หลังการสอบคือความผ่อนคลายชั่วระยะหนึ่ง
หากพบโจทย์ที่ตอบไม่ได้บนข้อสอบระหว่างสอบเกาเข่า นั่นคือมีดคมกริบที่แทงเข้ากลางหัวใจเพียงหนเดียว ทว่าหลังสอบเสร็จแล้วจะถูกมีดแทงได้อีกหลายหนเชียวล่ะ การเทียบคำตอบคือมีดทื่อที่เฉือนเข้าเนื้ออย่างช้าๆ ข้อสอบปรนัยข้อเดียวกัน ทุกคนเขาเลือก A มีเพียงเราที่เลือก B ต่อให้เป็นักเรียนดีเด่นเฉกเช่นเซี่ยเสี่ยวหลาน ก็ต้องสงสัยสักหน่อยเหมือนกันว่าตนเองสะเพร่าตอบผิดหรือเปล่า
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ผลการเรียนเทียบเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ การเทียบคำตอบช่างเ็ปแสนสาหัส
อันดับแรกจะเทียบคำตอบแบบไม่เป็ทางการก่อน และอีกสามวันต้องไปโรงเรียนเพื่อประเมินคะแนน เมื่อคำตอบมาตรฐานอย่างเป็ทางการออกมา ก็ไม่จำเป็ต้องถกเถียงผิดถูกกันอีก ถ้าไม่เหมือนคำตอบอย่างเป็ทางการ ต้องโดนแทงกี่แผลกันนะ
สอบเสร็จมาสามวันแล้ว ตนเองตอบข้อสอบบางข้ออย่างไรกันแน่ ความทรงจำอาจเกิดความผิดพลาดเช่นกัน นี่เป็เหตุผลที่การประเมินคะแนนไม่แม่นยำ
และการประเมินคะแนนนี้กลับจะตัดสินว่าควรสมัครเข้ามหาวิทยาลัยแห่งไหนอีกด้วย!
ดังนั้นเมื่อการสอบเกาเข่าเสร็จสิ้นไม่ได้หมายความว่าการเดินทางนับหมื่นลี้สิ้นสุดแล้ว หากหนังสือประกาศยังไม่ถูกส่งมาถึงมือ พร้อมเห็นบนนั้นเขียนไว้ว่า ‘นักเรียน XXX กรุณามารายงานตัวที่มหาวิทยาลัยในวันที่ X เดือน X ปี X’ อย่างชัดเจน ใจที่กำลังกระวนกระวายไม่มีทางสงบลงอย่างแท้จริง แต่ต่อให้เป็ูเาแห่งคมดาบรึทะเลเพลิงโหมกระหน่ำ [1] ก็ต้องฝ่าฟันผ่านไปให้ได้ แน่นอนว่าการกระจายทรัพยากรการศึกษามีความเอนเอียง ทว่านักเรียนอนาถาผู้มีพร์อีกทั้งขยันมากพอยังสามารถะโข้ามประตูชนบทโดยอาศัยเกาเข่าได้ และใช้สิ่งนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง
จากมุมมองนี้ การสอบเกาเข่านั้นยุติธรรมที่สุด
สอบเสร็จแล้ว รถรับส่งที่โรงเรียนเตรียมให้จะพาทุกคนส่งกลับเขตอันชิ่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ปฏิเสธที่จะกลับโรงเรียนพร้อมทุกคน เบียดกันบนรถหน่อยก็ยังพอเหลือที่ว่าง และเหล่าวังมิอาจพูดว่าไม่อนุญาตให้พวกหลิวเฟินสามคนขึ้นรถเสียด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังคิดว่าจะไปโรงพยาบาลประจำเขตเพื่อเพื่อตรวจข้อมือพอดี ตอนไม่รับประทานยาแก้ปวด ข้อมือของเธอยังคงปวดเหมือนเดิม ทำข้อสอบติดกันถึงสามวัน ไม่รู้ว่าอาการกระดูกร้าวรุนแรงขึ้นหรือเปล่า
เธอไม่ได้พูดเื่พวกนี้ออกมาทำให้ใครกังวลทั้งนั้น หลังจากยืนหยัดสอบเกาเข่าจนจบ แม้ใช่ว่าตัวเซี่ยเสี่ยวหลานจะได้พัก แต่ข้อมือของเธอจะได้ฟื้นฟูแล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าเซี่ยฉางเจิงเป็หรือตาย ถ้าไม่มีคนพาไปส่งโรงพยาบาล ตายไปเธอก็ไม่รู้สึกผิดอะไรอยู่ดี
มือของคนพวกนี้เปื้อนเื เปื้อนชีวิตของ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ อยู่!
