ไป้เอ๋อร์ถูกทำให้สั่นสะท้านด้วยท่าทางของเขา จึงรีบรับมาด้วยมือทั้งสองข้างด้วยความเคารพ หลังััด้วยมือจึงรับรู้ได้ หยกคู่เพลิงสุวรรณ์ชิ้นนี้ร้อนแรงและโปร่งใสกว่าชิ้นที่อาจารย์เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ กระแสของแสงหลั่งไหลภายใต้การย้อมด้วยแสงแดด ส่งผลให้ทั้งฝ่ามือเหมือนกับถือเปลวเพลิงที่ลุกโชนกลุ่มหนึ่งเอาไว้ เพียงแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งของธรรมดา
บิดามารดาและพี่ชายของไป้เอ๋อร์ก็ถูกหยกชิ้นนี้ทำให้สั่นสะท้านเช่นเดียวกัน ล้วนโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้
“นี่...”
หลี่อวิ๋นหังละฝ่ามือออก ฟื้นคืนความเ็าตามปกติอีกคราแล้วกำชับเสียงดัง “พกติดตัวไว้ อย่าให้ห่างกาย”
ภายใต้แรงกดดันที่แข็งกร้าว ไป้เอ๋อร์ไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ขอรับ!”
เจียงเฉิงเยว่หันมองใบหน้าด้านข้างของหลี่อวิ๋นหังด้วยแววตาฉงน กลับเห็นว่าอีกฝ่ายคล้ายรู้สึกได้ถึงการจับจ้องอยู่จึงหันสายตามามอง เมื่อทั้งสองคนสบตากัน เจียงเฉิงเยว่ใแล้วรีบถอนสายตากลับมา
เมื่อทุกคนแยกจากทั้งสองคนจึงออกเดินทางอีกครั้ง ก่อนอื่นเจียงเฉิงเยว่ร่ายเคล็ดวิชาเพื่อนำสิ่งของที่ต้องแบกเก็บใส่ถุงเฉียนคุนอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงตามฝีเท้าของหลี่อวิ๋นหังได้อย่างคล่องตัว เขาลังเลเล็กน้อย ทว่าข่มความสงสัยไว้ไม่ได้จึงเอ่ยถาม “เอ่อ...เซียนจวิน”
หลี่อวิ๋นหังมองเขา
ด้วยเหตุนี้ เจียงเฉิงเยว่จึงเอ่ยต่อ “บนร่างของไป้เอ๋อร์มีผนึกที่ท่านวางไว้แล้วไม่ใช่หรือ...เหตุใดจึงต้องมอบหยกคู่เพลิงสุวรรณให้เขาอีก?”
หลี่อวิ๋นหังไม่ตอบกลับ
เจียงเฉิงเยว่ลูบจมูกของตน คิดในใจว่าอาจกระตุ้นสิ่งต้องห้ามของอีกฝ่ายอีกครั้ง ทำให้ไม่พอใจหรือไม่? ก่อนหน้านี้้าให้หลี่อวิ๋นหังนำหยกคู่เพลิงสุวรรณครึ่งหนึ่งออกมาด้วยการแสดงละครอย่างยิ่งใหญ่เช่นนั้น ผลลัพธ์กลายเป็กระตุกหนวดเสือโดยไม่ทันระวัง ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย แน่นอนว่าเื่ที่เกี่ยวข้องกับหยกคู่เพลิงสุวรรณและหลี่อวิ๋นเฉินนับเป็หัวข้อที่ละเอียดอ่อนทั้งหมด
ทั้งสองคนต่างคนต่างเดินไปไม่กี่ก้าวอย่างไร้สุ้มเสียง เมื่อเจียงเฉิงเยว่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดแล้ว หลี่อวิ๋นหังกลับเอ่ยเสียงแ่เบาอย่างช่วยไม่ได้ “แค่เด็กในหมู่บ้านเ้ายังเสียใจมากเช่นนี้ ถ้าหาก...” เขาพูดยังไม่จบกลับหยุดพูดไป เจียงเฉิงเยว่ไม่ตอบสนองชั่วขณะหนึ่ง หลังจากที่เขาค่อยๆ เข้าใจความหมายในถ้อยคำกับครึ่งประโยคหลังที่อีกฝ่ายยังไม่ได้พูด เขาอดไม่ได้ที่จะสั่นระรัวในใจนับร้อยนับพันครั้ง เจียงเฉิงเยว่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เพียงจ้องมองถนนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนเอง เดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
หากไป้เอ๋อร์ประสบกับเื่เช่นเดียวกับอาหนิว แม้ว่าบนร่างของเขาจะได้รับการอวยพรจากผนึกเซียนแล้วอย่างไรคงไม่สามารถวางใจได้ และที่ไม่สามารถวางใจได้เป็เพราะ...ไม่้าให้เขาเสียใจอย่างนั้นหรือ?
