“ทุกคนล้วนมีเสรีภาพของตนเอง แล้วเ้ามีสิทธิ์อะไรมาก้าวก่ายเสรีภาพของข้า?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองมู่หรงเฟิง ก่อนหน้านี้คนผู้นี้พยายามลงมือจัดการเขา มิหนำซ้ำยังขู่ฆ่าเขาอีก เดิมทีเย่เฟิงไม่อยากมีเื่ทะเลาะวิวาทกับอีกฝ่าย แต่มู่หรงเฟิงกลับยั่วยุเขาก่อนอีกครั้ง เช่นนั้นเย่เฟิงก็ไม่จำเป็ต้องเกรงใจอีกฝ่าย
“ข้าเคยพูดไปแล้ว หากเ้าโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก ข้าจะฆ่าเ้า บัดนี้เ้ากล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าข้า รนหาที่ตายจริง ๆ!” มู่หรงเฟิงกล่าว
“เย่เฟิง ฉวยโอกาสตอนที่ศิษย์พี่ข้ายังไม่ลงมือรีบหนีไปซะ หาไม่แล้วก็ไม่มีผู้ใดปกป้องเ้าได้” เมิ่งยวี่ฉิงเห็นมู่หรงเฟิงบันดาลโทสะก็รีบเตือนเย่เฟิงทันที นางรู้ความร้ายกาจของมู่หรงเฟิงดี และไม่ใช่คนที่เย่เฟิงจะต่อกรด้วยได้ ถึงอย่างไรนางก็รู้จักเย่เฟิง ย่อมไม่อยากเห็นเย่เฟิงถูกมู่หรงเฟิงฆ่าตาย จึงเตือนด้วยความหวังดี
“ขอบใจ” เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกับเมิ่งยวี่ฉิงเช่นนั้น แต่ว่าเขาไม่ได้หนีไปไหน เป้าหมายของเขาคือผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม หากไม่ได้ของสิ่งนี้ เขาก็ไม่มีทางไปจากที่แห่งนี้ง่าย ๆ
“เ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง? ถ้าเ้าไม่หนีไป แล้วศิษย์พี่ข้าลงมือสังหารเ้า ข้าก็ช่วยอะไรเ้าไม่ได้นะ” เมิ่งยวี่ฉิงเห็นเย่เฟิงยังคงอยู่ที่เดิมก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายไม่ชอบใจ
“ไยแม่นางเมิ่งพล่ามไร้สาระกับคนประเภทนี้ ข้าจะทำลายเขา ให้เขาได้รู้ซึ้งว่าคุณชายมู่หรงไม่ใช่คนอย่างเขาจะมาล่วงเกินได้!”
ขณะเดียวกันมีเสียงหนึ่งที่แฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามดังมาจากข้างหลังมู่หรงเฟิงและเมิ่งยวี่ฉิง นาทีต่อมาคนผู้หนึ่งเดินออกจากฝูงชนชาวต่างแดนมาที่เบื้องหน้าเย่เฟิง คนผู้นี้อายุประมาณ 18-19 ปี รูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาคู่นั้นมองเย่เฟิงด้วยความดูแคลน พร้อมยิ้มหยัน ก่อนกล่าวว่า “รนหาที่ตาย คุณชายมู่หรงไม่ใช่คนชั้นต่ำเช่นเ้าจะล่วงเกินได้ แต่ข้าจะให้โอกาสเ้า หักแขนตัวเอง คุกเข่าขอโทษคุณชายมู่หรง แล้วข้าจะไว้ชีวิตเ้า”
คนผู้นั้นเชิดหน้ามอง ประหนึ่งชีวิตของเย่เฟิงอยู่ในการควบคุมของเขา
“เ้าให้ข้าหักแขนตัวเอง แล้วคุกเข่าขอโทษเขางั้นหรือ?” เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ชาวต่างแดนเหล่านี้หยิ่งยโสกว่าที่เขาคิดไว้มาก เดิมทีเขาไม่มีแค้นอะไรกับมู่หรงเฟิง แต่อีกฝ่ายกลับเป็คนหาเื่ก่อน
“ใช่แล้ว นี่คือโอกาสที่เ้าจะมีชีวิตรอดเพียงหนึ่งเดียว” คนนั้นพยักหน้าด้วยสีหน้าหยิ่งผยองเช่นเดิม ราวกับว่าการที่เขาให้เย่เฟิงทำเช่นนี้เป็พระคุณอันใหญ่หลวง
ผู้คนเผยสีหน้าสนใจ พวกเขาต่างคิดว่าเย่เฟิงจะทำตามที่ผู้ฝึกยุทธ์บอก ถึงอย่างไรชีวิตก็สำคัญกว่าแขนข้างเดียว ทว่าชาวอาณาจักรจ้าวเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ความภาคภูมิใจของอาณาจักรจ้าว อันดับที่หนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่ง บัดนี้ถูกชาวต่างแดนเหล่านี้รังแกกลั่นแกล้งอย่างนั้นหรือ?
