ด่านเยี่ยนเหมินอยู่ทางเหนือของเขตเหอซีห่างออกไปประมาณสิบกว่าลี้
เหอซีเป็เมืองชายแดนที่อยู่ห่างจากด่านเยี่ยนเหมินมากที่สุด เป็ตำแหน่งที่สำคัญมากทางการทหาร จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อที่นำทัพทหารรักษาการปกป้องด่านเยี่ยนเหมินอยู่ก็คอยปกป้องระหว่างกึ่งกลางของเหอซีและด่านเยี่ยนเหมินเช่นกัน
ความจริงแล้วเหอซีเป็เขตที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ประชากรส่วนใหญ่เป็ทหาร เดิมทีมีแค่หมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านเดียว ต่อมาด้วยความที่พลทหารเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงค่อยๆ พัฒนากลายเป็เขตเล็กๆ ขึ้นมา การสร้างความสงบสุขของแคว้นในราชวงศ์นี้ จำเป็ต้องมีทหาร เพื่อปกป้องบ้านเมืองที่จุดนี้ จึงจำเป็ต้องสร้างเขตเหอซีเพิ่มเข้ามา
เหอซีเป็เมืองเขตชายแดน เมื่อสองปีก่อนได้มีการเปิดตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าขึ้น อนุญาตให้ชาวโยวมู่เหมินที่อยู่นอกด่านเยี่ยนเหมินสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนด้านในด่านได้ ต่อมาจึงค่อยๆ พัฒนามาเป็ตลาดที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง ภายในอาณาเขตต้าเหลียงมีพ่อค้านำของมาแลกเปลี่ยนกับเนื้อวัว เนื้อแพะหรือนมกับคนด้านนอกจำนวนมาก
หลังจากขบวนรถม้าของครอบครัวสกุลสวี่เข้ามาในเหอซี บริเวณชายแดนของเมืองนั้นเป็เส้นทางที่รุ่งเรืองที่สุดที่เดินทางไปยังภายในเขตได้
มิใช่เพียงสวี่จือเท่านั้นที่มองออกไปด้านนอกหน้าต่างรถม้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้แต่สวี่ตี้กับจางจ้าวฉือเองก็มองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกัน จางจ้าวฉือเอ่ยกับสวี่ตี้ว่า “เมืองนี้ดูแล้วก็มิได้เลวร้ายเลยนะ เ้ามองสองข้างทางสิ มีร้านค้าตั้งอยู่มากมายเชียวล่ะ”
สวี่ตี้ตอบ “ได้ยินมาว่าการค้าขายของชายแดนที่นี่มิเลวเลยขอรับ ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านพ่อจึงโชคดีอะไรเช่นนี้ ถึงได้ถูกส่งมาเป็ขุนนางของที่นี่น่ะขอรับ”
จางจ้าวฉือพยักหน้าพร้อมกล่าว “พ่อของเ้าก็เป็คนโง่ที่มีโชคแบบคนโง่อย่างไรเล่า หากบริหารกิจการการค้าขายของที่นี่ให้ดี จะยังต้องกังวลว่าจะมิมีความดีความชอบอีกหรือ?”
แม่นมลู่ฟังสองแม่ลูกคู่นี้พูดคุยกันในใจก็ถอนหายใจ เมื่อก่อนนั้นนางเองก็รู้ว่าสกุลจางปฏิบัติกับบุตรสาวหลานสาวเหมือนกับแก้วตาดวงใจจริงๆ หากนางไม่อยากเรียนกฎระเบียบก็มิต้องเรียน หากนางอยากจะเรียนวิชาแพทย์เหมือนปู่จาง เช่นนั้นก็เรียนไป นางอยากจะทำสิ่งใดย่อมได้ทำจริงๆ หลายปีมานี้ก็ยังคงเหมือนกับตอนยังเยาว์ๆ
สวี่จือมองออกไปด้านนอกแล้วร้องถามมารดาด้วยความใว่า “ท่านแม่เ้าคะ ดูสิ นั่นคืออะไรหรือเ้าคะ?”