ถ้อยคำเหล่านี้ช่างคลุมเครือ เจียงเฉิงเยว่ทั้งรู้สึกอบอุ่นและเ็ปใจ พลางกำแขนเสื้อแน่นแล้วกัดริมฝีปาก ทันใดนั้นเขารู้สึกได้ว่าหลังจากผ่านไปร้อยห้าสิบกว่าปี หลี่อวิ๋นหังยังคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับในอดีตให้กับเขา ทั้งให้ความหอมหวานของความคาดหวังที่ไร้ขอบเขต ทั้งนำความโหดร้ายที่ไม่ยอมให้ค้นหา
นี่เป็ความเห็นส่วนตัวของข้าเอง...เขาคิดในใจ ใช้ร่างกายนี้กับตัวตนของหลี่อวิ๋นเฉินอย่างไร้ยางอาย แอบเพ้อฝันเล็กน้อย อีกฝ่ายทำเช่นนี้เพียงเพราะเสด็จพี่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับสิ่งใด
บรรยากาศมีความหนักอึ้ง เจียงเฉิงเยว่้ากำจัดความเงียบที่แปลกประหลาดนี้อย่างเร่งรีบ จึงเปลี่ยนหัวข้ออีกครา “มีผนึกเซียนของเซียนจวินบนร่าง รับรองได้ว่าเขาจะปลอดภัย นอกจากผนึกที่เขาฉู่อวิ๋น เขาเคยได้รับพรจากเซียนจวินแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “แม้ว่าผนึกที่ตี้จวินแห่งปรโลกวางไว้จะได้รับความเสียหาย สถานการณ์ที่วุ่นวายของสามโลกในปัจจุบันนั้นไม่ชัดเจนเป็อย่างมาก ผนึกบนเขาฉู่อวิ๋นกับผนึกอวยพรบนร่างของเขาล้วนขึ้นอยู่กับพลังิญญาของข้า แต่หยกคู่เพลิงสุวรรณกลับไม่เป็เช่นนั้น แม้ว่าวันหนึ่งข้า...”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เขารีบคว้าเสื้อของอีกฝ่ายไว้ หลี่อวิ๋นหังหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง เจียงเฉิงเยว่เงยหน้าขึ้นสบตา จ้องดวงตาทั้งสองข้างนั้นอย่างแน่วแน่พร้อมเอ่ยอย่างจริงจัง “จะไม่มีวันนั้น!”
หลี่อวิ๋นหัง “...”
ครั้งนี้เขาไม่ได้หลบเลี่ยงสายตาอีกต่อไป แต่มองอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดด้วยความมั่นใจและแข็งกร้าวซึ่งไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของเขามานาน จ้องมองแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “ท่านวางใจเถิด จะไม่มีวันนั้น!”
หลี่อวิ๋นหังตวัดสายตามองบนใบหน้าเขา แววตาอ่อนลงฉับพลัน เขาอมยิ้มน้อยๆ แล้วตอบอย่างหนักแน่นเช่นเดียวกัน “ตกลง”
.............................