กระดูกหักสามารถรักษาได้ สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลาน้าคือรักษาไม่หาย ให้เซี่ยฉางเจิงชดใช้มือหนึ่งข้างคืนแก่เธอ เดิมทีเธอคิดว่าจะจัดการทำให้กระดูกแตก การรักษาด้วยมาตรฐานการแพทย์ในปัจจุบันไม่น่าจะหวนคืนสู่สภาพเดิมได้แน่ แต่จากความคิดเห็นที่เก่อเจี้ยนรายงาน อาการาเ็ของมือเซี่ยฉางเจิงสาหัสกว่ากระดูกแตกเสียอีก?
เป็เช่นนั้นก็ยิ่งดีเหลือเกิน!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้อิ่มอกอิ่มใจนานนัก พอถึงโรงพยาบาลประจำเขตก็เอกซเรย์อีกรอบ แม้เธอระมัดระวังอย่างเต็มที่ในตอนสอบแล้ว อาการบาดเย็บยังรุนแรงมากขึ้นจนได้
“วัยรุ่นน่ะอย่าไม่ถนอมร่างกายเพราะคิดว่าแข็งแรงดีสิ ตอนแรกจะรักษาหายในเดือนสองเดือน ตอนนี้ต้องใช้เวลาเพิ่มอีกอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อพักฟื้น! ถ้าอยากให้มือข้างนี้ยังยกน้ำไหวใน่ชีวิตที่เหลือข้างหน้า ห้ามทรมานทรกรรมมันอีก!”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้าตะพึดตะพือ เกาเข่าสิ้นสุดแล้วด้วยซ้ำ เธอยังใช้งานมือขวาที่าเ็ของตนอย่างหนักอีก มันเป็ปัญหาไม่ใช่หรือ
ถ้าพบหน้ากับอาจารย์ใหญ่ซุนและคนอื่นๆ คงแสดงความเอ็นดูห่วงใยกันเป็วรรคเป็เวร เซี่ยเสี่ยวหลานจึงใส่เฝือกใหม่อีกรอบที่โรงพยาบาลและกลับซางตูทันที
ในเวลาไล่เลี่ยกัน เซี่ยจื่ออวี้กำลังนั่งรถหนังเขียว [2] ที่ร้อนอบอ้าว หลังจากสิบกว่าชั่วโมงแห่งการกระแทกกระเทือน พอลงรถไฟยังไม่ทันหายใจหายคอด้วยซ้ำ ก็บึ่งไปยังโรงพยาบาลประจำเมืองต่อ
ณ เวลานี้ ผ่านมาสามวันเต็มหลังเซี่ยฉางเจิงรับการผ่าตัดตัดแขนแล้ว เซี่ยจื่ออวี้เพิ่งรีบกลับมาจากปักกิ่ง
เมื่อเจอห้องผู้ป่วย คนบนเตียงกำลังนอนหลับอยู่ จางชุ่ยมีใบหน้าซีดเซียวเหี่ยวแห้ง พิงข้างเตียงพลางเหม่อลอย
“แม่!”
สำหรับแขนทั้งสองข้างของเซี่ยฉางเจิงที่อยู่บนเตียงคนไข้ ข้างหนึ่งเข้าเฝือก อีกข้างหนึ่งกลับถูกตัดั้แ่ข้อศอกลงมา พันด้วยผ้าก๊อซหลายชั้น รอยเืและสีเหลืองของยาไอโอดีนผสมกัน กินพื้นที่ทั่วบริเวณผ้าก๊อซ ไม่ว่าเซี่ยฉางเจิงจะเป็พ่อที่ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาวหรือไม่ เขาก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของเซี่ยจื่ออวี้ ในเวลาแบบนี้เซี่ยจื่ออวี้ย่อมเศร้าใจเป็ธรรมดา
เสียงของเธอสะอึกสะอื้น ปลุกจางชุ่ยให้รู้สึกตัว
“จื่ออวี้ จื่ออวี้ลูกมาแล้ว พ่อเขา มือของพ่อเขาไม่อยู่แล้ว...”
