“ท่านลุงสวี่ ข้าคือโม่เสวียน เสด็จพ่อของข้าคือเยี่ยนอ๋อง ครั้งข้ายังเล็ก ท่านยังเคยให้ข้าขี่หลังวิ่งไล่ม้า ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ” โจวโม่เสวียนขยับเข้าไปสองสามเก้า ทำให้องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ กระแอมขึ้นมาหลายครั้งทันใด ด้วยกลัวว่าแม่ทัพสวี่จะคลุ้มคลั่งและทำร้ายเขา
แม่ทัพสวี่นิ่งเหม่อไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พึมพำว่า “เยี่ยนอ๋องคือผู้ใด”
นายผู้เฒ่าสวี่ร้องเสียงหลง “ลูกเอ๋ย เช้านี้เ้ายังจำท่านอ๋องได้อยู่เลย ยามนี้กลับจำไม่ได้แล้วหรือ”
โจวโม่เสวียนขยับเข้าไปอีกสองสามก้าว ครานี้อยู่ห่างจากแม่ทัพสวี่ไม่ถึงครึ่งจั้ง เมื่อเห็นสภาพของแม่ทัพสวี่เต็มตาก็ต้องเศร้าใจเสียอย่างยิ่ง เพียงไม่กี่เดือนเขาก็ชราลงและผ่ายผอมจนเป็เช่นนี้ นี่ยังคือท่านลุงสวี่วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่บนหลังม้า ที่เคยสังหารศัตรูมานับไม่ถ้วนผู้นั้นหรือไม่ จึงเอ่ยปากว่า “เยี่ยนอ๋องก็คือเสด็จพ่อของข้า คือจอมทัพที่ร่วมสังหารศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านในสนามรบอย่างไรเล่า”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็ได้ยินคนตระกูลสวี่ร้องขึ้นมาเป็เสียงเดียวกันว่า “อย่าเอ่ยคำว่า สนามรบ พ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้นก็เห็นว่า แม่ทัพสวี่ในสภาพปล่อยผมยาว สวมแค่เสื้อตัวใน กระโจนลงมาจากเตียงด้วยเท้าเปล่า พุ่งเข้าใส่ โจวโม่เสวียน ะโว่า “ฆ่ามัน!”
โจวโม่เสวียนหวาดผวาอยู่ในใจ แต่เขาก็เป็ผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง เมื่อเห็นว่าแม่ทัพสวี่กระโจนเข้าหา จึงถอยไปข้างหลังตามสัญชาตญาณในทันใด
“นายท่านใหญ่!” บ่าวสี่คนพุ่งตัวไปข้างหน้า คนหนึ่งกอดเอวแม่ทัพสวี่เอาไว้ อีกสองคนกอดขาเขา และอีกคนหนึ่งใช้สันมือฟาดที่ท้ายทอยของแม่ทัพสวี่ให้เขาสลบไป
ทั้งสี่คนทำงานร่วมกันอย่างคล่องแคล่ว ราวกับว่าทำมาหลายครั้งแล้วเช่นนั้น
แม่ทัพสวี่ถูกบ่าวอุ้มไปไว้บนเตียง ในขณะที่ทุกคนนึกว่าเขาสลบไปแล้ว แต่ผู้ใดจะนึกว่าเขากลับลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับคำรามร้องเสียงดังลั่นเหมือนสัตว์ป่า ทั้งเตะทั้งต่อยบ่าวทั้งสี่คน ปากก็ด่าทอไม่หยุด
“ข้าจะสังหารพวกเ้าชาวแคว้นหลางเสียให้สิ้น”
“ข้าจะล้างแค้น!”
