ในทวีปหลิงโซ่วมีสามแคว้นหนึ่งมณฑล แบ่งออกเป็แคว้นเฟิงเหลย แคว้นชิงหยุน แคว้นเทียนซวง และมณฑลหลิงโซ่ว โดยที่แคว้นเฟิงเหลยมีขนาดใหญ่ที่สุดและพลังแข็งแกร่งที่สุด แคว้นชิงหยุนและแคว้นเทียนซวงมีพลังเท่าเทียมกัน ส่วนมณฑลหลิงโซ่วตั้งตัวเป็อิสระ มีอำนาจเหนือการควบคุมจากอีกสามแคว้น เพราะมณฑลหลิงโซ่วคือเขตทีุ่์สร้างขึ้น มีพลังเทียบเคียงแคว้นที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามของมนุษย์ได้ ทั้งยังอาณาเขตสำคัญของทวีปหลิงโซ่ว
ส่วนสำนักกระบี่ก็คือหนึ่งในสามอำนาจสูงแห่งแคว้นชิงหยุน มีอำนาจแผ่กระจายไปทั่วทั้งแคว้น แม้แต่ราชวงศ์ชิงหยุนยังต้องให้เกียรติ
เมืองอวี่ฮว่าในแคว้นชิงหยุนเป็เพียงเมืองต่ำต้อยเท่านั้น ต่างจากสำนักกระบี่ราวฟ้ากับเหว นี่คือเหตุผลที่ทำไมเสิ่นล่างถึงหวาดกลัวสำนักกระบี่ขนาดนั้น
ทวีปหลิงโซ่วยิ่งใหญ่มาก ใหญ่จนมิอาจจินตนาการได้
หลังจากเสิ่นเสวียนฟังเสิ่นล่างเล่าจบ สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงความหวาดกลัวเลย ตรงกันข้ามกลับมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งทวีปหลิงโซ่วยิ่งใหญ่มากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสและน่าตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เขา้า
“สำนักกระบี่เหมือนจะถูกตระกูลหานเชิญมาก่อน”
หลังจากที่เสิ่นล่างเล่าให้เสิ่นเสวียนฟังจบแล้ว เขาก็ดำดิ่งสู่ห้วงความคิด ไม่ต้องคำนึงถึงก้าวเล็กๆ นี้เลย แค่นี้ก็เพียงพอจะทำให้ตระกูลหานอยู่เหนือกว่าตระกูลอื่นๆ ในเมืองอวี่ฮว่าได้อย่างสมบูรณ์
“ในพิธีแต่งตั้งเ้าอย่าได้ยั้งมือ แต่เ้าต้องใส่ใจให้มาก ครั้งนี้หานเฟิงอาจท้าสู้กับเ้าในพิธีแต่งตั้ง เขามีพลังขั้นแม่ทัพระดับกลาง แต่พลังอาจจะเกือบถึงระดับสูงหรือไม่ก็ระดับสูงสุดแล้วก็ได้ แม้จะสู้ไม่ได้ก็ต้องรักษาชีวิตเอาไว้”
เสิ่นล่างกล่าวเตือนเสิ่นเสวียนอย่างจริงจัง หานเฟิงเป็ถึงนายน้อยแห่งตระกูลหาน มีทรัพยากรฝึกฝนที่จะทำให้พลังไปถึงขั้นนั้นได้จริงๆ
“ขอบคุณผู้าุโใหญ่มาก ข้าจะระวังตัว”
เสิ่นเสวียนพยักหน้าให้ผู้าุโใหญ่ ทั้งสองสนทนาเกี่ยวกับพิธีแต่งตั้งกันอีกครู่ใหญ่ จากนั้นเสิ่นเสวียนจึงกลับไปยังเรือนของตนเองเพื่อฝึกฝนต่อ
