เสี่ยวหมี่ยัดห่อผ้าในมือใส่ไปในช่องลับใต้ที่นั่งในรถม้า กำชับเฝิงเจี่ยนเสียงเบา “ในนี้มีพวกเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนและรองเท้าใหม่หนึ่งคู่ ยังมีผ้าคลุมกันลมอีกหนึ่งตัว ได้ยินว่าท้องทุ่งหญ้าอากาศหนาวเย็นนัก หากพวกท่านจัดการงานเรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมาเถอะ”
นางพูดจบแล้วก็คล้ายว่ากลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดจึงเสริมไปอีกประโยคว่า “ข้าวในนาเติบโตขึ้นทุกวัน หากท่านกลับมาช้าไม่แน่ว่าต้นข้าวพวกนั้นอาจจะลงไปอยู่ในหม้อแล้วก็เป็ได้”
เฝิงเจี่ยนได้ยินก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม สายตาอ่อนโยนราวกับลมฤดูใบไม้ผลิ ราวกับแสงตะวันอันอ่อนโยน จับจ้องใบหน้าของสตรีในดวงใจ สุดท้ายก็ตัดใจเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ข้าจะไปแล้วนะ”
ส่วนเกาเหรินจากไปด้วยสีหน้าสุดแสนจะไม่ยินดี
เสี่ยวหมี่มองส่งรถม้าจนลับสายตาแล้วถึงได้หมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน เรือนทั้งหลังยังเป็เช่นเดิม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงรู้สึกว่ามันช่างว่างเปล่าและเงียบเหงา
ไม่ ไม่ใช่ว่านางไม่รู้เหตุผล เพียงแต่หากจะยอมรับในตอนนี้จะยิ่งทำให้คนรู้สึกเสียใจยิ่งกว่าเดิม
ซูอีเองก็ราวกับว่าจะเหงาหงอยลงเพราะไม่มีสหายอย่างเกาเหริน เขาคอยตามอยู่ข้างกายเสี่ยวหมี่อย่างเงียบๆ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาผมเผ้ารุงรังไม่สดชื่น
เสี่ยวหมี่ดึงเขามานั่งบนหินก้อนใหญ่ใต้ต้นไม้ นางรับหวีมา ทางหนึ่งแกะเปียเขาออกเพื่อผูกให้ใหม่ ทางหนึ่งเอ่ยความในใจกับเขา
“ซูอี เ้าว่าพี่ใหญ่เฝิงเป็ใครกันแน่? เขาบอกว่ามีการค้าที่ท้องทุ่งหญ้า แต่ข้ารู้สึกว่าเขาปิดบังอะไรอยู่ หรือว่าเขาเป็ข้าราชการ เป็พวกขุนนางที่ออกตรวจตราแผ่นดินอะไรพวกนั้น? ไม่ ไม่ พี่สามของข้าเองก็เรียนเก่งมาก แต่จนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่ได้สอบเข้ารับราชการเลย พี่ใหญ่เฝิงเพิ่งจะอายุมากกว่าพี่สามเพียงห้าหกปีเท่านั้น อ่อ พูดถึงพี่สามข้า เ้ายังไม่เคยเจอเขาสินะ พี่สามของข้าน่ะร้ายกาจมาก หากเขาไม่เรียนหนังสือแล้วมาทำการค้ากับข้า เชื่อว่าไม่เกินยี่สิบปีบ้านเราจะต้องร่ำรวยเป็อันดับหนึ่งในใต้หล้า ยังมีพี่รองของข้า ราวกับเด็กน้อยที่ไม่ยอมโต ข้าให้เขาเอาของไปให้พี่สามที่สำนักศึกษา นี่เกือบจะเดือนหนึ่งแล้ว ยังไม่เห็นเงาของเขา รอเขากลับมา ดูสิว่าข้าจะด่าเขาอย่างไร”
เด็กหนุ่มสาวสองคนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ คนหนึ่งกำลังระบายความในใจ ส่วนอีกคนกำลังหลับตาพริ้มซึมซับ่เวลานี้อันสงบสุขนี้ไว้...
