้ามเขามาสิบกว่าลูกพวกมันถึงค่อยปักหลักซ่อนตัว ใช้ของแถวๆ นั้นมาปิดบังอำพรางกลิ่นตามตัวไว้
“หวังเค่อ พวกเราไม่ซ่อนไกลเกินไปหน่อยรึ? ระยะห่างขนาดนี้มองอะไรแทบไม่เห็นเลย!” จางเจิ้งเต้าทำหน้าพิกล
“เลิกพล่ามเหลวไหล เมื่อกี้ไม่ใช่เ้าวิ่งเร็วที่สุดหรือไง!” หวังเค่อถลึงตา
ทั้งสองจับจ้องหุบเขาที่อยู่ไกลตาจนแทบไม่เห็นอย่างไม่ละสายตา
ถงอันอันสวมจมูกสุนัขพาสิบหัวโล้นตัดป่าเขามาด้วยความเร็วสูง ไม่นานก็ตามพวกหวังเค่อทั้งสองทัน
“หือ?” ถงอันอันเลิกคิ้ว
“อะไรหรือขอรับ? ผู้ดูแล!” หัวโล้นคนหนึ่งถามอย่างสงสัย
“กลิ่นของหวังเค่อแบ่งเป็สองส่วน แยกกันไปสองทาง?” ถงอันอันนิ่วหน้า
“กลิ่นของหวังเค่อแยกเป็สองส่วน? คนๆ หนึ่งแยกเป็สองได้ด้วย?” หัวโล้นคนหนึ่งไม่อาจเข้าใจ
“ไม่ถูกต้อง หวังเค่อจะต้องทิ้งของประจำตัวไว้ที่ใดที่หนึ่ง ส่วนตัวมันเองหนีไปซ่อนอีกที่หนึ่ง หนึ่งในสองที่นี้มีแค่ที่เดียวที่เป็หวังเค่อตัวจริง!” ถงอันอันส่ายจมูกสุนัขดอมดม
“งั้นจะทำยังไงกันดีขอรับ?”
“ไม่ใช่เื่ใหญ่ ทั้งสองตำแหน่งอยู่ไม่ไกล ก่อนอื่นพวกเราก็ไปจุดที่ใกล้กว่าก่อน ตามข้ามา อยู่ตรงหุบเขาด้านหน้านี่เอง!” ถงอันอันเร่งพาคนทั้งสิบไปยังหุบเขาที่หวังเค่อเตรียมกับดักไว้
“ผู้ดูแล อยู่นั่น ดู ตรงนั้นมีคนยืนอยู่สองคน!” หัวโล้นคนหนึ่งอุทานอย่างแตกตื่นยินดี
“เร็ว รีบล้อมพวกมันไว้ ฮ่าฮ่า!” ถงอันอันะเิหัวร่อ
“ตูม!”
ทั้งสิบเอ็ดคนพุ่งเข้าไปล้อมกรอบหุ่นไล่กาทั้งสองไว้ด้วยความเร็วสูงสุด
ทีแรกพวกมันกำลังเงื้อดาบวาดกระบี่กันอย่างเริงร่า แต่พอเห็นหุ่นไล่กาตรงหน้าชัดๆ สีหน้าก็พลันแข็งค้าง
“อะ อะไรกันนี่?”
“หุ่นไล่กา? ทำไม? แถมยังสวมชุดของหวังเค่อด้วย?”
แก๊งหัวโล้นตาเหลือกกว้าง นี่มันจะพิสดารพันลึกเกินไปแล้ว ใครมันเล่นพิเรนทร์เอาหุ่นไล่กามาตั้งไว้กลางป่ากลางเขา ประเด็นคือแถวนี้ไม่มีพืชไร่ให้เฝ้าเลยสักหย่อมหญ้า นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน?
“แย่แล้ว พวกเราถูกเผยตัวจนได้ หวังเค่อพบร่องรอยของพวกเรา ไม่งั้นมันจะเตรียมหุ่นไล่กาพวกนี้ไว้ได้ยังไง! เราถูกซุ่มโจมตี!” หัวโล้นคนหนึ่งอุทานขึ้น
“พรึบ!”
