เล่มที่ 9 บทที่ 260 ผู้าุโชื่อิ
“ผู้าุโรู้จักอาจารย์ข้าด้วยหรือ?” เวินโหวได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็ประกายทันที จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ ผู้เฒ่าได้พูดว่าเขาโป้ปดไม่อายฟ้าดินเหมือนอาจารย์อย่างกับแกะ น่าเสียดายที่ตอนนั้นคิดว่าควรจะชิงลงมือก่อน จึงไม่ได้สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด…
พอตอนนี้ได้ยินสิ่งที่เวินโหวพูดอีกครั้ง ก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายรู้จักกับอาจารย์ของตนเอง!
‘รู้จักก็ดีแล้ว รู้จักก็ดีแล้ว!’
ทันใดนั้นเวินโหวก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา…
“เหอะ อย่าคิดว่าข้ารู้จักกับอาจารย์เ้า แล้วจะยอมปล่อยไปง่ายๆนะ…” น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าชรารู้ทันเสียก่อน เวินโหวยังไม่ทันเอ่ยปากอ้อนวอน ผู้เฒ่าชราก็คว้าไม้เท้าขึ้นมาอีกครั้ง เวินโหวเห็นดังนั้นก็สะดุ้งโหยงสุดตัว โดยไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก…
“เอาล่ะ เลิกแสร้งทำเป็น่าสงสารเสียที หากกลับไปแล้วอาจารย์เ้าถาม ก็บอกไปว่า ข้าเซี่ยยงเป็คนตีเ้าเอง ดูสิ ว่าอาจารย์เ้าจะกล้ามาหาเื่ข้าหรือไม่…”
“เซี่ยยง…” เวินโหวได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักลงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ใจนแทบดีดตัวขึ้นมาทันที
‘บ้าเอ๊ย เซี่ยยง!’
‘หนึ่งในเจ็ดผู้าุโของสำนักโยวิ ผู้าุโชื่อิที่โด่งดังหรอกหรือนี่!’
‘นี่มันคนจริงยิ่งกว่าจริงเสียอีกนะ…’
‘เพราะเขาคนนี้เป็ยอดคนจริงต่างหาก!’
แค่คิด เวินโหวก็ขนหัวลุกไม่ไหวแล้ว
‘บ้าจริง เห็นหน้าตาดูซื่อๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็ผู้าุโของสำนักโยวิ…’
คิดได้ดังนั้นเวินโหวก็รีบเค้นรอยยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยประจบเพื่อรักษาชีวิตตนเอง
“อ้อ ที่แท้ก็เป็อาจารย์อานี่เอง ข้าแค่เข้าใจผิดเท่านั้น ทุกอย่างเป็เพียงเื่เข้าใจผิด…”
“เอาล่ะ ไม่ต้องแกล้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าข้า ไปเรียกคนที่อยู่เื้ัเ้าออกมา ข้าผู้เฒ่าอยากรู้นักว่าใครกันที่สามารถสังหารอสุรกายกุ่ยหวังได้ในกระบวนท่าเดียว…”
“ได้ๆๆ…” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็ถึงผู้าุโชื่อิอันโด่งดัง มีหรือที่เวินโหวจะกล้าปฏิเสธ หลังจากรับคำมาแล้ว จึงหมายจะเข้าไปแจ้งข่าวร้ายกับหลินเฟยที่ด้านใน ‘ดูท่าครั้งนี้พวกเขาจะซวยเข้าแล้ว…’
ผลก็คือ…
เพียงเวินโหวขยับตัวเล็กน้อย ก็มีกระแสไอเย็นเข้มข้นพวยพุ่งออกมาจากด้านใน ไอเย็นสีฟ้าใสแพร่กระจายปกคลุมไปทั่วราวกับคลื่นน้ำ กระแสไอเย็นนั้น ยังไม่ทันจะเข้าประชิดตัว เวินโหวก็ถูกปะทะจนตัวลอยเสียแล้ว ตามเนื้อตัวก็มีเกล็ดหิมะปกคลุมเอาไว้ และตอนนี้เอง เขาก็กำลังจะถูกดูดเข้าไปในกระแสไอเย็นเสียดกระดูกอยู่รอมร่อแล้ว…