ภายในเวลาสั้นๆ เพียงสองสามวัน จางชุ่ยเบ้าตาลึกโบ๋ สีหน้าเขียวซีด ไม่ได้อาบน้ำและหวีเผ้าผม ดูน่ากลัวยิ่งนัก
แน่นอนว่าเธอใกลัวมาก ตอนนี้เซี่ยฉางเจิงกำลังหลับเป็ตาย เขาได้สติหลังจากผ่าตัดตัดแขน เซี่ยฉางเจิงที่ตื่นขึ้นมายอมรับสภาพว่าตนเสียมือไปไม่ได้ เขาะโโวยวายใส่จางชุ่ย ขอให้จางชุ่ยไปแจ้งความ ไปแก้แค้น บอกว่ามือของเขาโดนคนอื่นทุบ
เอะอะจนทางโรงพยาบาลถึงกับใ จึงแจ้งไปทางสถานีตำรวจ
พอเ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจมาสอบถาม เซี่ยฉางเจิงเล่าว่ามีคนทำร้ายร่างกายเขา ตำรวจถามเซี่ยฉางเจิงตามกระบวนการ ทำไมถึงต้องไปสถานที่เปลี่ยวร้างขนาดนั้นด้วยตัวคนเดียว มองเห็นรูปลักษณ์ของผู้ก่อเหตุชัดเจนหรือไม่
เซี่ยฉางเจิงและจางชุ่ยเช่าบ้านอาศัยอยู่ในเขตเหนือของเมือง ทั้งสองคนคือเ้าของร้านค้าแผงลอยจากชนบทที่เข้าเมืองมาหาเลี้ยงชีพ
ขอบเขตกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็อยู่เขตเหนือ ทั้งที่ท้องฟ้ามืดสนิทไม่มีไฟฟืน ทำไมถึงไปยังตรอกหลังโรงเรียนประถมของเขตใต้?
เซี่ยฉางเจิงตอบคำถามนี้ไม่ได้ เขาพูดตะกุกตะกัก เ้าหน้าที่ตำรวจทำได้เพียงรอให้เขาอาการดีขึ้นและค่อยมาบันทึกปากคำใหม่อีกครั้ง
ในห้องผู้ป่วยมีคนอื่นๆ อยู่ด้วย เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกว่าจางชุ่ยอารมณ์พรั่งพรูมากเกินไป จึงดึงจางชุ่ยออกมานอกห้องผู้ป่วย พอออกไปจากทางเดินก็เจอสวนดอกไม้ขนาดย่อม และตอนนี้ไม่ใครอยู่ในสวนดอกไม้ เป็สถานที่อันเหมาะสมแก่การสนทนาพอดี
“ที่บอกไว้ในโทรเลขก็ไม่ชัดเจน เกิดอะไรขึ้นกับมือของพ่อเขา?”
เธอรอจนวันที่สามถึงกลับมา ไม่ใช่ไม่กตัญญู ทว่าเป็เพราะชั้นเรียนกวดวิชาที่วางแผนจัดตั้งไว้ก่อนหน้านี้ ่ที่ผ่านมาเพิ่งเริ่มเป็รูปเป็ร่าง ติดต่อ ‘อาจารย์’ เรียบร้อย อีกทั้งกำหนดสถานที่แล้ว เซี่ยจื่ออวี้กำลังอิ่มเอมกับความภาคภูมิใจในตนเอง อยากจะใช้ชั้นเรียนกวดวิชาแสดงความสามารถ เมื่อได้รับโทรเลขที่ครอบครัวส่งมา กลับไม่ใช่การแจ้งข่าวดีแก่เธอ แต่เป็ข่าวร้ายว่าเซี่ยฉางเจิงพ่อของเธอตัดแขน ขอให้เธอรีบกลับ
เซี่ยจื่ออวี้อยากซื้อตั๋วกลับมาทันทีอยู่หรอก ดันลงทุนเงินไปกับการเตรียมงาน่แรกของชั้นเรียนกวดวิชาเสียแล้ว
ทำได้แค่เริ่มดำเนินธุรกิจใหม่ด้วยสภาพจิตใจอันเคร่งเครียดไปก่อน จากนั้นตัวเธอถึงรีบกลับซางตูโดยเร็วที่สุด
จางชุ่ยร่ำไห้ไม่หยุด เซี่ยจื่ออวี้หงุดหงิดและจนปัญญา “แม่ แม่อย่าเพิ่งร้องไห้ มือของพ่อเสียไปอย่างไร? ไม่ใช่ให้พ่อกับแม่...”