“ข้าให้เวลาเ้าสามวิ รีบไสหัวไปให้พ้นจากหน้าข้า หาไม่แล้วก็รับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง!”
ขณะที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเย่เฟิงจะหักแขนตัวเองและคุกเข่าขอโทษมู่หรงเฟิง จู่ ๆ ก็มีเสียงเย็นเยือกดังออกจากปากของเย่เฟิง นี่ทำให้ผู้คนรู้สึกเกินคาดและมองเย่เฟิงด้วยสายตาใ คิดว่าเย่เฟิงกำลังรนหาที่ตาย
ชายหนุ่มตรงหน้านี้คืออัจฉริยะจากกองกำลังใหญ่ ๆ ทั้งยังอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 จึงไม่ใช่คนที่เย่เฟิงจะต่อกรด้วยได้ แต่ไม่นึกว่าเย่เฟิงจะพูดจาเช่นนี้
อย่างไรก็ตามชาวอาณาจักรจ้าวที่ดูอยู่ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็อย่างไร อันดับหนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งแห่งอาณาจักรจ้าวก็เป็คนที่กล้าหาญอย่างมาก คุ้มค่าพอที่จะให้พวกเขาเคารพนับถือ แต่ขณะเดียวกันมีหลายคนเริ่มเป็ห่วงเย่เฟิง พวกเขารู้ว่าชาวต่างแดนเหล่านี้แข็งแกร่งกว่ามาก อีกอย่างชายหนุ่มตรงหน้านี้ยังมีตบะสูงกว่าเย่เฟิงถึงสองขั้น ในสถานการณ์เช่นนี้เย่เฟิงจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างไร?
“ไอ๊หนู คงต้องบังคับเ้าถึงจะทำสินะ!” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเห็นเย่เฟิงนิ่งเฉยก็ะเิโทสะออกมา เขายกมือขึ้น ก่อนจะวาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิง
ดวงตาของเย่เฟิงฉายแววเย็นะเื เขาคาดเดานานแล้วว่าอีกฝ่ายจะลงมือจัดการเขา จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดโจมตีอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะเข้าปะทะกับพลังฝ่ามือของอีกฝ่าย
“ตูม!!!” เสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหว คลื่นทำลายล้างแพร่กระจายเป็วงกว้าง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น เพียงหนึ่งหมัดของเย่เฟิงทำให้กระดูกแขนของเขาแตกหักไปหลายจุด หน้าอกยังยุบลงไป จนเหลือชีวิตอยู่ครึ่งเดียว
“แกร่งมาก!” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างต้องตกตะลึง พร้อมตัวสั่นสะท้าน พวกเขาไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็เช่นนี้
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นโดนหมัดของเย่เฟิงซัดกระเด็น กระทั่งไม่มีโอกาสโต้กลับแม้แต่นิด ต่อให้เขามีตบะสูงกว่าเย่เฟิงสองขั้น แต่ต่อหน้าเย่เฟิง เขาก็เป็ได้เพียงมดแมลง
“ลำพังเ้าคนเดียว กล้าดียังไงมาทำตัวอวดดีต่อหน้าข้า?” เย่เฟิงมองไปที่คนนั้นด้วยสายตาเย็นเยือก ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น
คนเราสามารถหยิ่งยโสและภาคภูมิใจได้ แต่ต้องมีความสามารถพอถึงจะทำได้ หากทำอะไรเกินตัว อาจจะนำพาความอัปยศอดสูมาสู่ตน
“เขาแข็งแกร่งมากขึ้นขนาดนี้เชียวหรือ!” เมิ่งยวี่ฉิงมองฉากตรงหน้าด้วยสายตาเหลือเชื่อ ความเร็วในการก้าวหน้าของเย่เฟิงทำให้นางใมาก แม้แต่มู่หรงเฟิง จั่วเหลิ่งเทียน และเหยาซินเอ๋อร์ก็ใเช่นกัน
“ศิษย์พี่ ไม่คิดว่าคนคนนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เห็นทีพวกเราคงประเมินเขาต่ำไป” หลันเซียงกล่าวกับชิงเซียง พลางมองเย่เฟิงด้วยสายตาตื่นตระหนก