พวกมันกลายเป็ระวังตัวแจขึ้นมาทันที
แต่นอกจากฝูงนกที่แตกฮือไปด้วยความกลัวบนฟากฟ้าแล้วก็ไม่มีใครอยู่อีก จะมีก็แต่กระเรียนมงกุฎแดงที่บินร่อนไปมาอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น
“มะ ไม่มีกำลังดักซุ่ม?” ถงอันอันเอ่ยด้วยสีหน้าพิลึก
“ผู้ดูแล ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย! หุ่นไล่กาพวกนี้หมายความว่าอะไรกันแน่? สรุปว่าพวกเราถูกหวังเค่อจับได้หรือไม่?” หัวโล้นคนหนึ่งตั้งคำถามอย่างฉงนฉงาย
“หุ่นไล่กาตัวที่สวมชุดของหวังเค่อมีกระดาษอยู่!” ถงอันอันหรี่ตาดูรายละเอียด
“ใครกล้าขโมยกางเกงในข้า มันผู้นั้นไม่ตายดี!”
ทุกคนเมื่อเห็นข้อความนี้ก็ต้องเงียบเป็เป่าสากไปพักใหญ่
ไอ้จิตป่วง ใครเขาอยากจะขโมยกางเกงในของเ้ากัน!
“ผู้ดูแล พวกเราไม่เห็นจะเข้าใจเลย! ข้อความที่หวังเค่อทิ้งไว้นี่แปลว่าอะไรกันแน่!? มีกลไกอะไรหรือไม่?” หัวโล้นคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“หวังเค่อผู้นี้ไม่อาจดูถูกได้ นี่จะต้องมีความนัยบางอย่าง มันคิดเล่นงานพวกเรา! ในนี้จะต้องมีกลไกซ่อนอยู่แน่!” ถงอันอันเอ่ยเสียงต่ำ
“ข้อความพวกนี้จะมีกลไกอะไรได้?” หัวโล้นคนหนึ่งรำพึงอย่างเหม่อลอย
นั่นสิ! ในนี้จะไปมีกลไกอะไรได้!?
เพราะไม่ใช่โจรขโมยกางเกงในอย่างที่หวังเค่อคาดการณ์ไว้ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ติดกับดักกลยุทธ์ซุนวูของหวังเค่อ ทั้งไม่ได้ฉีกกระดาษด้วยความโกรธ แต่กำลังเพ่งพินิจถ้อยคำอักษรบนนั้นอยู่ด้วยความฉงนสนเท่ห์
“หวังเค่อจับตัวพวกเราได้หลายต่อหลายครั้ง โลดแล่นเริงร่าระหว่างสองฝ่ายธรรมะอธรรมเหมือนปลาได้น้ำ เวลาก่อการไหนเลยจะไม่มีนัยยะแฝงเร้น? นี่จะต้องมีนัยยะซ่อนอยู่ เดี๋ยวข้าจะลองดมดูสักหน่อยว่ามีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่!” ถงอันอันขยับเข้าใกล้
“ฟุดฟิด! ฟุดฟิด!”
ถงอันอันเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดขับเคลื่อนใช้งาน ‘จมูกสุนัข’ พยายามหากลไกสังหารที่หวังเค่อทิ้งเอาไว้
“ผู้ดูแล ข้าว่าฉีกมันทิ้งไปเลยดีกว่า? มาฉีกดูข้างในกันเถอะ!” หัวโล้นคนหนึ่งขันอาสา
“ช้าก่อน! นี่อาจเป็กลตบตา!” ถงอันอันห้ามอย่างกังวล
“ผู้ดูแลวางใจได้ ข้าจะระวัง ข้าจะไม่ใช้มือ!” หัวโล้นคนนั้นว่า
ระหว่างที่พูดกระบี่ยาวในมือก็เสียบเข้าไปในหุ่นไล่กา
“ฟู่!”
เหมือนกับลูกโป่งที่ลมรั่ว เพียงเสี้ยวพริบตา แก๊สสีทองก็พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย
“ฟุดฟิด!” ถงอันอันเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดขับเคลื่อนใช้งาน ‘จมูกสุนัข’
แก๊สสีทองหายเข้าไปในโพรงจมูกของถงอันอันอย่างเต็มอัตราศึก
เดิมทีสัจปราณขุ่นก็เหม็นบรมพออยู่แล้ว แต่ด้วย ‘จมูกสุนัข’ นี้อานุภาพจึงขยับขยายเป็ร้อยเท่าพันทวี
“บรึ้ม!”