วันเวลาไม่เคยหยุดเดินไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เพียงพริบตา เฝิงเจี่ยนนายบ่าวก็ออกจากบ้านสกุลลู่มาได้สามวันแล้ว ค่ำคืนบนท้องทุ่งหญ้าหนาวเย็นเป็พิเศษ แว่วเสียงเห่าหอนของหมาป่า ทำให้เฝิงเจี่ยนกระชับดาบในมือ
เกาเหรินกำลังกรนเสียงดัง คล้ายจะไม่รับรู้เลยว่ามีกลุ่มหมาป่าราตรีกำลังจ้องจะจับเขาและเ้านายกินเป็อาหารค่ำอยู่
เฝิงเจี่ยนหักกิ่งไม้โยนเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชน จากนั้นก็ส่งสัญญาณมือไปในความมืด
เพียงไม่นานก็มีเงาร่างคนห้าคนปรากฏตัวขึ้นหน้ากองไฟ ราวกับว่าพวกเขาออกมาจากความมืด
เฝิงเจี่ยนโบกมือปฏิเสธพวกเขาที่เตรียมจะคุกเข่าแสดงความเคารพ “นั่งลงเถอะ เสวียนอีไปหยิบไหสีน้ำตาลมาสองไห ข้าจำได้ว่ายังมีสุราฤทธิ์แรงอยู่กาหนึ่งด้วย อาศัยจังหวะที่เกาเหรินหลับอยู่ พวกเ้าเองก็ลองชิม...รสมือของสกุลลู่ดูหน่อย”
ชายชุดดำพวกนี้ชัดเจนว่าสนิทสนมกับเ้านายของตนเป็อย่างมาก หลังจากที่ยืนหยัดจะคุกเข่าคารวะเสร็จแล้วคนทั้งสี่ถึงนั่งลง อีกคนหนึ่งขึ้นรถม้าไป เมื่อหยิบของออกมาแล้วก็เอ่ยกับเ้านายเสียงเบาว่า “นายน้อย ในนี้มีอะไรหรือขอรับ เกาเหรินถึงขนาดกอดเอาไว้ในอ้อมแขนระหว่างนอนหลับเลยทีเดียว หากไม่ใช่ว่าข้าให้เขาดมผงิญญาหลับใหลละก็ เกรงว่าคงแย่งมาไม่ได้”
“เนื้อหมัก” นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวหมี่ทำงานมือเป็ระวิงยุ่งเป็ผึ้งงานอยู่ในห้องครัว มุมปากเฝิงเจี่ยนก็อดโค้งขึ้นไม่ได้ ทำให้ใบหน้าคมคร้ามของเขาดูอ่อนโยนลงไม่น้อย
ทำเอาเสวียนอีเกือบสะดุดล้มทำไหในมือตก พวกเขาต่างติดตามนายน้อยมาั้แ่เด็ก ต่อให้นายท่านผู้เฒ่าจะชมเชย นายน้อยก็ไม่เคยมีสีหน้าเช่นนี้ หรือว่ามีเื่อะไรที่พวกเขาไม่รู้เกิดขึ้น?