ยังดีที่ผู้าุโชื่อิเอื้อมมือมาคว้าเอาไว้ทัน จากนั้นเวินโหวก็รู้สึกเหมือนถูกพลังอันยิ่งใหญ่ดูดออกมา ถัดมาผู้เฒ่าก็วาดไม้เท้าให้เป็วงกลม เพื่อทำเขตแดนให้ทั้งคู่
ไม่นานเวินโหวก็เห็นว่าที่ตำหนักรกร้างก็พลันะเิออกราวกับรอยแตกใต้ท้องทะเลลึก เพียงครู่เดียวก็มีน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มท่วมทะลักออกมา คลื่นน้ำก็โหมซัดสูงนับพันจ้างเลยทีเดียว…
ไม่รอช้า คลื่นน้ำที่สูงนับพันจ้างก็โหมซัดไปทั่วทุกทิศทาง ทุกที่ที่พาดผ่านล้วนพังทลายจนไม่เหลือชิ้นดี ไอเย็นมากมายก็พลันปั่นป่วน และเกิดเป็เกล็ดหิมะสีดำโปรยปรายไปทั่ว…
หลังจากนั้นเพียงอึดใจเดียว คลื่นั์ก็โหมซัดเข้ามาอย่างรุนแรง ก่อนจะเคลื่อนตัวออกห่างแล้วค่อยๆสลายหายไป…
กระทั่งตอนนี้เวินโหวจึงเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้สลายไปหมดแล้ว พื้นดินถูกคลื่นน้ำซัดจนทรุดลงไปถึงสามจ้าง บัดนี้เขตแดนวงกลมที่เวินโหวกับผู้าุโชื่อิยืนยืนอยู่จึงราวกับเสาหินที่สูงสามจ้าง…
“ให้ตายเถอะ…” เวินโหวรู้สึกขนหัวลุกทันที…
‘พลังเมื่อกี้ช่างรุนแรงเหลือเกินอย่างกับพลังจากฟ้าดินเลยทีเดียว…’
โชคดีที่ได้ผู้าุโชื่อิยื่นมือมาช่วย ไม่เช่นนั้นละก็ ป่านนี้ตนเองคงได้กลายเป็เหมือนพื้นดินเบื้องล่าง ที่ถูกคลื่นั์ซัดจนพังทลายไม่เหลือซากไปเสียแล้ว…
“มีคนกำลังฝ่าเคราะห์น้ำงั้นหรือ?” บัดนี้อย่าว่าแต่เวินโหวเลย แม้แต่ผู้าุโชื่อิที่อยู่ด้านข้างยังอดที่จะขมวดคิ้วแน่นไม่ได้…
ผู้าุโชื่อิมีอายุมานับพันปี จึงเคยเห็นเคราะห์น้ำมามาก แต่กลับไม่เคยเห็นเคราะห์น้ำของใครจะมีพลังรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ทั้งน้ำทะเลสีเข้มแสนเย็นเฉียบจนกลายเป็น้ำแข็ง ทั้งคลื่นั์ที่สูงนับพันจ้าง ทุกจุดที่คลื่นั์พัดผ่าน ล้วนพินาศราบเป็หน้ากลอง…
‘นี่มันเคราะห์น้ำของใครกัน!’
บัดนี้สีหน้าผู้าุโเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
‘ั้แ่เมื่อใดกัน ที่แถบทะเลอูไห่มีคนเช่นนี้อยู่?’
ผู้คนต่างร่ำลือกันว่าหวงซีจากสำนักกระบี่หลีซานฝ่าเคราะห์ห้าด่านรวดภายในคืนเดียว จึงได้ชื่อว่าเป็ยอดอัจฉริยะที่พันปีจะเจอสักหนึ่งคน ทว่าผู้าุโชื่อิที่มีขั้นบำเพ็ญสูงเช่นนี้ จึงรู้ว่าการฝ่าเคราะห์ขั้นมิ่งหุนอย่างรวดเร็วไม่ใช่เื่ดีแต่อย่างใด ต่อให้เป็หวงซีเอง ก็ยังต้องนั่งบำเพ็ญอยู่ใต้ผาล้างกระบี่ถึงยี่สิบปี ถึงจะบรรลุและฝ่าเคราะห์ได้ห้าด่านรวดเช่นนี้…
ผู้าุโชื่อิรู้ดีว่า หากสะสมพลังไว้มากเท่าไร เคราะห์ขั้นมิ่งหุนก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น
และเคราะห์น้ำเมื่อครู่นี้ ก็มีพลังรุนแรงอย่างน่าสะพรึงกลัวเลยทีเดียว…
‘ต่อให้เป็ผู้าุโชื่อิที่เคยพบเห็นอะไรมามาก ก็ยังคาดเดาไม่ได้ว่าคนที่ฝ่าเคราะห์น้ำนี้ ได้กักเก็บพลังเอาไว้เท่าใดกันแน่ หากคนเช่นนี้ฝ่าเคราะห์ขั้นจิงตันได้ขึ้นมา จะร้ายกาจขนาดไหนกันนะ?’