“ไอ้พวกแคว้นหลางมีแม่สุนัขเลี้ยงดู เอาทวนข้าไปกิน”
อย่าได้มองว่าแม่ทัพสวี่จะดูแก่ชรา ร่างกายทรุดโทรมทั้งผอมแห้ง แต่กลับมีกำลังมากนัก บ่าวสี่คนถูกเขาทำร้ายจนจมูกช้ำหน้าบวม ซ้ำยังมีคนหนึ่งเืกำเดาไหลด้วย แต่กลับไม่มีสักคนร้องโอดครวญหรือปริปากบ่น
พวกเขาทั้งสี่คนเป็บ่าวที่เกิดในตระกูลสวี่ ก่อนนี้เคยร่วมรบกับแม่ทัพสวี่ แม่ทัพสวี่ยังเคยช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ด้วย หากมิได้เป็ดังนี้ ผู้ใดจะทนไหว ผู้ใดจะไม่ปริปากบ่น
แม่ทัพสวี่ทั้งด่าทอทั้งทำร้ายคน อาละวาดอยู่ครึ่งค่อนวัน ทันใดนั้นคล้ายว่าไม่มีคนไปพูดจากระตุ้นเขา หรือไม่ก็ทำร้ายคนจนเหนื่อยแล้ว จู่ๆ เขาก็ไม่ขยับตัว นอนเอามือและเท้าทั้งสี่ชี้ฟ้าเหมือนสุนัขนอนตาย ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างมองเพดานห้อง
บุตรคนรองตระกูลสวี่พึมพำว่า “ยามผู้อื่นอาการกำเริบ มีแต่ตนเองเ็ป แต่ยามท่านพ่อข้าอาการกำเริบกลับจะทำร้ายคนหรือกระทั่งจะสังหารคน”
โจวโม่เสวียนเห็นตอนที่แม่ทัพสวี่อาการกำเริบกับตา จึงเพิ่งรู้ว่าอาการหนักหนากว่าที่คาดไว้มาก หากหมัดของแม่ทัพสวี่ไปลงที่ร่างของหลี่หรูอี้ผู้แสนบอบบางดั่งบุปผา ก็ต้องถึงแก่ชีวิตเป็แน่ จากนั้นก็มองไปยังเจียงชิงอวิ๋นที่กำลังส่ายหน้าให้เขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง จึงเอ่ยกับคนตระกูลสวี่ในทันใดว่า “อาการของท่านลุงสวี่ทั้งรุนแรงทั้งแปลกประหลาดนัก ท่านหมอเทวดาน้อยไม่ตรวจรักษาให้แล้วขอรับ”
คนตระกูลสวี่ต่างถอนใจยาว จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ แต่กลับไม่ได้ดูแคลนหลี่หรูอี้ด้วยสาเหตุนี้
โจวโม่เสวียนเดินออกไปจากห้องนอน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าครามไร้มวลเมฆยาวไกลนับหมื่นลี้ คิดว่าเมื่อกลับจวนเยี่ยนอ๋องและรายงานกับบิดาของตนไปตามจริง ด้วยไมตรีที่บิดามีต่อแม่ทัพสวี่ เขาจะต้องมาเยี่ยมด้วยตนเองเป็แน่ หวังว่าเมื่อแม่ทัพสวี่เห็นบิดาของตนแล้ว อาการของเขาก็คงจะดีขึ้น
“กระหม่อมยังไม่ทันได้ตรวจดูโรคให้ผู้ป่วยเลย เหตุใดจึงตรัสว่ากระหม่อมไม่รักษาแล้วเล่าพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่หรูอี้ยืนอยู่ข้างหลังโจวโม่เสวียน เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
โจวโม่เสวียนหันหน้ามาถามว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย ท่านลุงสวี่ป่วยกระทั่งไม่รู้จักญาติมิตรทั้งหกแล้ว ซ้ำยังทำร้ายคนอีก ท่านจะตรวจรักษาเขาอย่างไร”
เจียงชิงอวิ๋นเตือนว่า “หลี่หรูอี้ ไม่ต้องฝืนตน”
หลี่ซานพ่อลูกต่างหันไปส่ายหน้าให้หลี่หรูอี้
“ข้ามีวิธีของข้า” หลี่หรูอี้หันหน้าไปสอบถามคนตระกูลสวี่ที่กำลังอยู่ในอาการตื่นใว่า “ผู้ป่วยมีอาการเช่นนี้มากี่วันแล้วขอรับ?”