คิดได้ดังนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกอิจฉาเกาเหรินที่นอนอยู่ในรถม้า ไม่รู้ว่านายท่านผู้เฒ่าคิดอะไรอยู่ถึงได้ให้เกาเหรินมาคอยรับใช้อยู่ข้างกายนายน้อย พวกเขาคิดจะถ่ายทอดข่าวสารอะไร ยังต้องกระทำผ่านเกาเหริน พวกเขาแทบจะไม่ได้เจอนายน้อยเลย
แต่ความอิจฉาริษยานั้นเรียกได้ว่าถูกเปลี่ยนเป็ความแค้นทันทีหลังจากที่ได้กินเนื้อในไหนั่น
“นายน้อย เกาเหรินได้กินเนื้อเช่นนี้ทุกวันเลยหรือขอรับ”
เสวียนอีกัดฟันถามออกมา ส่วนเสวียนเอ้อก็มองไหด้วยดวงตาแดงก่ำ
รอยยิ้มของเฝิงเจี่ยนกดลึกยิ่งกว่าเดิม เขาพยักหน้า
“เสวียนซานเ้าเข้าไปดูในรถหน่อย ยังมีของกินอะไรอีกก็รีบแย่งมา”
“นั่นน่ะสิ กินให้หมดดื่มให้หมด เ้าเกาเหรินนั่นวันๆ ได้กินของดีขนาดนี้กลับไม่เคยเอามาแบ่งปันพวกเราเลย”
“แค่ไม่อัดเขาให้น่วมก็ใจดีมากแล้ว ครั้งก่อนเจอกันข้าเคยทักเขาว่ากำลังถือของกินอะไรอยู่ในมือ สุดท้ายเ้าเด็กนั่นรีบยัดใส่ปากทันที”
พวกเขาบ่นโวยวายกันด้วยท่าทีโกรธเคือง จากนั้นจึงค้นรถม้าทุกซอกทุกมุมเพื่อหาของกินที่เกาเหรินซุกซ่อนมาในครั้งนี้
รอจนกินอิ่มแล้ว พวกเขาก็เอนกายกันรอบกองไฟอย่างสบายอารมณ์ “นายท่าน วันหน้าให้เราเป็คนติดตามท่านเถอะ ข้าว่องไวที่สุดเลยนะขอรับ...”
“ไปไกลๆ เลย ข้าต่างหากที่ควรเป็คนติดตามอยู่ข้างกายนายท่าน ข้าใช้อาวุธลับเก่งที่สุด เหมาะจะปกป้องนายท่านที่สุด”
“ไปไกลๆ เลยพวกเ้า ควรเป็ข้าต่างหาก”
พวกเขาจริงๆ แล้วก็รู้ดีว่า เื่ที่นายท่านผู้เฒ่ากำหนดไว้แล้วคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ แต่ขอพูดเล่นกันสักหน่อยก็คงไม่เป็ไร
เฝิงเจี่ยนเองก็ค่อยๆ กินเนื้อตากแห้งในมืออย่างช้าๆ โดยไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด
เพียงไม่นานแสงสว่างก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา พระอาทิตย์กลับมาทักทายโลกอีกครั้ง
พวกพี่น้องเสวียนทั้งหลายพากันลูบท้องกลมๆ ของตนเอง จากนั้นก็หันไปมองชามไหที่ว่างเปล่าแล้วจึงเดินหายเข้าไปในพงหญ้าพร้อมเสียงหัวเราะ
เฝิงเจี่ยนหยิบกระบอกน้ำขึ้นมากลั้วปาก ทำลายหลักฐานทั้งหมดไปจนสิ้น...
ในรถม้า เกาเหรินตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนศีรษะ เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ และเมื่อกวาดสายตามองรอบตัว เขาก็ต้องะโโหยงจนศีรษะชนหลังคารถม้า “แย่แล้ว เนื้อของข้า เหล้าของข้า แป้งทอดของข้า ไส้กรอกของข้า!”
นอกรถม้า เฝิงเจี่ยนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รู้สึกสดชื่นเป็ที่สุด
เป็อย่างไรล่ะ ผลของการกินไม่แบ่งคนอื่น ตอนแรกเขาก็แค่เอ่ยห้ามไปประโยคหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายตลอดทางมานี้เ้าเด็กนั่นไม่ยอมแบ่งอะไรให้เขากินเลย ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ทำให้เขารู้สึกสะใจจริงๆ...