เมืองปี่อั้น
ผ่านมาสามเดือนตลาดผีจึงเปิดขึ้นอีกครั้ง เจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังเดินเตร็ดเตร่บนถนนในเมืองปี่อั้น โดยสวมหมวกคลุมหน้า แต่งกายด้วยเครื่องแบบสีเทาของลูกศิษย์สำนักป้าเทียน ปะปนอยู่ในหมู่ผู้ฝึกฝนธรรมดาของโลกมนุษย์จึงไม่โดดเด่นสะดุดตา หลี่อวิ๋นหังกวาดสายตามองผู้คนสัญจรสองข้างทางที่พลุกพล่านไปด้วยเหล่าภูตผี นักพรตจากโลกมนุษย์ เผ่าปีศาจและเผ่ามารด้วยความความสนใจ เจียงเฉิงเยว่ลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา
นับั้แ่รู้ว่าหลี่อวิ๋นหังเป็กังวลกับร่างกายนี้ของหลี่อวิ๋นเฉินและไม่ทำอะไรกับาาผีผู้ร่างนี้อย่างตน เขารู้สึกว่าตนยิ่งไม่สามารถยับยั้งตนเองมิให้ ‘กำเริบเสิบสาน’ ต่อหน้าอีกฝ่าย ทุกครั้งที่เหลือบมองคนรูปงามข้างกาย ในใจกลับเพ้อฝัน คนรูปงามไม่ชอบพูด เขาจึงหาเื่มาพูดอย่างยินดี “ตลาดผีเป็สถานที่ชั่วร้าย ลำบากเซียนจวินที่เดินทางมาด้วยแล้วยังต้องซ่อนแสงรัศมีรอบตัว ทั้งยังต้องปลอมตัวอีก”
เมื่อหลี่อวิ๋นหังได้ยินเช่นนี้ ท่าทางสงบเมื่อครู่หายไปทันที เขาเหลือบมองอย่างเฉยเมย ขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่พูดไม่จา
เจียงเฉิงเยว่เคยชินแล้ว เขายังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงเ้าเมืองปี่อั้นนับว่าเป็สายลับของข้า เมื่อปีนั้นหลังจากทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในเมืองยง อำนาจของข้าในปรโลกถูกตี้จวินถอนรากถอนโคน แม้กระทั่งคนสนิททั้งหมดล้วนหายไป มีเพียงบางคนที่ต่อหน้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า แต่ลอบอยู่ในที่มืดให้ข้าใช้งานด้วยเหตุผลบางอย่าง ซวีอวี่นับเป็หนึ่งในนั้น เขาไม่สะดวกที่จะตอบรับการเรียกของข้าโดยตรง ดังนั้นจึงทำได้เพียงต้องมาตลาดผีด้วยตนเอง”
หลี่อวิ๋นหังถอนหายใจเล็กน้อยพลางส่งเสียง “อืม” แ่เบา เจียงเฉิงเยว่ยิ้มอย่างยินดีราวกับคนโง่
อันที่จริงข้อมูลเหล่านี้นับเป็ความลับอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหลี่อวิ๋นหัง เขาไม่้าปิดบังอีกฝ่ายแม้แต่นิด รู้สึกเพียงว่าคงไม่มีปัญหาที่จะบอก ถึงกับ้าจะบอกทุกอย่างที่เหลืออยู่ของตนเองเพื่อเอาอกเอาใจ จากนั้นค่อยเริ่มรู้สึกตัว...ราวกับว่าตนเองกำลังตกอยู่ในวงจร ‘ลุ่มหลงในความงาม’ อีกครั้ง เพียงเป้าหมายของความลุ่มหลงนั้นเมื่อหนึ่งร้อยห้าสิบปีที่แล้วคือคนผู้นี้ และหนึ่งร้อยห้าสิบสิบปีผ่านมาก็ยังเป็คนผู้นี้เช่นเดิม
นี่อาจเป็สิ่งที่เรียกว่าคู่รักคู่แค้นโชคชะตาใช่หรือไม่?