ผู้าุโยืนนิ่งพลางจ้องมองไปที่ลานโล่งด้านหน้าซึ่งถูกคลื่นน้ำซัดจนราบเป็หน้ากลอง จากนั้นก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ…
ชั่วครู่หลังจากคลื่นน้ำมหาศาลและเกล็ดหิมะสีดำที่โปรยปรายได้จางหายไป ท่ามกลางกระแสไอเย็นนี้เอง ก็มีผู้บำเพ็ญหนุ่มคนหนึ่งกำลังย่างกรายออกมา ทุกครั้งที่ก้าวเดินก็จะมีสายฟ้าสว่างวาบออกมาเป็ระยะ ลำแสงสายฟ้าได้ผนวกรวมเข้ากับปราณกระบี่ทำให้เกิดเป็ปราณกระบี่ซึ่งมีพลังน่าเกรงขาม บัดนี้ผู้บำเพ็ญหนุ่มกำลังค่อยๆก้าวเดินออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย…
และทุกครั้งที่ก้าวเดินก็จะมีสายฟ้าจมหายเข้าไปในร่าง ระยะทางจากตำหนักที่ปรักหักหักพัง จนมาถึงลานด้านนอกมีทั้งหมดสิบสามเก้า จึงมีสายฟ้าสิบสามสายหายเข้าไปในร่าง เมื่อผู้บำเพ็ญหนุ่มเดินมาถึงเบื้องหน้าของเวินโหวและผู้าุโชื่อิ ทั่วทั้งตัวก็มีสายฟ้าสถิตไหลเวียนไปมาและกระแสอันคมกริบก็แพร่กระจายออกมาทันที ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติทั้งหมดก็พลันจางหายไป พลังทั้งหมดล้วนถูกปิดกั้น โดยไม่เผยกลิ่นอายใดๆออกมาอีก ในตอนนี้ ผู้บำเพ็ญหนุ่มก็อยู่ในสภาพเหมือนกับคนทั่วๆไปที่พบได้ตามเกาะ…
“ศิษย์พี่หลินไม่เป็อะไรใช่ไหม?” เมื่อเวินโหวเห็นหลินเฟยเดินออกมา เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปถามด้วยความเป็ห่วงทันที
“ไม่เป็ไร แค่ฝ่าเคราะห์น้ำเท่านั้น…” หลินเฟยส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเหลือบตามองเวินโหว
“ข้าก็บอกให้เ้าถอยห่างออกไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
“คือว่า…” เวินโหวลูบจมูกเบาๆโดยไม่พูดอะไร ทว่ากลับเหล่มองไปยังผู้าุโชื่อิที่อยู่ข้างกาย…
“หึหึ…” หลินเฟยเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ทันที ก่อนจะยกมือคารวะผู้าุโที่อยู่ด้านข้างของเวินโหว
“คารวะอาจารย์อาชื่อิ…”
“เ้ารู้จักข้างั้นหรือ?” เมื่อผู้เฒ่าเห็นหลินเฟยเอ่ยทักขึ้นมา ก็รู้สึกประหลาดใจ
“ประมาณเจ็ดถึงแปดปีก่อน อาจารย์อาเคยมาเป็แขกที่หุบเขาอวี้เหิง ตอนนั้นข้ากับอาจารย์เคยเจอ…” ขณะที่พูดหลินเฟยก็ฉายความกระดากกระเดื่องขึ้นบนใบหน้า ‘มาเป็แขกอะไรกันเล่า ล้วนพูดให้ดูดีเท่านั้นแหละ’
หากจะพูดให้ถูกก็คือ ผู้าุโชื่อิเคยบุกมาที่หุบเขาอวี้เหิง จากนั้นก็ดักรออยู่ที่ลานที่พักถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มๆ สุดท้าย เพราะเ้าสำนักยื่นมือเข้าช่วย ผู้าุโชื่อิถึงยอมจากไป…
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------