ไม่ใช่ว่าให้พ่อกับแม่ขัดขวางเซี่ยเสี่ยวหลานจากเกาเข่าหรือ กลับกลายเป็ทำมือของตนเองขาด สิ่งสำคัญที่สุดของสาเหตุที่เซี่ยจื่ออวี้หงุดหงิดก็คือเกาเข่าสิ้นสุดลงแล้ว สุดท้ายเซี่ยเสี่ยวหลานได้เข้าร่วมการสอบเกาเข่าหรือไม่?
“ใช่ เป็เซี่ยเสี่ยวหลาน ต้องเป็นังเด็กชั่วนั่นแน่ มันจ้างคนมาตีมือของพ่อลูกจนขาด!”
จางชุ่ยผ่ายผอมไม่เหลือเค้าเดิม ไม่ใช่แค่เซี่ยฉางเจิงที่หวาดกลัว เธอเองก็กลัวมากเช่นกัน
เซี่ยฉางเจิงบอกว่ามือของเขาโดนคนทุบตีซ้ำๆ จนละเอียด มิอาจลืมเลือนความเ็ปนั่นไปชั่วชีวิต จางชุ่ยกลัวว่าพอนอนหลับในตอนกลางคืน จะถูกใครลากออกไปตีมือให้เละเหมือนกัน หวั่นผวาเสียตกกลางคืนก็นอนไม่หลับ
“แม่ มือของพ่อเขาด้วนแล้วนะ พ่อกับแม่ก็ไม่รู้แน่ชัดด้วยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าสอบเกาเข่าหรือเปล่า!”
ตัดอวัยวะนะ ไม่ใช่กระดูกหักเสียหน่อย มือหนึ่งข้างที่สูญเสียไปจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ?
----------------------------------------
เซี่ยเสี่ยวหลานเพลิดเพลินเจริญใจอยู่สามวัน
นอนหลับจนตื่นขึ้นโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก อยากกินอะไรก็กิน แถมคนในครอบครัวไม่ให้เธอทำงานแม้แต่นิดเดียว
วันที่ 12 กรกฎาคม เธอไปอันชิ่งอีจงเพื่อประเมินคะแนนและกรอกความสมัครใจภายในความดูแลจากพวกหลี่ต้งเหลียง
วันนี้สามารถเทียบคำตอบได้อย่างสะดวกสบาย เนื่องจากคำตอบมาตรฐานถูกติดไว้บนกระดานดำแล้ว คนกลุ่มหนึ่งมาเช้ากว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเสียอีก หน้ากระดานดำโดนล้อมรอบจนแทรกตัวเข้าไปไม่ได้ ในมือของทุกคนกำลังถือกระดาษกับปากกา พอถูกหนึ่งข้อก็จดลงไป เทียบทีละวิชา เขียนบันทึกคะแนนที่ได้รับไว้ นี่ก็คือ ‘ประเมินคะแนน’ นั่นเอง
“เสี่ยวหลาน มือเธอยังเจ็บอยู่ ฉันช่วยเธอเทียบคำตอบดีไหม?”
เฉินชิ่งถือปากกา เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้ารับ มวลชนหนาแน่นหน้ากระดานดำหลีกทางให้ทันที เฉินชิ่งถามเธอว่าจะเทียบวิชาไหนก่อน อันที่จริงเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเหมือนกันทั้งนั้น ทว่าเพื่อร่วมชั้นมองด้วยสายตากระหายรู้ขนาดนั้นอยู่ เซี่ยเสี่ยวหลานอดลูบปลายจมูกไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากภาษาจีนเถอะ”
เชิงอรรถ
[1]刀山火海 ูเาแห่งคมดาบและทะเลเพลิงโหมกระหน่ำ หมายถึง สถานที่ที่อันตรายมาก ในที่นี้เปรียบเทียบว่า เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ย่อมต้องพยายามฝ่าฟันก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ นานา
[2]绿皮车 รถหนังเขียว คือ รถไฟโดยสารสีเขียวมะกอกคาดแถบสีเหลือง เป็รถไฟราคาถูก มีลักษณะเปิดโล่ง ไม่มีเครื่องปรับอากาศ และช้ามาก