จางจ้าวฉือมองออกไปด้านนอกก็เห็นคนที่แต่งตัวเป็ชาวโยวมู่เหมินผู้หนึ่ง ในมือของเขาถือหนังสัตว์เอาไว้หลายผืน ขณะกำลังยืนอยู่ด้านนอกรั้วไม้ สนทนากับคนผู้หนึ่งอยู่
จางจ้าวฉือมองแล้วก็เอ่ยว่า “นี่หรือ นี่คือคนที่อยู่นอกด่านน่ะลูก”
เดิมทีชีวิตของสวี่จือจืดชืดมาโดยตลอด นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชาวโยวมู่เหมินบนพื้นหญ้าผู้นั้นกำลังทำสิ่งใดอยู่
เมื่อมองดวงตาระยิบระยับของสวี่จือที่มองมายังตนเอง จางจ้าวฉือพลันยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “คนในด่านอย่างพวกเราน่ะ อาหารหลักก็คือข้าวและพืชผักที่ปลูกได้ แต่ว่าคนที่ทุ่งหญ้าน่ะ สถานที่ที่พวกเขาอยู่อาศัยไม่เหมาะที่จะปลูกพืชผัก เหมาะสำหรับเลี้ยงวัว เลี้ยงแพะและม้าเท่านั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงกินของพวกนี้ประทังชีวิต ความจริงแล้ว์ก็ได้ประทานหนทางการใช้ชีวิตอีกหนึ่งทางมาให้แก่พวกเขาแล้ว”
สวี่จือได้ยินดังนั้นจึงถามต่อว่า “ว่าแต่เหตุใดพวกเขาถึงได้ตัวอ้วนฉุกันขนาดนั้นเล่าเ้าคะ?”
อาภรณ์ที่ชาวโยวมู่เหมินสวมใส่เป็ชุดกี่เพ้าสีขาว ตัวใหญ่กว่าคนที่อยู่ข้างกายของตนถึงสองคน
จางจ้าวฉือเอ่ยตอบ “นั่นก็เพราะว่าอาหารที่พวกเขากินไม่เหมือนกับพวกเราอย่างไรเล่า พวกเขากินเนื้อ กินนม จึงตัวอ้วนเช่นนั้น”
สวี่จือมองร่างกายเล็กๆ ของตนเอง “ท่านแม่เ้าคะ ท่านว่าหากข้ากินเนื้อกินนมเหมือนกับพวกเขา ข้าจะดูเก่งกาจเหมือนพวกเขาหรือไม่เ้าคะ?”
จางจ้าวฉือไม่อยากจะโกหกลูกสาวคนดีของตน ลูกสาวรูปร่างอ้วนฉุแบบนั้น เป็อะไรที่น่ากลัวมากจริงๆ หากมีรูปร่างเช่นนั้นจริง คาดว่าคงจะหาสามีมาแต่งงานได้ยาก
สวี่ตี้ฟังแล้วก็หัวเราะออกมา “จือเอ๋อร์ พี่คิดว่าเด็กผู้หญิงร่างผอมบางดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะหาสามีมาแต่งงานมิได้นะ”
สวี่จือฟังแล้วก็ส่ายหน้า “ข้าจะไม่แต่งงานเ้าค่ะ ต่อไปจะเป็สตรีที่เก่งกาจมากๆ ด้วยเ้าค่ะ”
สวี่ตี้พูดด้วยความประหลาดใจ “ถึงแม้จะเป็คนเก่งกาจมาก ก็มิจำเป็ต้องมีร่างกายแบบนั้นก็ได้ เ้าไม่เห็นหรือว่าพี่ชายองครักษ์สองคนนั้นที่ติดตามพวกเรามา รูปร่างของพวกเขาดูแล้วก็มิได้อ้วนมาก ทว่าฝีมือพวกเขาร้ายกาจมาก”
สวี่จือมองชาวโยวมู่เหมินที่อยู่ห่างจากตนเองออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ก็พูดด้วยความเสียดายว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ค่อนข้างเก่งมากนะเ้าคะ”