สามารถฝึกฝนถึงขั้นปี้กู่ได้ในตอนนี้นับว่าเหนือความคาดหมายแล้ว การไปเก็บหลินจือโมราจะต้องรอให้จบพิธีแต่งตั้งเสียก่อน ่เวลาต่อจากนี้ เสิ่นเสวียนจะฝึกฝนเงียบๆ อยู่ในเรือน พยายามทำให้ขั้นปี้กู่มั่นคงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อถึงขั้นปี้กู่ การจะเพิ่มพลังให้ได้เหมือนกับก่อนหน้านี้คงเป็ไปไม่ได้แล้ว
กระทั่งถึงคืนก่อนพิธีแต่งตั้ง เสิ่นเสวียนจึงสามารถฝึกฝนถึงจุดสูงสุดของขั้นปี้กู่ระดับต้นได้สำเร็จ เสิ่นเสวียนเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ทว่าความจริงเขากำลังรอคนลึกลับผู้นั้นอยู่ แต่ก็ไม่มีใครมาหาเขาเลย
ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นในหูของเสิ่นเสวียน พลังจิติญญาของเขาแผ่ซ่านออกไป เห็นว่ามีลูกหลานตระกูลเสิ่นอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าลานหลังเขา
ลูกหลานตระกูลเสิ่นคนนี้ เสิ่นเสวียนเหมือนจะเคยเห็นในความทรงจำ
เสิ่นว่านซื่อ คนจากตระกูลเสิ่นสาขาว่าน พวกเขาล้วนเป็คนทำการค้าในตระกูลเสิ่น รับผิดชอบดูแลกิจการทั้งหลายของตระกูล กำลังทรัพย์ของตระกูลเสิ่นเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมือของคนตระกูลเสิ่นสาขาว่านเหล่านี้ เพียงแต่พวกเขาต่างมีจุดเด่นที่เหมือนกัน นั่นคือไม่อาจฝึกฝนพลัง ทว่าเก่งกาจเื่การค้า
เสิ่นว่านซื่อคือคนรุ่นเยาว์ในสาขาว่าน อย่าเห็นว่าเขามีอายุเพียงสิบห้าปี เขาร้านค้าที่รุ่งเรืองอยู่ถึงสองแห่ง มีเงินใช้ไม่ขาดมือ
โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เสิ่นเสวียนยังไม่โดนขัง เขามีพี่น้องคนหนึ่งในตระกูลที่ดีต่อเขา นั่นก็คือเสิ่นว่านซื่อคนนี้
เสิ่นเสวียนลุกขึ้นแล้วเดินออกจากเรือน เขามองเสิ่นว่านซื่อที่ยืนอยู่ด้านนอกลาน ยิ้มให้แล้วกล่าว “น้องซื่อ มีอะไรหรือ”
หากนับวันเวลา ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันมาสามปีแล้ว
“พี่...พี่เสวียน ท่านพ่อให้ข้ามาหาท่าน”
เสิ่นว่านซื่อกล่าวกับเสิ่นเสวียน ในใจของเขารู้สึกแปลกๆ เขารู้ว่าเสิ่นเสวียนโดนเสิ่นเหวินเทาขังไว้ที่ลานหลังเขาแห่งนี้ แต่เสิ่นเหวินเทากลับป่าวประกาศไปทั่วว่าเสิ่นเสวียนป่วยหนัก กำลังรักษาตัวอยู่ที่ลานหลังเขา ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก เขาเป็เพียงคนธรรมดาที่มิอาจฝึกฝนพลัง จึงขัดคำสั่งผู้แข็งแกร่งอย่างเสิ่นเหวินเทาไม่ได้
เสิ่นเสวียนได้ออกไปข้างนอกแล้ว เขาเองก็ได้ยินในวันนั้นเหมือนกัน ในใจของเขารู้สึกทั้งใและดีใจ แต่เมื่อได้เห็นเสิ่นเสวียนในตอนนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