“ก็แค่เอาชนะผู้อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 คนเดียวเท่านั้น มีอะไรให้น่าแปลกใจ ศิษย์น้องเ้าคิดหาวิธีเถอะว่าจะชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมาได้อย่างไร!” ชิงเซียงเหลือบมองเย่เฟิงด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะกล่าวกับหลันเซียงเช่นนั้น
“ข้าไม่เห็นด้วยกับศิษย์พี่ ข้าคิดว่าคนผู้นี้คงไม่ง่ายอย่างที่ท่านคิดไว้ การต่อสู้เมื่อครู่นี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด” หลันเซียงมองเย่เฟิงั้แ่หัวจรดเท้าด้วยความสนใจ พลางยิ้มจาง ๆ คล้ายสนใจเย่เฟิง
“หึ! วันนี้ศิษย์น้องเป็อะไรกัน? ไยถึงสนใจชาวท้องถิ่นนี้เล่า? ศิษย์น้องโปรดอย่าลืม สตรีของเทียนเซียงหลินไม่อนุญาตให้มีความรักใคร่กับบุรุษ” ชิงเซียงเห็นหลันเซียงยังมองเย่เฟิงก็แค่นเสียงเ็า พร้อมเผยสีหน้าดูแคลน ด้วยนิสัยของนาง ย่อมไม่อยากคบค้าสมาคมกับชายใด เว้นแต่อัจฉริยะชั้นยอดเ่าั้ คุ้มค่าพอที่จะให้นางเลื่อมใสศรัทธา
“เ้ากล้าดียังไงทำร้ายเขา ช่างใจกล้ายิ่งนัก!” ขณะนั้นมีอีกเสียงดังออกมาจากฝูงชน
ทุกคนต่างหันไปมองตามต้นเสียง ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งทะยานร่างขึ้นฟ้า มาเยือนเบื้องหน้าเย่เฟิงพร้อมมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก “ทำร้ายคนของสำนักข้า เ้ารู้ผิดหรือไม่!”
“อยากลงมือก็รีบ ๆ ทำซะ อย่ามัวแต่พล่ามไร้สาระ!” เย่เฟิงมองอีกฝ่ายพร้อมแสยะยิ้ม เขารู้ว่าการทำร้ายคนเมื่อครู่นี้จะต้องมีคนมารบกวนเขา แต่เขาไม่ใช่คนที่จะกลัวอะไรง่าย ๆ ในเมื่อคนอื่นมายั่วยุเขาก่อน ต่อให้มีฐานะสูงส่งเพียงใด เย่เฟิงก็จะทำให้อีกฝ่ายชดใช้ให้สาสม
นี่คือกฎของเย่เฟิง ไม่ได้ยั่วยุใครก่อน ก็ไม่จำเป็ต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด
“เป็ศิษย์จากสำนักหลิงไถ ครั้งนี้สำนักหลิงไถส่งคนมาจำนวนไม่น้อย คนนี้ทำร้ายคนของสำนักหลิงไถ ศิษย์คนอื่น ๆ ไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ แน่!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว เขาจำตัวตนของคนที่เย่เฟิงทำร้ายเมื่อครู่และคนที่ออกมาในตอนนี้ได้
สำนักหลิงไถนั้นถือเป็กองกำลังชั้นกลางแห่งจักรวรรดิจิ่วโยว อยู่ใกล้กับหมู่บ้านหานเสวี่ย คนเมื่อครู่นี้้าประจบมู่หรงเฟิงจึงออกตัวแทนเขา
“รนหาที่ตาย!” ศิษย์สำนักหลิงไถคนนั้นตาเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นวาดฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 เข้าโจมตี
“ไปให้พ้น!” พลังปราณปะทุออกจากร่างเย่เฟิง จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดโจมตีซึ่งมีพลังถึงสองแสนจิน ทั้งยังมีอานุภาพทำลายล้างที่รุนแรง
“ปัง!” เสียงะเิดังขึ้น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 คนนั้นส่งเสียงกรีดร้อง พร้อมกับถูกหมัดซัดกระเด็น ซึ่งคนนี้น่าอนาถกว่าคนแรกมาก เส้นลมปราณและอวัยวะภายในถูกทำลาย มิหนำซ้ำตบะก็ยังถูกทำลายด้วยหมัดเดียวจนกลายเป็คนไร้ค่านับจากนี้ไป
เมื่อผู้คนเห็นฉากนี้ก็มิอาจสงบนิ่งได้อีก ผู้ฝึกยุทธ์สองคนจากสำนักหลิงไถ คนหนึ่งอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 อีกคนอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับหมัดของเย่เฟิง พลังต่อสู้เช่นนี้ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 จะทำเื่เช่นนี้ก็ยังทำไม่ได้ง่าย ๆ ยิ่งกว่านั้นตบะของเย่เฟิงยังอยู่เพียงขั้นยุทธ์แท้ที่ 1