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกัน เจียงเฉิงเยว่เหลือบไปเห็นระเบียงชมกวางสูงตระหง่านในเมืองปี่อั้นอย่างไม่ตั้งใจ หัวใจพลันเต้นรัว ความจริงแล้วเขา้าถามหลี่อวิ๋นหังโดยตรงเกี่ยวกับเื่นี้มานาน แต่เมื่อพิจารณาแล้วกลับไม่กล้า สุดท้ายแล้วเื่นี้จะทำให้หลี่อวิ๋นหังนึกถึงหลี่อวิ๋นเฉินหรือพี่ชายของเขา หลี่อวิ๋นเฉินเป็หนึ่งในเหยื่อของฉิงชางจวิน าาผีผู้ชั่วร้ายอย่างตน นี่เป็การย้ำเตือนถึงบุญคุณความแค้นของหลี่อวิ๋นหังที่มีต่อเขาไม่ใช่หรือไร?
ถึงอย่างนั้น ยามเห็นระเบียงชมกวางตรงหน้า เขากลับรู้สึกอึดอัดในใจมากหากไม่ถาม หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่งจึงเกิดความคิดขึ้นมาฉับพลัน หากไม่สะดวกที่จะถามโดยตรง เพียงถามหยั่งเชิงคงจะได้ใช่หรือไม่? ดังนั้นจึงจงใจแสร้งถามด้วยรอยยิ้มสบายๆ “เซียนจวิน มาตลาดผีครั้งแรกหรือไม่กัน?”
หลี่อวิ๋นหังหันมามองเขาด้วยท่าทีซับซ้อนแต่กลับไม่ได้พูดอะไร เจียงเฉิงเยว่หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกกระสับกระส่ายกับท่าทางนิ่งเฉยของอีกฝ่ายอีกครา ทั้งสองคนเดินไปไม่กี่ก้าวด้วยความอึดอัดใจ เจียงเฉิงเยว่กัดฟัน ยังคงไม่ยอมแพ้แล้วแสร้งยิ้มอีกครั้ง “ข้าแค่ถามไปเรื่อยเท่านั้น สถานที่ิญญาในปรโลก เดิมทีไม่ใช่สถานที่ดีอะไรที่จะมา...”
คนผู้นั้นยังคงไม่ตอบกลับ สีหน้าดูมืดมนมากขึ้น
เจียงเฉิงเยว่ชี้ไปที่ระเบียงชมกวางแล้วกล่าว “ข้าจะเล่าเื่น่าสนใจให้เซียนจวินฟัง ครั้งที่แล้วเมื่อตลาดผีเปิดข้ากับคุณชายอี้มาที่นี่ มีการต่อสู้บริเวณด้านล่างนี้ ต่อสู้กันชุลมุนวุ่นวายจนพวกเราเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย บังคับให้ข้าต้องะโขึ้นไปบนระเบียงชมกวางเพื่อหลบภัย เซียนจวินเดาว่าอย่างไร? คงนึกไม่ถึงว่าทางด้านล่างจะไม่ต่อสู้กัน กลับมีสองคนขึ้นมา้าที่จะทุบตีข้า ฮ่าๆๆๆ ต่อมาข้าจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว ปัจจุบันการขึ้นระเบียงชมกวางในเมืองปี่อั้นเท่ากับ้าต่อสู้ หากคิดดูแล้วคงเป็เพราะข้าจากปรโลกไปนาน จึงไม่รู้ว่ามีกฎมากเช่นนี้ั้แ่เมื่อไร”
ฉิงชางจวินหัวเราะอย่างเบิกบาน ในที่สุดเสวียนเหยาซ่างเซียนจึงหันศีรษะมามองเขาอีกครั้ง หลังจากได้ยินเขาพูดยาวเหยียดจบจึงตอบกลับตามมารยาทหนึ่งคำ “อืม”
หลังฉิงชางจวินได้ยินเช่นนี้มุมปากเขากระตุกไม่หยุด เขามองรูปลักษณ์ที่เฉยเมยไม่แม้แต่จะเลิกคิ้วของหลี่อวิ๋นหังหลังตนพูดจบแล้ว อีกฝ่ายคงไม่ใช่ผู้ฝึกฝนธรรมดาในโลกมนุษย์เมื่อยามนั้นกระมัง หรือว่าทั้งหมดอาจเป็เื่บังเอิญ?