“ห้าวัน”
“น่าจะห้าวันสี่คืน”
หลี่หรูอี้หันหน้าไปมองทุกคนคราวหนึ่ง “อาการประสาทสับสนของผู้ป่วยมาถึงขีดสูงสุดแล้ว และจะหายไปในทันใด สิ่งที่เขา้าที่สุดในเวลานี้ก็คือ นอนพัก”
การอดนอนเป็ความทุกข์อย่างหนึ่ง เขาอดนอนมาหลายวันหลายคืนเป็เื่ที่ทรมานเสียอย่างยิ่ง
บุตรชายคนโตตระกูลสวี่สีหน้าเศร้า กล่าวว่า “บิดาข้านอนไม่หลับ หรือต่อให้นอนหลับก็จะฝันร้ายขอรับ”
หลี่หรูอี้มองบุตรชายคนโตตระกูลสวี่ กล่าวถามว่า “ตอนนี้เขายังทานอาหารได้ เมื่อครู่ข้าเห็นว่าบนโต๊ะมีผลไม้และของว่างจัดวางอยู่ นั่นเอาไว้ให้เขาทานใช่หรือไม่”
บุตรชายคนโตตระกูลสวี่รีบตอบว่า “ยังทานอาหารได้ ใช่แล้วขอรับ”
บุตรคนรองตระกูลสวี่พูดเสริมว่า “บิดาข้าไม่เพียงทานอาหารได้ ยังเจริญอาหารมากด้วย เพียงแต่ทานแล้วไม่มีเนื้อหนังขึ้นมา กลับผ่ายผอมเสียอย่างยิ่ง”
หลี่หรูอี้เอ่ยว่า “ข้านำโอสถเม็ดสงบจิตทำให้นอนหลับมาด้วย พวกท่านนำไปผสมในอาหารให้เขากิน เขาก็จะนอนหลับ”
บุตรชายสองคนของแม่ทัพสวี่หันมาสบตากัน
น้องชายคนรองของแม่ทัพสวี่ขยับเข้ามาบอกว่า “คือว่า ท่านหมอเทวดาน้อย ก่อนนี้มีแพทย์หลวงและแพทย์เลื่องชื่อเคยให้ยานอนหลับมาก่อน พี่ใหญ่ข้าดื่มแล้วยาก็ไม่ออกฤทธิ์แต่อย่างใด พี่ใหญ่ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดีขอรับ”
หลี่หรูอี้เอ่ยอย่างมั่นใจยิ่งว่า “เมื่อเขากินโอสถเม็ดของข้าแล้วก็จะนอนหลับได้”
นายผู้เฒ่าสวี่สงสารบุตรชายคนโต จึงเข้าไปตบแขนหลานชายคนโตคราวหนึ่ง เอ่ยอย่างร้อนใจว่า “ยังมัวยืนโง่อยู่ทำสิ่งใด รีบฟังคำของท่านหมอเทวดาน้อย ไปบอกห้องครัวเตรียมอาหารผสมโอสถนี้ให้พ่อเ้ากินเสีย”
ไม่นานนักบุตรชายคนโตของแม่ทัพสวี่ก็ถือกล่องอาหารมาด้วยตนเอง หลี่หรูอี้เปิดกล่องอาหารดู เห็นว่าในนั้นมีไก่ดำตุ๋นพุทราแดงถ้วยใหญ่ เนื้อกวางย่างหนึ่งจาน ไข่ผัดต้นหอมหนึ่งถ้วย หมั่นโถวเปล่าขนาดเท่ากำมือผู้ใหญ่หกลูก จึงถามว่า “ผู้ป่วยกินได้มากเพียงนี้เชียวหรือ”
“ขอรับ บิดาข้าเจริญอาหารอย่างยิ่งมาแต่ไหนแต่ไร” บุตรชายคนโตของแม่ทัพสวี่คิดในใจว่า มิเช่นนั้นแม้จะล้มป่วยจะมีเรี่ยวแรงทุบตีคนได้อย่างไรกัน
หลี่หรูอี้เอายาสามเม็ดออกมาจากหีบยา และใส่ไว้ในไก่ดำตุ๋น ก่อนให้บุตรชายคนโตของแม่ทัพสวี่ยกไป
อย่าดูแต่ว่าแม่ทัพสวี่จำใครไม่ได้ รู้จักแต่จะด่าว่าทำร้ายคน แต่เมื่อเห็นอาหารกลับเป็ปกตินัก กินอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่น้อย