ถึงแม้ชาติก่อนสวี่จือจะเคยผ่านความลำบากมามาก แต่นางก็ยังเป็คนใสซื่อมากเช่นกัน หลังจากเข้าไปอยู่ในจวนติ้งกั๋วกงก็มิเคยได้ออกมานอกจวนอีกเลย ออกมาอีกครั้งก็คือตอนที่ติดตามคนของจวนติ้งกั๋วกงไปที่หลิงหนาน ในขณะที่เดินทางผ่านเขตเล็กๆ ก็ได้พบสตรีสองนางกำลังทะเลาะกัน หนึ่งในนั้นตัวอ้วนท้วม เสียงดัง แต่กลับมีพละกำลังมหาศาล
ั้แ่นั้นเป็ต้นมาสวี่จือก็เริ่มอิจฉาสตรีเช่นนี้ หากตัวใหญ่แล้วผู้อื่นก็ไม่สามารถเมินเฉยได้ นิสัยนั้นจะต้องแสบสัน เช่นนี้คนถึงไม่กล้ารังแก ถึงแม้จะถูกรังแกก็จะสามารถเอาคืนได้
เห็นท่าทางไม่ยอมละทิ้งความคิดของสวี่จือ จางจ้าวฉือก็พูดออกมาด้วยความกังวล “จือเอ๋อร์เอ๋ย เหตุใดเ้าถึงรู้สึกว่ารูปร่างเช่นนี้จะเก่งกาจหรือ? มิใช่ว่าคนอ้วนจะเก่งกาจทุกคนหรอกนะ”
สวี่จือเอ่ยตอบมารดา “รูปร่างเช่นนี้ดูแล้วไม่น่ารังแกเ้าค่ะ ท่านแม่ ต่อไปพวกเราจะต้องดื่มนม กินเนื้อทุกมื้อ ดีหรือไม่เ้าคะ?”
จางจ้าวฉือกล่าว “เื่นี้ย่อมได้ มิมีปัญหาเลยสักนิด เดี๋ยวแม่จะจัดการให้ลูกเอง”
ทางด้านเ้าหน้าที่ได้เตรียมที่พักเอาไว้ให้ขุนนางที่จะมาประจำการคนใหม่แล้ว อยู่ด้านหลังของสำนักงานว่าการเขตเหอซี เป็เรือนสี่ประสานสามทางเข้า ซึ่งเป็เรือนที่หรูหราที่สุดในเขตเล็กๆ แห่งนี้
สวี่เหราได้ไปที่สำนักงานว่าการเขตเหอซีด้านหน้ามาแล้ว และได้ประสานงานให้คนพาภรรยา ลูกและสัมภาระต่างๆ ที่นำมาไปส่งที่ประตูด้านหลังสำนักงาน
สำนักงานว่าการเขตเหอซีอยู่ทางทิศเหนือหันหน้าไปทางทิศใต้ ส่วนเรือนก็ตั้งอยู่ทางทิศใต้หันหน้าไปทางเหนือซึ่งระหว่างสำนักงานกับเรือนจะมีช่องทางเล็กๆ เพื่อให้เหล่าใต้เท้าเดินทางมาทำงานได้สะดวก และสามารถจัดการเื่ราวภายในสำนักงานว่าการได้ตลอดเวลา
จางจ้าวฉือะโลงจากรถม้ามายืนอยู่ตรงประตูใหญ่ของเรือนหลัง ไม่นานประตูบานใหญ่สีแดงก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน ที่ตามออกมานั้นคือหญิงวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมผ้าไหมสีเขียวผู้หนึ่ง เมื่อเห็นจางจ้าวฉือก็รีบเข้ามาทำความเคารพทันทีพร้อมเอ่ยถาม “ท่านคือฮูหยินสวี่ใช่หรือไม่เ้าคะ? ข้าเป็คนรับใช้ในเรือนนี้เ้าค่ะ”
เรือนหลังนี้เป็ส่วนหนึ่งของสำนักงานว่าการเขตเหอซี นอกจากอสังหาริมทรัพย์พวกนี้แล้ว ความจริงยังมีคนที่สำนักงานจ้างมาเองด้วย ปกติแล้วมักจะเป็นายทวารหรือคนสวนดูแลต้นไม้ดอกไม้ในเรือน
สวี่ตี้จูงมือสวี่จือลงมาจากรถม้า แล้วรีบเข้าไปพยุงแม่นมลู่ลงมา
จางจ้าวฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ลำบากแล้ว มิทราบว่าท่านสกุลใดหรือ?”
