“นี่คืออะไรกัน!” เจียงเฉิงเยว่หันไปมองแล้วถาม
หลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้ว “เผ่ามาร”
เจียงเฉิงเยว่ “หืม?”
ขณะที่หลี่อวิ๋นหังกวัดแกว่งดาบยังไม่ลืมที่จะอธิบายอย่างอดทน “ค่ายกลมาร์า นอกจากเผ่ามารแล้วไม่มีผู้ใดใช้พลังิญญาในนี้ได้ เ้าลืมไปแล้วหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ “เอ่อ...”
ในระหว่างการต่อสู้ที่วุ่นวาย ไหล่ของเขาชนเข้ากับหลี่อวิ๋นหัง ทั้งสองคนยืนหลังติดกันทันทีอย่างมีไหวพริบ ทว่าเจียงเฉิงเยว่มองไม่เห็นอะไรเลย เพียงกวัดแกว่งดาบตรงหน้าอย่างมั่วซั่วเป็กำแพงกั้น โดยมีหลี่อวิ๋นหังอยู่ข้างหลังเขาโดยที่ไม่กังวลอย่างสิ้นเชิง
“สร้างค่ายกล!” ชาวคงหลงซานซึ่งอยู่ห่างไกลจากทั้งสองเล็กน้อยตอบสนองหลังจากาเ็ล้มตายกันไปจำนวนมาก รีบเคียงบ่าเคียงไหล่กันสร้างค่ายกลดาบเป็รูปวงกลม ดาบิญญาเป็หนึ่งเดียวกัน แม้ว่าจะมองเห็นหรือไม่ก็ยังกวัดแกว่งกันไปมา
“เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ยังใช้งานได้อยู่...” เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ทำไมถึงได้ะเิฉับพลัน? หรือว่าอีกฝ่ายจงใจรอให้พวกเราเข้ามาก่อนจะเปิดใช้งานค่ายกล”
หลี่อวิ๋นหัง “เช่นนั้นต้องถามพวกเขาแล้ว ด้านหน้าซ้าย!”
เจียงเฉิงเยว่แกว่งดาบไปตามเสียง โม่หลงเคลื่อนไหวเล็กน้อยอย่างที่คาดไว้ คิดว่าคงแทงเข้ากับอะไรบางอย่าง เจียงเฉิงเยว่พูดด้วยความใ “ไม่ได้บอกว่า...เขาเจียวซางกุยเป็ที่หลบภัยของเผ่าปีศาจตัวน้อยที่เหลืออยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีเผ่ามารเข้ามาด้วย?”
หลี่อวิ๋นหังจะมีเวลาวิเคราะห์และคาดเดาไปกับเขาได้อย่างไร ไป๋หลวนในมือเต้นระบำอย่างเนืองแน่นเพื่อปกป้องทั้งสองคนรอบทิศทาง
เมื่อเห็นว่าตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อื่น เจียงเฉิงเยว่จึงใช้วิธียั่วยุด้วยการะโด่าเสียงดัง “เฮ้ มัวแต่ซ่อนตัวเพื่ออะไร? หากมีความสามารถก็จงแสดงตัวมาต่อสู้กันอย่างตรงไปตรงมาเสีย! วิธีลอบโจมตีเป็การเล่นสกปรกไม่ใช่หรือ ทำไม? พวกเราถูกผนึกพลังิญญาไว้ยังไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะได้อีกหรือ? คิดว่าพวกเ้าคงไม่ใช่สินค้าระดับสูงอะไรกระมัง! ได้ยินมาว่าเผ่ามารชั้นต่ำล้วนอัปลักษณ์อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ข้าคิดว่าพวกเ้าคงกลัวที่จะเผยใบหน้าอัปลักษณ์นี้สินะ?”
หลี่อวิ๋นหังที่อยู่ข้างกายเขาดึงไหล่เสื้อของเขาอย่างช่วยไม่ได้แล้วเอ่ยเสียงเบา “จับข้าไว้แน่นๆ!”
เจียงเฉิงเยว่กอดเอวโดยไม่ลังเล หลี่อวิ๋นหังพาเขาแตะพื้นเบาๆ ดีดขึ้นสองสามครั้งเพื่อปีนขึ้นไปบนกิ่งต้นไม้เหี่ยวเฉาที่เอียงอยู่ด้านข้าง พวกเขายืนสูงขึ้นเล็กน้อย มองชาวคงหลงซานกับค่ายกลที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
หลี่อวิ๋นหังเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้วรีบเตือน “ตะวันตกเฉียงใต้ สองคนที่ทิศใต้โจมตี!”
