“รอไฟติดได้ที่ก่อน แล้วค่อยวางหม้อ เตรียมนึ่งปลาแสนอร่อยเป็สูตรของสกุลจ้าว รับรองว่าจือซินกุ้ยเฟยต้องประทับใจมากแน่ ๆ เพคะ” เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของชายหนุ่มเริ่มมีความหวังขึ้นมา ทั้งสองง่วนอยู่ในครัว ช่วยกันทำเครื่องสมุนไพรเพื่อเป็ส่วนผสม
“ต้องหั่นชิ้นเล็กกว่านี้เพคะ” คำเตือนของอี้หนิงทำให้จวิ้นเทียนที่กำลังหั่นสมุนไพรหยุดมองขนาดสมุนไพรบนเขียง ก่อนอี้หนิงจะเดินเข้ามาแล้วจับมือเขาหั่นช้า ๆ
“หั่นขนาดเท่านี้เพคะ” สายตาและท่าทางของนางทำให้เขาค่อย ๆ ผ่อนคลายมากขึ้น นางไม่มีท่าทีประจบประแจงจนน่ารำคาญเหมือนกุ้ยเหรินคนอื่น ทำให้เขาไม่อึดอัดใจมากนักเมื่ออยู่ใกล้
“ข้าต้องหั่นทั้งหมดเลยหรือไม่” เขามองสมุนไพรที่เหลือแล้วเอ่ยถาม
“เพคะ” นางหันมาตอบแล้วส่งยิ้มหวาน ทำให้จวิ้นเทียนชะงักนิ่ง พลันหั่นสมุนไพรต่อ เพื่อให้ทันเวลาอาหารเย็น เมื่อเสร็จแล้ว จึงตั้งกระทะเพื่อทอดสมุนไพร ทว่าเพียงแค่ใส่สมุนไพรลงไปในกระทะ ทุกอย่างก็แตกกระเด็นไปทั่วโรงครัว
อี้หนิงที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมภาชนะหันมาเห็น จึงรีบวิ่งเข้าไปหาจวิ้นเทียนแล้วดึงร่างของเขาออกจากบริเวณนั้นทันที
“หลบก่อนเพคะ” เมื่อทุกอย่างสงบลง หญิงสาวจึงค่อย ๆ ก้าวไปดูสาเหตุ พบว่าน้ำมันในกระทะถูกใส่มากเกินไป นางจึงตัดสินใจก้มลงตักน้ำมันออกช้า ๆ พลันเอ่ยขึ้น
“พระองค์ใส่น้ำมันมากเกินไป ครั้งแรกก็แบบนี้แหละเพคะ เดี๋ยวทำบ่อย ๆ ก็เก่ง”
“ยังจะมีครั้งต่อไปอีกเหรอ?” เขามองพื้นที่เต็มไปด้วยสมุนไพรที่เพิ่งกระเด็นออกมาจากกระทะ แล้วถามอีกฝ่าย ก่อนนางจะปล่อยยิ้มแล้วตอบกลับ
“หากจือซินกุ้ยเฟยโปรด พระองค์ก็ต้องทำอีก แต่ไม่ต้องห่วง หม่อมฉันจะคอยช่วยพระองค์เอง” นางพยายามพูดปลอบ ก่อนจวิ้นเทียนมองเสื้อผ้าของนางที่เลอะคราบน้ำมันเป็จุด ๆ
“เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่?” คำถามรู้สึกผิดของเขา ทำให้หญิงสาวส่ายศีรษะแล้วส่งยิ้มให้
เสียงสนทนาระหว่างอี้หนิงและฮ่องเต้ดังลอดออกมาเป็ระยะ ภายนอกนั้นหยวนซูอ๋องยืนนิ่งกอดอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนกลิ่นของถุงหอมที่ติดกายเขา จะลอยเข้าไปเตะจมูกของอี้หนิง ทำให้นางละมือจากสิ่งที่ทำ แล้วเดินตามกลิ่นของถุงหอมออกมา ทว่าพบเพียงความว่างเปล่าไม่พบผู้ใดบริเวณนั้น
“มีอะไร” จวิ้นเทียนเอ่ยถาม ก่อนอี้หนิงจะละจากความสงสัยแล้วส่ายศีรษะ หันตัวเดินเข้าไปช่วยเขาทำอาหารต่อ โดยไม่ตอบอะไร
ไม่นานนักอาหารที่ว่าก็เสร็จสิ้น อี้หนิงและจวิ้นเทียนต่างทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกัน แล้วทอดสายตาไปยังปลาต้มสมุนไพรที่มีควันโชยฟุ้งออกมา
“หากวิธีนี้ไม่ได้ผล เ้าต้องรับผิดชอบ” น้ำเสียงราบเรียบของจวิ้นเทียนฮ่องเต้ ทำให้อี้หนิงหันมองไปยังเขาแล้วเอ่ยขึ้น
“หายกันแล้วเพคะ พระองค์ช่วยอธิบายเื่ผ้าปักลายัที่หม่อมฉันอยากรู้ ส่วนหม่อมฉันช่วยให้พระองค์เอาใจจือซินกุ้ยเฟย หลังจากนี้เราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว” หญิงสาวค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมเบี่ยงตัวเดินจากไป ก่อนชายหนุ่มจะเอื้อมมือมารั้งนางไว้