เมิ่งยวี่ฉิงเผยสีหน้าตื่นใ ก่อนหน้านี้นางเดาว่าเย่เฟิงอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 8 แต่เมื่อเย่เฟิงเอาชนะหยวนป้าเทียนและม่อหลี่ที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ นางก็ใเป็ครั้งแรก ทำให้ตอนนั้นนางคิดว่าเย่เฟิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 และมีฝีมือเหนือกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เย่เฟิงจะไม่ได้เหนือกว่าในระดับเดียวกัน แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ก็ยังเปราะบางเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง พลังเช่นนี้มิอาจใช้คำว่าน่าหวาดกลัวมาอธิบายได้
“ศิษย์พี่ ท่านเห็นหรือยัง ข้าบอกแล้วว่าคนผู้นี้ไม่เรียบง่ายเช่นนั้น แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ก็ยังอ่อนหัด ไม่รู้ว่าพลังที่แท้จริงของเขาจะแข็งแกร่งถึงระดับไหน?” หลันเซียงยกมือปิดปาก พร้อมดวงตาทอประกายด้วยแสงสีฟ้า ส่วนชิงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ นางเห็นเย่เฟิงซัดผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ด้วยหมัดเดียว ก็ต้องใอย่างช่วยไม่ได้ แต่ใอยู่ครู่เดียว สีหน้าก็กลับมาเป็ปกติ ก็เป็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 จากสำนักหลิงไถเท่านั้น มิอาจทัดเทียมศิษย์ชั้นยอดได้
“ทำร้ายศิษย์สำนักหลิงไถข้า วันนี้สำนักหลิงไถจะบดขยี้เ้าให้สิ้นซาก!” ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมสายตาหลายคู่ที่เปี่ยมด้วยความอาฆาตมองมาทางเย่เฟิง
“ปากดีมีอะไรให้น่าภูมิใจ คนของสำนักหลิงไถเ้า หากใครอยู่ต่ำกว่าขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ก็เข้ามาได้เลย ข้าจะกำจัดให้หมดเกลี้ยง หากไม่เชื่อ พวกเ้าสำนักหลิงไถก็ลองดูสิ!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม พร้อมมองด้วยสายตาดูแคลน
“หมอนี่โอหังเกินไปแล้ว เขากำลังประกาศากับสำนักหลิงไถงั้นหรือ?” ผู้คนต่างตะลึงงัน มีหลายคนไม่คิดว่าเย่เฟิงจะใจกล้าและโอหังถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทรงพลังเท่าไรก็ยังคงไม่หวั่นเกรง นี่ทำให้หลาย ๆ คนใจเต้นโครมคราม
ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถต่างเผยสีหน้าดูไม่ได้ แม้สำนักพวกเขาจะไม่ถือว่าสูงส่งในจักรวรรดิจิ่วโยว แต่สำนักก็มีชื่อเสียง แล้วพวกเขาเคยโดนดูถูกเยี่ยงนี้ั้แ่เมื่อใดกัน?
บัดนี้พวกเขามาเยือนอาณาจักรเล็ก ๆ เพื่อชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม แต่กลับโดนชายหนุ่มที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ดูถูกดูแคลน ที่สำคัญไปกว่านั้นพวกเขาไม่มีวิธีที่จะตอบโต้เย่เฟิง เพราะว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ในหมู่พวกเขาถูกเย่เฟิงทำลายด้วยหมัดเดียวไปแล้ว จึงไม่มีใครสู้กับเย่เฟิงได้ พวกเขาทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
“ครืน!”
ทันใดนั้นมีเสียงะเืเล็กน้อยดังมาจากใจกลางทะเลสาบมรกต ทำให้ผู้คนหันไปมองด้วยความสนใจ