เสิ่นเสวียนได้เจอเสิ่นว่านซื่อ จึงคิดย้อนไปในความทรงจำอย่างรวดเร็ว เขาถึงได้พบว่าเสิ่นว่านซื่อและเสิ่นเสวียนสนิทกัน เขาจึงรีบเดินออกไปถึงด้านนอกลานแล้วดึงเสิ่นว่านซื่อให้เข้ามาด้านใน
“เป็พี่น้องกัน ไม่ต้องกล่าวให้มากความ ข้าเข้าใจดี”
เสิ่นเสวียนตบบ่าเสิ่นว่านซื่อ เขากล่าวเพียงประโยคเดียวให้เข้าใจทุกสิ่ง เพราะกลัวว่าตนเองจะกล่าวบางอย่างที่ส่อพิรุธ
“พี่...พี่เสวียน ข้าขอโทษที่ช่วยท่านไม่ได้”
ในตอนนี้เหมือนว่าเสิ่นว่านซื่อได้ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ที่แท้เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
“ใช่แล้ว มาหาข้ามีเื่อะไรหรือ”
เสิ่นเสวียนกล่าวกับเสิ่นว่านซื่อ
“ท่านพ่อข้าบอกว่าละอายใจที่จะเจอท่าน จึงให้ข้ามากล่าวคำขอโทษกับท่าน เขายังบอกอีกว่า ภายหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะสนับสนุนพี่เสวียนอย่างสุดความสามารถ” เสิ่นว่านซื่อกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว น้องชาย”
เสิ่นเสวียนพยักหน้า ที่แท้เขายังมีผู้สนับสนุนอยู่บ้างในตระกูลเสิ่น
“แล้วก็...หว่านเอ๋อร์กลับมาแล้ว ท่านพ่อข้าบอกให้ข้ากับท่านไปรับหว่านเอ๋อร์ด้วยกัน”
“หว่านเอ๋อร์!”
เสิ่นเสวียนมองเสิ่นว่านซื่อ ในหัวของเขาพลันค้นหาความทรงจำเกี่ยวกับหว่านเอ๋อร์คนนี้อย่างรวดเร็ว เพราะเท่าที่เขาจำได้ เหมือนจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
หลังจากค้นหาอยู่นาน ในที่สุดเขาก็หาเจอ
เขาต้องไล่หาไปจนถึง่วัยเด็กเลยทีเดียว ซือหม่าหว่านเอ๋อร์ มีท่านแม่เป็คนตระกูลเสิ่น ซึ่งเป็อาของเสิ่นว่านซื่อและยังเป็ท่านอาห่างๆ ของเสิ่นเสวียนอีกด้วย ส่วนท่านพ่อคือซือหม่าเจ๋อ เป็คนต่างถิ่น ตอนหนุ่มๆ เขายากลำบากมาก ถูกเลี้ยงดูมาโดยตระกูลหาน ต่อมาได้รักกับท่านอาของเสิ่นว่านซื่อและให้กำเนิดซือหม่าหว่านเอ๋อร์ขึ้นมา ใน่วัยเด็กเสิ่นเสวียนและเสิ่นว่านซื่อเล่นสนุกกับซือหม่าหว่านเอ๋อร์ด้วยความไร้เดียงสา พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน มีความทรงจำในวัยเด็กร่วมกันอยู่ไม่น้อย
กระทั่งอายุเจ็ดขวบ ซือหม่าหว่านเอ๋อร์ต้องออกจากเมืองอวี่ฮว่าไปพร้อมกับพ่อแม่ นับแต่นั้นมาก็ไม่เคยได้ข่าวของนางอีกเลย สิ่งที่เสิ่นเสวียนไม่ค่อยเข้าใจก็คือ ทำไมเสิ่นเสวียนคนนี้ถึงมีความทรงจำเกี่ยวกับหว่านเอ๋อร์น้อยมาก เหมือนกับตั้งใจลืมนางไปเสียอย่างนั้น