ถงอันอันรู้สึกถึงอสนีบาตกลางฟ้าแจ้ง ดวงิญญากระจัดกระจายในเสี้ยวพริบตา หลังจากใช้จมูกสุนัขเร่งประสิทธิภาพ อานุภาพที่ก่อเกิดยิ่งใหญ่ไพศาลถึงเพียงไหน ถงอันอันรู้สึกเหมือนตัวหายไปจากโลกมาโผล่อยู่กลางขุมนรกอเวจีและกำลังร่วงลงไปในนรกไร้ก้นบึ้ง ดวงิญญาจับตัวเป็น้ำแข็ง กลิ่นเหม็นครอบฟ้าคลุมดินเข้าแทนที่โลกทั้งใบของมัน
“ช่วยลูกช้างด้วย คร่อกๆๆๆ!”
ถงอันอันเพิ่งจะเปล่งเสียงตาก็เหลือกหายขึ้นศีรษะก่อนสลบเหมือดไปในบัดดล ตรงปากมีฟองฟูมออกมาไม่หยุด
“ในหุ่นไล่กามีพิษ!”
“พวกเราติดกับ!”
“หวังเค่อเล่นพวกเราแล้ว!”
“มีกำลังดักซุ่ม!”
“ผู้ดูแล!” แก๊งหัวโล้นปรี่เข้าไปช่วยนายของพวกตน
“คร่อกๆๆ!”
ถงอันอันที่สลบไสลทางหนึ่งชักกระตุกอีกทางหนึ่งพ่นฟองออกมาไม่หยุด
แก๊งหัวโล้นรีบหามตัวถงอันอันขึ้นมาก่อนโกยอ้าวไปจากตรงนั้น
หนึ่งในแก๊งหัวโล้นบังเกิดจิตเคียดแค้นต่อการถูกดักซุ่ม ก่อนจากไปจึงถีบหุ่นไล่กาล้มลงอย่างแรง ขณะเดียวกันก็ถีบโดนกระดาษแผ่นนั้นไปด้วย ทันใดนั้นหินจุดไฟก็จุดเผาหุ่นไล่กา
“พรึบ!”
สัจปราณขุ่นที่ยังตกค้างอยู่บนหุ่นมีมากพอที่จะติดไฟขึ้นมาในชั่วพริบตา จากนั้นหุ่นไล่กาก็ไฟท่วมทั้งตัว เกิดเป็เพลิงขนาดย่อม
ถงอันอันกำลังสลบไสลไม่ได้สติ ทุกคนหรือจะมีกะจิตกะใจมาดูสถานการณ์ของหุ่นไล่กา? พวกมันต่างโกยแน่บไปนานแล้ว
ตอนนี้เมื่อสองหุ่นไล่กาติดไฟลามเลียเหล่ากระเรียนที่บินวนไปมาบนฟ้าพลันตาลุกวาว
ฝูงกระเรียนถูกสั่งมาว่าหากตามหาหวังเค่อไม่ได้ก็ไม่อาจกลับไป จางเสินซวีกำชับว่าหวังเค่อจะต้องปลอมแปลงตัว ตอนที่อยู่บนน่านฟ้าต่อให้สังเกตเห็นความผิดปกติแม้สักเล็กน้อยจะต้องเข้าไปตรวจสอบดู บางทีอาจมีร่องรอยอยู่ก็ได้
ตอนนี้เมื่อเกิดไฟโชติ่ชัชวาลขนาดนี้ ยังไม่ต้องเข้าไปตรวจสอบอีกหรือ?
“แกว้ก!” “แกว้ก!” “แกว้ก!”
.........
กระเรียนตัวแล้วตัวเล่าโผเข้าหาหุบเขาที่หุ่นไล่กากำลังติดไฟลุกโพลง
ตอนนั้นเองหวังเค่อและจางเจิ้งเต้าที่ซ่อนตัวอยู่หลังเนินเขาสิบกว่าลูกไกลออกไปกลับตาลุกวาวขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าคนชุดดำกลุ่มหนึ่งจะตรงไปทางหุ่นไล่กาของพวกเรา?” จางเจิ้งเต้าสงสัยใคร่รู้
“คนชุดดำ? ฮ่า ท้ายที่สุดพวกมันก็แตะต้องกระดาษจนเกิดไฟลุกขึ้นมา หือ? ไม่ถูกต้อง! ทำไมไฟถึงกองเล็กนิดเดียว? ข้าจำได้ว่าใส่สัจปราณขุ่นเข้าไปมากพอแล้วนี่! แม้จะไม่ถึงขนาดเผาไอ้วิตถารน่าตายจนตายไปจริงๆ แต่อย่างน้อยก็ต้องขู่ขวัญมันได้! ทำไมไฟกองนี้ถึงเล็กนัก? แปลกเกินไปแล้ว!” หวังเค่อเผยสีหน้าไม่เข้าใจ
“คนชุดดำพวกนั้นคล้ายวิ่งหนีไปแล้ว? พวกมันสวมชุดดำอยู่ พวกเราก็เลยแยกแยะไม่ออกเลยว่าพวกมันเป็ใคร!” จางเจิ้งเต้าร้อนใจ
หวังเค่อสีหน้าไม่น่าดู “ไม่ใช่วิตถารน่าตายคนเดียว แต่มาเป็แก๊ง?”