…
บนหมู่บ้านเขาหมีทุกคนยังคงยุ่งกันอยู่เช่นเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงเพราะว่าพวกเฝิงเจี่ยนนายบ่าวจากไป เมื่อพบผู้เฒ่าหยางก็มีเอ่ยปากถามอยู่บ้าง แต่เมื่อเขาตอบว่าเ้านายของเขาออกไปจัดการธุระ ก็ไม่มีใครซักไซ้อะไรอีก
มีเพียงเสี่ยวหมี่ที่มักจะมองเรือนฝั่งตะวันออกอันเงียบเหงาอยู่บ่อยครั้ง มองแท่นหมึกและพู่กันที่ข้างหน้าต่างซึ่งยังวางอยู่ที่เดิมด้วยใจที่เ็ป
แต่การทำให้ตัวเองยุ่งเข้าไว้นับว่าเป็ยารักษาความโดดเดี่ยวที่ดีที่สุด เสี่ยวหมี่ซึมเซาอยู่สองวัน แต่ก็ไม่กล้าให้คนอื่นเห็นความผิดปกติของนางมากนัก จึงดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานนางก็กลับมายุ่งเหมือนลูกข่างที่หมุนไปไม่หยุดนิ่งอีกครั้ง
เมื่อเถ้าแก่เฉินมาตัดผักด้วยตัวเองอีกครั้ง เสี่ยวหมี่ก็รู้สึกโชคดียิ่งนัก ครั้งนี้ในที่สุดก็มีผักสดชูช่อไสวให้เขาได้ตัดแล้ว แน่นอนว่าไม่ต้องกลัวจะถูกจับได้ว่านางแอบตัดไปกิน
ยังคงเป็พี่ใหญ่ลู่ที่ทำหน้าที่เป็หัวเรี่ยวหัวแรงในการพาเถ้าแก่เฉินไปตัดผักสด
บางทีอาจเป็เพราะมีเพียงคนซื่อๆ เท่านั้นที่จะทำให้คนเฉลียวฉลาดวางใจได้ เถ้าแก่เฉินจึงชอบพี่ใหญ่ลู่เป็อย่างมาก ทุกครั้งที่มาก็จะสนทนากับเขาอย่างสนิทสนม
เสี่ยวหมี่สังเกตอยู่หลายครั้ง เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่เฉินไม่ได้คิดร้ายอะไร นางก็ไม่ใส่ใจอีก คิดไปว่าเถ้าแก่เฉินคงจะคิดถึงลูกชายจึงได้เอ็นดูพี่ใหญ่ลู่เช่นนั้น
ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ปริมาณน้ำฝนมีไม่มาก ก่อนหน้านี้หิมะที่ละลายแล้วซึมลงไปอุ้มอยู่ในดิน บวกกับฝนชุ่มฉ่ำที่ตกลงมาอยู่ครั้งหนึ่ง มาถึงตอนนี้ก็แทบจะระเหยไปหมดแล้ว
ผู้ชายในหมู่บ้านล้วนขยันขันแข็งอย่างยิ่ง ใน่ไม่กี่วันนี้ที่กำลังรอให้โคลนบนผนังบ้านแห้ง พวกเขาก็ช่วยกันบรรทุกน้ำไปกลับระหว่างทุ่งนากับบ่อน้ำ เพื่อเติมน้ำรดลงไปที่โคนต้นมันฝรั่ง
เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็ทั้งซาบซึ้งและรู้สึกผิด น้ำจิตน้ำใจที่คนในหมู่บ้านเขาหมีมีต่อคนสกุลลู่นั้น ในอนาคตไม่ว่าสกุลลู่จะร่ำรวยแค่ไหน ก็จะต้องไม่ทิ้งคนในหมู่บ้านเขาหมีไว้ข้างหลัง
แต่นั่นก็เป็เื่ในอนาคต ตอนนี้นางต้องจัดการปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้ได้เสียก่อน
การระบายน้ำใน่น้ำท่วมหนักและการทำชลประทานใน่ฤดูแล้งเป็ความรู้พื้นฐานในการทำเกษตรกรรม
ชาติก่อนเสี่ยวหมี่แค่เคยช่วยท่านผู้อำนวยการปลูกผักสวนครัวในที่นาเล็กๆ แค่สองหมู่เท่านั้น แน่นอนว่าไม่ได้คิดอะไรไปไกลขนาดนั้น ยามนี้แกะหายแล้วล้อมคอก [1] ก็ยังไม่นับว่าสายเกินไป