“หว่านเอ๋อร์จะนั่งเรือมาถึงเมืองอวี่ฮว่าในคืนนี้ ท่านพ่อบอกให้พวกเราสองคนไปรับนางด้วยกัน พี่เสวียน ท่านจะไปไหม”
เสิ่นว่านซื่อถามเสิ่นเสวียนด้วยความลังเล เพราะเสิ่นเสวียนคือนายน้อยของตระกูล แต่เขาเป็เพียงตระกูลเสิ่นสาขาย่อยเท่านั้น
“ไปสิ ต้องไปอยู่แล้ว พวกเราออกเดินทางตอนนี้เลยไหม”
เสิ่นเสวียนพยักหน้าทันที เขาเองก็อยากเห็นว่าซือหม่าหว่านเอ๋อร์ที่จากไปนานกว่าแปดปีจะมีหน้าตาเป็อย่างไร จากความทรงจำที่ค้นเจอ ในวัยเด็กนางงดงามมาก โตมาต้องไม่ต่างกันอย่างแน่นอน
“ดี ดีเลย”
เสิ่นว่านซื่อพยักหน้าด้วยความปลื้มใจ
จากนั้นทั้งสองคนก็พากันออกจากประตูลานหลังเขา มุ่งหน้าไปยังท่าเรือของเมืองอวี่ฮว่าอย่างรวดเร็ว
เมืองอวี่ฮว่าต้องพึ่งพาแม่น้ำซื่อสุ่ย แม่น้ำซื่อสุ่ยไหลผ่านทั่วทั้งแคว้นชิงหยุน ดังนั้นเมืองอวี่ฮว่าจึงกลายเป็หนึ่งในเมืองท่าริมแม่น้ำซื่อสุ่ยนี้ด้วย
ณ ท่าเรือ เสิ่นเสวียนมองแม่น้ำซื่อสุ่ยที่กว้างหลายร้อยจั้ง[1] เรือมากมายนับไม่ถ้วนผ่านเข้าออก ดูคึกคักมีชีวิตชีวามาก แม้แต่เมืองอวี่ฮว่าที่เป็เมืองต่ำต้อยยังเป็เช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเมืองหลักเ่าั้เลย
“พี่เสวียน ท่านดูสิ นี่คือเรือส่งสินค้า ข้าทำข้อตกลงกับพวกเขาสำเร็จแล้ว ให้พวกเขาขนส่งหลินจือเทียนหลานจากเมืองซื่อสุ่ยมาถึงร้านยาสมุนไพรตระกูลเสิ่นโดยตรง และยังได้กำไรถึงห้าส่วน ทางนั้นคือเรือพระสนมแห่งหลิงหลงฟาง มีการร่วมมือกับข้าเช่นกัน และยังมี...”
เสิ่นว่านซื่อมองเรือสินค้าที่เข้าออกท่าเรือด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อทำการค้าอย่างแท้จริง
“พี่เสวียน ดูนั่น ดูนั่นสิ เรือของหว่านเอ๋อร์มาแล้ว”
ขณะที่กล่าว เสิ่นว่านซื่อก็ชี้ไปยังเรือลำหนึ่งที่กำลังแล่นจากใจกลางแม่น้ำซื่อสุ่ยเข้ามา ธงบนเรือลำนั้นเขียนคำว่า ‘ซือหม่า’ เอาไว้ แสดงว่าเป็เรือของตระกูลซือหม่า
เสิ่นเสวียนมองตามไป เขาเห็นว่ามีเด็กสาวสวมชุดสีครามยืนอยู่บนเรือ ในมือถือกระบี่ สวมเครื่องประดับประณีตงดงาม กำลังมองมาทางเสิ่นเสวียนเช่นกัน
....................................................
[1] จั้ง คือหน่วยวัดความยาวของจีน (1 จั้ง = 3.33 เมตร)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้