สาวใช้วัยกลางคนหัวเราะแล้วตอบ “ไอ๊หยา ข้าน้อยมิกล้าเทียบชั้นหรอกเ้าค่ะ ข้าสกุลจ้าว สามีเป็พ่อครัวทำอาหารให้กับทุกคนในสำนักงานด้านหน้าเ้าค่ะ ทุกคนต่างเรียกข้าว่าป้าจ้าว ข้าคอยช่วยทำกับข้าว ปัดกวาดพื้นของเรือนนี้มาตลอดเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ก่อนที่ป้าจ้าวจะพูดต่อ “ในเรือนนี้ข้าทำความสะอาดเอาไว้หมดแล้วเ้าค่ะ ฮูหยินสวี่เพียงเรียกคนเอาสัมภาระเข้าไปเก็บก็เรียบร้อยเ้าค่ะ พวกเราสองสามีภรรยาปกติแล้วก็จะพักอยู่เรือนด้านหน้า และคอยเฝ้าประตูเรือนด้วย หากท่านมีเื่อันใดให้รับใช้ก็มาเรียกข้าได้เ้าค่ะ”
สองสามีภรรยาสกุลจ้าวเป็คนที่สำนักงานจ้างเอาไว้ คงจะไปรับเงินเดือนจากทางสำนักงานทุกเดือนกระมัง
จางจ้าวฉือพาลูกๆ รวมทั้งแม่นมลู่เข้าไปในเรือน คนของจวนโหวที่อยู่ด้านหลังก็นำหีบสัมภาระลงมาจากรถม้าย้ายเข้าไปในเรือนตามคำสั่งของชิงเหมี่ยวชิงซุย เรือนสามทางเข้านี้ จางจ้าวฉือเดินวนรอบๆ แบบรวดเร็วๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าด้านหน้าเรือนเป็ห้องทำงานของสวี่เหราที่เอาไว้เป็ที่รับแขกในตัว เข้ามาในส่วนที่สองของเรือนก็เป็เรือนของตนเอง เข้าไปส่วนเรือนที่สามเป็ส่วนที่จัดไว้ให้สวี่ตี้ใช้งาน สวี่ตี้อายุสิบหนาวแล้ว พูดกันตามหลักเหตุผลควรจะมีเรือนเล็กๆ ทำแยกไว้ให้เขาพักได้แล้ว หากแต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยมากนัก จึงทำได้แค่จัดการตามสถานการณ์จริงไปก่อน อีกอย่าง คนในเรือนก็มิได้เป็คนคิดเล็กคิดน้อย จางจ้าวฉือกับสวี่เหราก็มิใช่คนหัวโบราณ ในเมื่อตัวเองมาอยู่ด้านนอกแล้ว เช่นนั้นก็ทำตัวตามที่ตนเองสบายใจย่อมดีกว่าเป็ไหนๆ
ต่อไปที่นี่ก็จะเป็เรือนที่ครอบครัวของนางจะเข้ามาพักอาศัยแล้ว ตอนนี้ในใจของจางจ้าวฉือมีความรู้สึกโลดแล่นโบยบิน จะมีสิ่งใดที่ทำให้รู้สึกสบายใจได้เท่ากับชีวิตตนเองเป็ไปตามที่ตนเองคิดกันเล่า?