เป็อีกครั้งที่สกุลจงถูกหลิวเสี่ยวเตาเชิญขึ้นมาที่หมู่บ้าน เนื่องจากครอบครัวนี้เชื่อถือได้ ั้แ่ที่ได้รับค่าจ้างและกลับลงเขาไป ไม่ว่าใครมาสืบข่าวเื่หมู่บ้านเขาหมี พวกเขาล้วนปิดปากเงียบไม่แพร่งพราย
คนดีมักได้รับผลตอบแทนที่ดี ในที่สุดข่าวดีก็มาถึง
เสี่ยวหมี่คิดอย่างรอบคอบแล้ว ที่นาที่ค่อนข้างแห้งแล้งสามสิบหมู่ และโครงการที่คิดจะสร้างขึ้นต่อจากนี้ ล้วนต้องใช้น้ำปริมาณมหาศาล ลองคำนวณดูแล้วอย่างน้อยก็ต้องขุดบ่อน้ำเพิ่มขึ้นอีกแปดแห่ง พูดตามจริงแล้วถือเป็งานใหญ่ทีเดียว
เดิมทีหัวหน้าผู้รับเหมาจงเข้าใจผิด คิดว่าที่ถูกเรียกขึ้นมาบนเขาเพราะเสี่ยวหมี่เข้าใจว่าพวกเขาแพร่งพรายเื่หมู่บ้านเขาหมีออกไป ใจเขาจึงเต้นไม่เป็ระส่ำ คิดไปว่าหรือมีลูกหลานคนไหนที่ไม่เชื่อฟังหรือเปล่า
สุดท้ายเสี่ยวหมี่กลับเอ่ยว่า “ท่านจง ปีนี้ดูท่าคงจะแล้งหนัก ข้าตั้งใจจะขุดบ่อสักแปดบ่อบริเวณที่นา ไม่รู้ว่าครอบครัวท่านจะรับงานนี้ได้หรือไม่? ค่าจ้างก็ยึดตามที่เคยให้ไปก่อนหน้านี้ เื่กินนอนบ้านข้าจะรับผิดชอบออกให้ทั้งหมดเช่นเดิม ท่านว่าอย่างไร?”
“แปดบ่อ”
หัวหน้าผู้รับเหมาจงตื่นเต้นจนเกือบจะะโตัวลอยแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่มาขุดบ่อน้ำ สกุลลู่ดีกับพวกเขามาก ไม่เพียงเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี ทั้งยังไม่เคยเื่มากสร้างความลำบากให้พวกเขาเลย ยามนี้มาบอกว่าจะขุดบ่อน้ำเพิ่มอีกแปดบ่อ พอจะให้ครอบครัวของพวกเขายุ่งไปได้สักสองเดือนเลยทีเดียว หากได้รับค่าจ้างงวดนี้มา อย่าว่าแต่เตรียมสินสอดให้ลูกชายคนโตเลย เกรงว่าคงจะพอไปถึงลูกชายคนเล็กของเขาเลยทีเดียว
“ได้ ได้ แม่นางลู่วางใจ พวกเราจะตั้งใจทำงานอย่างดี”
เขาดีใจมากจนทำอะไรไม่ถูก เอาแต่ค้อมกายคารวะไม่หยุด “ขอบคุณแม่นางลู่มากขอรับๆ”
เสี่ยวหมี่เห็นว่าผู้ใหญ่ที่อายุมากขนาดนี้ถึงกับคารวะนาง จึงรีบห้ามเขา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นข้าจะให้พี่ใหญ่พาพวกท่านไปเดินดูบริเวณที่นา ถึงแม้ตัวข้าจะเลือกตำแหน่งไว้แล้ว แต่ก็ควรให้ผู้ที่ชำนาญด้านนี้อย่างพวกท่านไปตรวจดูก่อน เพราะหากขุดแล้วไม่มีน้ำออกมาคงเป็การลงแรงไปเปล่าๆ”
“ได้ๆ”
เชิงอรรถ
[1] แกะหายแล้วล้อมคอก(亡羊补牢)สำนวนเต็มๆ คือ แกะหายแล้วล้อมคอก ยังไม่ถือว่าสายเกินไป เปรียบเปรยว่าหากเกิดความสูญเสียขึ้นแล้วรีบจัดการคิดแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงทีก็ยังไม่นับว่าสายเกินไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้