“หวังเค่อ แผนของเ้าใช้ไม่ได้ผล! พวกเราอุตส่าห์สละเสื้อผ้าสองชุด แต่กลับระบุไม่ได้ว่าผู้มาเป็ใคร!” จางเจิ้งเต้านิ่วหน้า
ตอนนั้นเองที่ฝูงกระเรียนร่อนตัวลงมาตรวจดูกองไฟ จากนั้นก็กางปีกบินไปสี่ทิศแปดทางราวกับว่ากำลังตามหาใครบางคนอยู่
“รีบซ่อนเร็ว นั่นมันกระเรียนมงกุฎแดงของพรรคอีกาทองคำ! กระเรียนพวกนี้กำลังตามล่าพวกเราอยู่!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงแตกตื่นลนลาน
“กระเรียนมงกุฎแดง? กระเรียนมงกุฎแดง? พรรคอีกาทองคำ? ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้วว่าใครเป็คนขโมยกางเกงในข้าไป!” หวังเค่อเผยสีหน้าสลับซับซ้อน
“ใคร?” จางเจิ้งเต้าสงสัยใคร่รู้
“จางหลี่เอ๋อร์ จะต้องเป็นางไม่ผิดแน่ หากไม่ใช่นางมีความคิดอ่านวิตถารแบบนี้ วันนั้นนางจะยั่วสวาทข้าที่อาคารเสินหวังได้หรือ? จะต้องเป็ฝีมือนาง คดีถูกสะสางแล้ว! เป็จางหลี่เอ๋อร์!” หวังเค่อสีหน้าซับซ้อนว้าวุ่น
จางเจิ้งเต้ามองหวังเค่อด้วยความทึ่ง เ้าหน้าเหม็นไร้ยางอายนี่ยังมีหน้าเอ่ยวาจาพรรค์นี้ออกมาอีกรึ!?
จางหลี่เอ๋อร์คือสตรีงามหยาดเยิ้มถึงเพียงนั้น แม้จะอารมณ์ร้าย แต่ก็เป็ที่ยอมรับในสมญายอดโฉมสะคราญของสิบหมื่นมหาบรรพต! แต่เ้ากลับหาว่านางขโมยกางเกงในเ้า? แถมยังวิ่งโร่มาถึงพรรคเทพหมาป่า์เพื่อทำการขโมยมากว่าครึ่งปี? เ้าใช้ตรรกะส่วนไหนคิด?
“หวังเค่อ วาจาหน้าไม่อายแบบนี้เ้ายังมีหน้าพ่นออกมาได้อีกรึ!?” จางเจิ้งเต้ากำลังจะหายใจหายคอไม่ออก
“หน้าไม่อายตรงไหน? เ้าจะไปเข้าใจอะไร! จะต้องเป็นางแน่ นางให้ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ช่วยขโมย ไม่งั้นคงอธิบายเื่ราวทุกอย่างไม่ได้! ไอ้เรารึก็ถนอมตัวดุจหยกมาตลอด แต่จางหลี่เอ๋อร์กลับคิดเอารัดเอาเปรียบข้า บังเกิดความคิดสัปดนแบบนี้ขึ้นมา! ไม่ผิดเลย ลองสตรีได้ตั้งใจวางแผนขึ้นมา ใครก็ไม่อาจต้านพวกนางได้! ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่านางจะมีความคิดวิตถารแบบนี้?” หวังเค่อสีหน้าอัปลักษณ์
จางเจิ้งเต้าหยุดหายใจมองหวังเค่อตาค้าง หนังหน้านี้แม้แต่กระบี่บินก็คงจะแทงไม่เข้ากระมัง?
[1] ซุนปินเป็นักยุทธศาสตร์การทหารชาวจีน
[2] แม่ทัพใหญ่ของนครรัฐวุ่ย