หลังจากจัดข้าวของเรียบร้อยแล้ว นางตั้งใจว่าจะออกไปซื้อของเข้าเรือน
จางจ้าวฉือลากแม่นมลู่และป้าจ้าวที่อยู่เรือนด้านหน้าออกไปด้วย ทั้งสามคนตระเตรียมห้องตำราที่เรือนด้านหน้าไว้ให้สวี่เหราจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งหยิบกระดาษ พู่กันออกมาเรียง และจัดเตรียมของที่จำเป็สำหรับทำงานในห้องนั้นทั้งหมด
จางจ้าวฉือหันไปเอ่ยกับป้าจ้าวว่า “ป้าจ้าว ท่านเป็คนพื้นที่ ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็ในชีวิตประจำวันต้องซื้อสิ่งใดท่านย่อมรู้ดีที่สุด ข้ารบกวนให้ท่านช่วยดูหน่อยนะเ้าคะ”
ป้าจ้าวถูกจางจ้าวฉือให้เกียรติเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์ขึ้นมา แต่นางก็ยังเอ่ยตอบด้วยความถ่อมตนว่า “ฮูหยินเ้าคะ ท่านอย่าได้เกรงใจเช่นนี้เลยเ้าค่ะ เมืองชายแดนของพวกเราไม่เหมือนกับที่อื่น ที่นี่น่ะ ของที่ผลิตออกมาไม่ค่อยเหมือนกับที่อื่นมากนักเ้าค่ะ ที่นี่ปกติผลิตอาหารและข้าวธัญญาหาร พวกข้าวขาวที่ขายในร้านขายอาหาร ได้ปริมาณน้อย ราคาเองก็สูง ส่วนพวกเครื่องปรุงต่างๆ ในร้านอาหารแห้งล้วนมีขายเ้าค่ะ อีกอย่างตอนนี้ต้นไม้ทุ่งหญ้ากำลังเติบโตสวยงาม จึงไม่ต้องกังวลสิ่งใด หากตอนที่อากาศเย็นต้องเริ่มกักตุนอาหารเอาไว้ให้มากหน่อยเ้าค่ะ ที่นี่อยู่ใกล้กับด่านเยี่ยนเหมิน เมื่ออากาศเย็นแล้วก็มักจะมีคนจากด้านนอกเข้ามาพักผ่อน ดังนั้นเมื่อถึงตอนนั้นร้านค้าก็จะทำการปิดร้านกันเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือฟังที่ป้าจ้าวพูดเช่นนี้แล้ว ในใจนางรู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นรายการอาหารแห้งจึงยังไม่เขียนลงไป แต่ของใช้ในชีวิตประจำวันที่คนในครอบครัวต้องใช้ ของพวกนี้จะต้องเตรียมเอาไว้ให้พร้อม ดังนั้นพวกหม้อ ไห ฟืน น้ำมัน เกลือ จึงถูกเขียนเรียงออกมา
แม่นมลู่มองจางจ้าวฉือที่เขียนเสร็จแล้วค่อยกล่าวขึ้น “อีกเดี๋ยวไปที่ร้านโอสถ ดูสมุนไพรที่ใช้กันบ่อยๆ ต้องเตรียมเอาไว้ให้พร้อมด้วย”
จางจ้าวฉือเขียนรายการที่้าซื้อในร้านขายโอสถเอาไว้ด้านหลังรายการอาหาร มองรายการแล้วจางจ้าวฉือก็ถามป้าจ้าวว่า “ป้าจ้าว คนที่ข้าพามาด้วยมีไม่มาก ข้าอยากจะจ้างคนมาทำงานในเรือนสักหลายๆ คนหน่อย อย่างเช่น ทำอาหาร เตรียมน้ำอาบ ท่านดูว่าสามารถแนะนำให้ได้หรือไม่ ท่านวางใจได้ รับประกันว่าเงินเดือนเพียงพอแน่นอน”