ในขณะที่คนตระกูลสวี่คิดว่ายาเม็ดของหลี่หรูอี้จะไม่ออกฤทธิ์ บ่าวผู้ชายที่เมื่อครู่นี้ถูกแม่ทัพสวี่ชกจนเืกำเดาไหล ก็วิ่งมารายงานด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า “นายท่านใหญ่หลับไปแล้ว ซ้ำยังนอนกรนด้วยขอรับ”
นายผู้เฒ่าสวี่ยินดียิ่งนัก บอกกับทุกคนว่า “ดีเหลือเกิน ในที่สุดบุตรชายของข้าก็นอนหลับได้เสียที” จากนั้นก็เดินเข้าไปดูพร้อมกับทุกคน
ยังเดินไปไม่ทันถึงก็ได้ยินเสียงกรนดังสนั่นเสียยิ่งกว่าพายุ นายผู้เฒ่าสวี่หัวเราะออกมาอย่างดีใจ เอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านชายพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็เสียงกรนของบุตรชายกระหม่อมเอง ดังเหมือนเสียงลาร้องไม่มีผิด”
โจวโม่เสวียนรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ต่อให้ท่านหมอเทวดาน้อยไม่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของท่านลุงสวี่จนหายได้ แต่ทำให้ท่านลุงสวี่นอนหลับดีๆ ได้สักตื่น และบรรเทาความทุกข์ทรมานลงได้บ้างก็ยังดี
น้องชายคนรองของแม่ทัพสวี่บอกกับคนในครอบครัวว่า “อย่าเข้าไปมากคนเกินไป และให้ทุกคนเสียงเบาๆ หน่อย”
หลี่ซานพ่อลูกรออยู่กับทุกคนในตระกูลสวี่ที่นอกประตู ส่วนเจียงชิงอวิ๋นยังคงตามหลี่หรูอี้เข้าไปข้างใน
เวลานี้แม่ทัพสวี่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงพร้อมเสียงกรนะเืฟ้า ยามนี้เขาไม่ต่างอันใดกับคนปกติทั่วไป ซ้ำยังมีน้ำลายไหลออกมาที่มุมปากด้วย
หลี่หรูอี้นั่งลงที่ข้างเตียงจับชีพจรให้แม่ทัพสวี่ ทั้งพลิกเปลือกตาของเขาดู เขาก็ยังไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย เสียงกรนกลับยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ดังประหนึ่งจะพัดหลังคาให้เปิดออกได้ทีเดียว
เจียงชิงอวิ๋นยืนอยู่ข้างหลังหลี่หรูอี้ เอ่ยถามขึ้นว่า “เป็อย่างไร”
หลี่หรูอี้บอกเสียงเบาๆ ว่า “การรักษาค่อนข้างยากเย็นและต้องใช้เวลานาน”
เมื่อได้ยินถ้อยคำ คนตระกูลสวี่กลับยินดีปรีดายิ่งนัก ท่านหมอเทวดาน้อยสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของแม่ทัพสวี่ได้ เพียงแค่ต้องใช้เวลานานเท่านั้น แม้ใช้เวลานานก็ไม่เป็ไร ขอเพียงรักษาได้เป็พอ ส่วนที่บอกว่ารักษาได้ยาก ท่านหมอเทวดาน้อยเป็ถึงหมอเทวดาจะต้องจัดการได้อย่างแน่นอน
เจียงชิงอวิ๋นถามด้วยท่าทีค่อนข้างตื่นเต้นว่า “นี่เป็โรคใดหรือ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้