“เดี๋ยวก่อน!” อี้หนิงค่อย ๆ มองมือของเขา ก่อนชายหนุ่มจะรู้สึกตัว แล้วค่อย ๆ ปล่อยมือนางออก พลันเอ่ยขึ้น
“เหตุใดเ้าจึงกลับกลอก” อี้หนิงขมวดคิ้ว
“กลับกลอกอย่างไรเพคะ”
“เมื่อครู่ เ้ายังบอกอยู่เลย ว่าต่อไปจะช่วยข้าทำอาหารให้กับจือซิน มาตอนนี้เ้าบอกว่าหายกันแล้ว เราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกัน เช่นนี้ไม่กลับกลอก?” อี้หนิงชะงักนิ่ง พลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมไม่หนีไปไหน
ข่าวความสัมพันธ์ ระหว่างฮ่องเต้กับอี้หนิงกุ้ยเหริน สนิทสนมถึงขั้นเข้าครัวทำอาหารร่วมกัน รู้ไปถึง ลี่หว่าน และ เหมยจู ที่เข้ารับตำแหน่งเป็กุ้ยเหรินก่อนหน้าได้ไม่นาน ทำให้เกิดความริษยาขึ้นในทันที ทั้งสองนัดพบกันปรึกษากันถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นท่ามกลางศาลาสีแดงขนาดใหญ่ โดยมีนางกำนัลคอยดูแลรับใช้ไม่ห่าง
“บุตรสาวสกุลจ้าวผู้นี้ เราจะละเลยไม่ได้แล้ว เพียงเวลาไม่นาน นางสามารถเข้าใกล้ฮ่องเต้ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกเราพยายามแทบตาย พระองค์แทบไม่ชายตามอง เช่นนี้เราจะทำอย่างไรดี” เหมยจูหันไปยังลี่หว่าน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล พร้อมสายลมอ่อนพัดมาปะทะกายเบา ๆ
“เหตุใดต้องร้อนรน ทั้งเ้าและข้าต่างก็เคยใช้วิธีเดียวกับนาง ทำทุกอย่างเพื่อเข้าใกล้ฮ่องเต้ ผลเป็เช่นไร? สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ก็เลือกมองแต่จือซินกุ้ยเฟย อีกหน่อยอี้หนิงก็จะถูกลืม...” ลี่หว่านกล่าวพร้อมยกชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น
“แต่ว่า...” เหมยจูทำท่าจะเอ่ยปาก ก่อนลี่หว่านเอ่ยขึ้น
“เลิกกังวล! เ้ายิ่งแสดงอาการ ก็ยิ่งทำให้อี้หนิงได้ใจ” เหมยจูจึงได้ยินดังนั้นจึงเงียบปากลงในทันที ท่ามกลางสายลมอ่อนพัดมาปะทะกายทั้งสองเบา ๆ
อี้หนิงกุ้ยเหรินยกสำรับอาหารเข้ามายังที่ประทับส่วนพระองค์ของจวิ้นเทียนฮ่องเต้ อาหารมากหลายอย่างถูกวางลงบนโต๊ะเสวย ก่อนนางจะนึกบางอย่างได้ จึงหันตัวไปจุดเทียนสองสามเล่มวางไว้เพื่อเพิ่มบรรยากาศ
“เ้าทำอะไร” จวิ้นเทียนมองการกระทำของอี้หนิงแล้วขมวดคิ้ว ก่อนนางหันมาแล้วยิ้ม
“เพิ่มบรรยากาศเพคะ หม่อมฉันดูมาจากทีวี” นางหลุดพูดคำปัจจุบันออกมา
“หม่อมฉันหมายถึง อ่านมาจากตำรารักทั่วไป ว่ากันว่าจุดเทียนเพิ่มบรรยากาศดีกว่าจุดตะเกียงเป็ไหน ๆ นี่ก็ได้เวลาที่จือซินกุ้ยเฟยจะเสด็จมา หม่อมฉันหวังว่าครั้งนี้จะทำให้นางประทับใจ อีกหนึ่งชั่วยามหม่อมฉันจะกลับมาเก็บสำรับ และจะมาดูผลงานด้วยว่าเป็เช่นไร” กล่าวจบนางจึงเบี่ยงตัวเดินออกจากห้องไป ก่อนเสียงของจวิ้นเทียนจะเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวก่อน”
“เพคะ” นางหันมาแล้วทำตากลมใส
“ขอบใจ” คำกล่าวของเขาทำให้นางอมยิ้ม แล้วพยักหน้ารับ พลันเบี่ยงกายเดินออกจากตำหนักไป ก่อนจะหันกลับมามองเป็ครั้งสุดท้ายด้วยความภูมิใจ
“ขอให้ความรักของพระองค์สมหวังนะเพคะ” นางเอ่ยอวยพรด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