ป้าจ้าวได้ยินก็ยิ้มแล้วพูดตอบ “หากเื่ทำอาหาร ไม่กลัวท่านจะหัวเราะเยาะ ข้ารับประกันได้ สามีของข้าล้วนทำงานเกี่ยวกับอาหารมาหลายชั่วคน น้องสาวของสามีข้าเองก็เรียนมาเหมือนกันเ้าค่ะ หากท่านไม่รังเกียจ ข้าจะให้นางมาทำให้ทานสักสองวันนะเ้าคะ หากท่านรู้สึกว่าเหมาะสมก็จ้างนาง หากท่านรู้สึกว่าไม่เหมาะ ข้าจะไปสอบถามมาเพิ่มเติมให้เ้าค่ะ ท่านเห็นว่าอย่างไรเ้าคะ?”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วเอ่ย “เช่นนั้นก็ลำบากท่านแล้ว”
ความจริงแล้วสำหรับเื่ลูกน้อง พวกนางจะเป็ญาติกันหรือไม่นั้น จางจ้าวฉือมิได้ใส่ใจมากนัก ขอแค่ทำงานตามความ้าของนางได้ดี สมกับเงินเดือนที่นางให้ เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว จางจ้าวฉือเป็คนที่ให้ความสำคัญกับชีวิตมาก สำหรับเื่ต่อสู้แก่งแย่งกันนั้นมิค่อยได้สนใจมากเท่าใดนัก ตอนที่เริ่มเข้าทำงานที่โรงพยาบาล ใน่แรกๆ เพราะว่าเพิ่งจะเข้ามาทำงานใหม่ จึงเคยถูกคนแอบกลั่นแกล้งรังแกมาก่อน จางจ้าวฉือเองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้น แค่เพิ่มความสามารถในการทำงานของตนเอง ตามคติที่นางถือก็คือ แทนที่จะมัวมาทำเื่ไม่เป็เื่ มิสู้เอาเวลามายกระดับความสามารถของตนเองจะมิดีกว่าหรือ เมื่อตนเองแข็งแกร่งแล้ว ก็ไม่ต้องลงมือทำอะไร คนพวกนั้นก็จะหลบไปอยู่ไกลๆ เอง ความแข็งแกร่งสิถึงจะจัดการพวกลิ่วล้อให้ล้มได้
แม่นมลู่ยืนยิ้มอยู่ด้านข้างมาตลอด รอจนกระทั่งป้าจ้าวออกไปแล้ว แม่นมลู่จึงเอ่ยขึ้น “ต่อไปเ้าเองก็จะเป็นายหญิงของเรือนแล้ว ยังมีเื่ที่ต้องเรียนรู้อีกนะ”
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ย “แม่นมคนดีของข้า ต่อไปมีตรงใดที่ข้าบกพร่องก็บอกแก่ข้าได้เลยเ้าค่ะ ต่อไปข้าจะต้องเตรียมตัวเลี้ยงดูท่าน ท่านไม่สามารถเห็นข้าเป็คนนอกได้นะเ้าคะ”
แม่นมลู่ฟังคำพูดนี้ในใจก็อบอุ่นขึ้นมา “ได้ๆ เช่นนั้นต่อไปข้าจะสั่งสอนเ้าอย่างดี ั้แ่นี้ไปพวกเราจะเริ่มเรียนเกี่ยวกับกฎระเบียบกันนะ”
จางจ้าวฉือได้ยินแล้วก็แอบถอนหายใจในใจ นางรู้อยู่แล้วว่าจะเป็เช่นนี้ เป็ฮูหยินของขุนนาง ความจริงแล้วมิใช่เื่ง่ายเลย