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงสงบสติอารมณ์ เพียงไม่นานหอปราสาทของเมืองปี่อั้นก็อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเขาเกิดความคิดบางอย่าง ซวีอวี่เคยเห็นผู้ฝึกฝนธรรมดาคนนั้นไม่ใช่หรือ? หากเป็หลี่อวิ๋นหังจริง อีกฝ่ายยังไม่ได้ขึ้นเป็เซียน เวลานั้นคงไม่มีทางเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองได้ ณ ตอนนี้ใช้รูปลักษณ์แท้จริงอยู่ หากทั้งสองฝ่ายพบกัน...คงจำกันได้ใช่หรือไม่?
คิดถึงตรงนี้ เขาจึงนำหลี่อวิ๋นหังไปข้างหน้าอย่างเบิกบานใจอีกครั้ง
หากนัดหมายล่วงหน้าเรียบร้อย ซวีอวี่ย่อมรออยู่ก่อน หลังจากผู้คุมิญญานำทั้งสองคนเข้ามาในวิหารด้านใน ซวีอวี่จึงรีบออกมาต้อนรับ “ฉิงชางจวิน...”
เจียงเฉิงเยว่ทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม พลางรีบหลีกทางเพื่อเผยหลี่อวิ๋นหังที่ตามมาด้านหลังแล้วแนะนำให้อีกฝ่ายรู้จัก “ท่านนี้คือเสวียนเหยาซ่างเซียน เซียนจวินที่์ส่งมาเพื่อตรวจสอบคดีโซ่วหลิง หากได้พบกันแล้วก็ไม่จำเป็ต้องหลบเลี่ยง”
ซวีอวี่หันไปทางหลี่อวิ๋นหังอย่างตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นประสานมือทำความเคารพแล้วเอ่ย “ซ่างเซียน”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้าเป็สัญญาณ
เจียงเฉิงเยว่ยืนอยู่ข้างกายทั้งสองคนด้วยดวงตาเบิกกว้าง ไม่ยอมพลาดท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยบนใบหน้าของสองคนนั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพียงทำความเคารพกันอย่างเฉยเมยก็จบลงแล้ว
ซวีอวี่รีบเอนกายให้ทั้งสองคนเดินเข้าไป พร้อมผายมือไปที่โต๊ะน้ำชาซึ่งจัดเตรียมไว้โดยมีไอน้ำอบอวล “เชิญทั้งสองท่านนั่งลง”
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงอ้าปากเล็กน้อยด้วยความสงสัยแล้วนั่งลง หรือว่าจะไม่ใช่กัน? เมื่อคิดเช่นนี้ ความอิจฉาริษยาและความเ็ปในใจก่อนหน้านี้เหมือนว่าจะสงบลง ถึงกับรู้สึกยินดีเล็กน้อยกับความทุกข์ใจของผู้อื่น
ซวีอวี่จัดเสื้อผ้าแล้วค่อยๆ นั่งลง พลางจับแขนเสื้อเพื่อรินน้ำชาให้ทั้งสอง แล้วกล่าวกับเจียงเฉิงเยว่ “สิ่งที่ฉิงชางจวินฝากฝังไว้นั้น สำเร็จลุล่วงด้วยดี”
ยามกล่าวถึงธุระสำคัญ ในที่สุดเจียงเฉิงเยว่จึงหยุดคิดแล้วถามอย่างยินดี “พบเบาะแสแล้วหรือ?”
------------------------