หลังจากสวี่เหราไปพบกับลูกน้องใต้บังคับบัญชาของตนเองในสำนักงานมาแล้ว ตอนกลางวันก็พากันไปที่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเขต ทานข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อ จนกระทั่งดึกแล้วถึงได้กลับมาถึงเรือน
จางจ้าวฉือได้ให้คนไปซื้อของที่ต้องซื้อกลับมาแล้ว อีกทั้งป้าจ้าวเองก็เรียกน้องสาวของสามีมาด้วย อาหารค่ำจึงให้สตรีที่ถูกเรียกว่าพี่เหอเป็คนดูแล
ซึ่งล้วนเป็อาหารที่เห็นได้ตามปกติทั่วไป แต่รสชาติที่ทำออกมาดีจริงๆ ตอนกลางวันสวี่เหราดื่มเยอะไปหน่อย ตอนกลางคืนจึงซดแกงเผ็ดเปรี้ยวเสียจนหมดไปหนึ่งถ้วย สวี่ตี้เองก็กินเยอะขึ้นอีกหนึ่งจาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจางจ้าวฉือ ถึงตลอดทางจะไม่ได้ดูแลตนเองย่ำแย่มากนัก แต่การเลือกซื้อของกินในที่พักระหว่างทาง มีหรือจะสามารถสู้อาหารที่เรือนของตนเองทำได้
ดังนั้นแม่ครัวจึงถูกจ้างเอาไว้ ป้าจ้าวช่วยหาสาวใช้เบ็ดเตล็ดสองคนจากแถวตลาดมาทำความสะอาด ซักผ้าให้กับครอบครัวสกุลสวี่ ถึงแม้เขตเหอซีส่วนมากจะเป็ทหาร แต่ก็ยังมีประชาชนในพื้นที่อยู่ พืชผักหาไม่ค่อยมี ผลผลิตไม่ใช่เื่ที่ดีมากอยู่แล้ว ดังนั้นการออกมาหาเงินนอกบ้านจึงสามารถช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้ ในความคิดของพวกนาง สถานที่ที่ดีที่สุดย่อมต้องเป็ครอบครัวสวี่ที่มีข้าวให้กินสองมื้อทั้งมือกลางวันกับมื้อเย็น หลังจากกินข้าวเย็นแล้วก็ค่อยไปตรวจตราเรือนหลังกับป้าจ้าว หากเรียบร้อยจึงจะสามารถกลับเรือนตนเองไปพักผ่อนได้ และไม่มาทำงานสายกว่าเวลาที่ครอบครัวสวี่กำหนดไว้ก็พอ
แม่นมลู่มิค่อยพอใจกับคนพวกนี้มากเท่าใดนัก แต่ว่าเขตเหอซีเองก็ไม่สามารถเทียบกับเมืองใหญ่ๆ ได้ จางจ้าวฉือเองก็ทำได้เพียงพูดปลอบใจแม่นมลู่เท่านั้น เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน ย่อมไม่สามารถทำเื่ใดๆ ให้ดีถึงระดับที่ตนเองพอใจได้ นานวันเข้าก็จะค่อยๆ เข้าที่เข้าทางขึ้นมาเอง กลับเป็แม่นมลู่ที่รู้สึกว่าตนเองอายุมากขนาดนี้แล้ว อีกทั้งยังเป็ผู้มีความรู้มากมายผู้หนึ่ง ยังปล่อยวางสู้คนที่อยู่ในเรือนหลังมาหลายสิบปีตลอดมิได้ หลังจากที่ตั้งใจวิจารณ์ตนเองเสร็จแล้ว แม่นมลู่ก็ยอมรับการจัดการของจางจ้าวฉือ
ครอบครัวสกุลสวี่ผ่านการเดินทางยากลำบากมาราวยี่สิบกว่าวัน ในที่สุดก็ได้เข้าพักในเขตเล็กๆ แห่งนี้สำเร็จ