นักพรตที่ยืนอยู่ในสองช่องนั้นได้ยินจึงรีบชักดาบออกมา หมอกควันสีดำพวยพุ่งอย่างที่คาด สัตว์ประหลาดที่มาโจมตีถูกฟันภายใต้ดาบิญญา ทุกคนค้นพบวิธีต่อสู้จากสถานการณ์ที่สิ้นหวังด้วยการข่มเหงของผู้อื่น ทันใดนั้นจึงยินดีอย่างยิ่งราวกับรอดชีวิตจากการเฉียดตาย
หลี่อวิ๋นหัง “ตะวันตก ใต้” ก่อนที่เขาจะพูดจบ นักพรตสองช่องนั้นชักดาบออกมาทันที ฟาดฟันสัตว์ประหลาดด้วยดาบอีกครั้ง
หลี่อวิ๋นหัง “ตะวันตกเฉียงเหนือ เหนือ ตะวันออก”
นักพรตที่ถูกขานชักดาบตามคำสั่ง แม้จะมีบางคนที่ชักดาบช้าเกินไปกระทั่งถูกโจมตีจนล้มลง สหายร่วมสำนักต่างเข้าไปเสริมในทันที สุดท้ายแล้วไม่เสียทีที่เป็สำนักมีชื่อเสียง ช่างฝึกฝนมาเป็อย่างดีจริงเชียว เจียงเฉิงเยว่ยิ่งรู้สึกว่าเป็เื่ถูกต้องที่พาพวกเขามาด้วย ณ ตอนนี้
ขณะที่หลี่อวิ๋นหังแบ่งสมาธิไปทางด้านนั้น เขาไม่ลืมที่จะปกป้องเจียงเฉิงเยว่เช่นเดียวกัน ยามเจียงเฉิงเยว่กำลังมองอย่างตกตะลึง ด้วยเสียง ‘ฟิ้ว’ แสงสีเงินของไป๋หลวนสว่างวาบผ่านใบหน้านั้นโดยพลัน เกือบจะตัดเส้นผมยาวที่ขมับทั้งหมดลงมา อีกฝ่ายตะลึงงันเมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องแ่เบาที่ข้างหู หมอกควันดำเกลือกกลิ้งแล้วสลายไป ไอมารไหลทะลักใส่แก้มโดยตรง ขนอ่อนล้วนลุกชันขึ้นมา
ฉิงชางจวินชื่นชมจากใจ กำลังจะกล่าวชมสักสองประโยค เขากลับนึกถึงบางสิ่งได้ รอยยิ้มบนใบหน้าจางหาย ทันใดนั้นเบิกตากว้างมองหลี่อวิ๋นหังอย่างเหลือเชื่อ “ซ่างเซียน...ท่าน! ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้บอกหรือว่าพลังิญญา...ใช้ไม่ได้”
เช่นนั้นทำไมเขายังมองเห็นได้เล่า?!
เจียงเฉิงเยว่สูดลมหายใจเย็น ก่อนนึกถึงความเป็ไปได้อย่างหนึ่งขึ้นอีกครั้ง เขาตะลึงจนแทบลืมหายใจแทบจะตกลงมาจากกิ่งไม้
“ท่าน! ท่าน...ท่านมองเห็นมันได้?!” เจียงเฉิงเยว่ดวงตาเบิกกว้าง รูม่านตาหดลง รีบคว้าแขนเสื้อของหลี่อวิ๋นหังแน่น พูดติดๆ ขัดๆ ร่างสั่นสะท้าน “ท่าน...สามารถ...มาตลอด...”
ใน่หัวเลี้ยวหัวต่อกับความเป็ความตายนี้ หลี่อวิ๋นหังย่อมไม่มีเวลาตอบกลับ เขายังคงสั่งการกับชาวคงหลงซาน “ตะวันออกเฉียงใต้!”
นักพรตคงหลงซานสองสามคนที่ปกป้องช่องทางทิศตะวันออกเฉียงใต้รีบตอบรับ “ขอรับ!”
เจียงเฉิงเยว่นึกขึ้นได้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่อนุญาตให้เขาคิดมากเกินไป เวลานี้จึงกำโม่หลงแน่น รอคำสั่งจากหลี่อวิ๋นหัง
ทว่าหลี่อวิ๋นหังหยุดกะทันหัน ไม่ส่งเสียงเป็เวลานาน ทุกคนต่างรีบร้อนอย่างอดไม่ไหว พลางสบตากันด้วยความหวาดผวา เจียงเฉิงเยว่เห็นใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังมืดมน คิ้วขมวดแน่น จากนั้นโยนไป๋หลวนในมือพุ่งไปบนอากาศทางด้านคงหลงซานอย่างโเี้
“เซียนจวิน!” เจียงเฉิงเยว่กรีดร้องอย่างร้อนใจ ต้องรู้ก่อนว่ายามนี้พวกเขาไม่มีพลังิญญาติดตัว ไม่สามารถเรียกอาวุธวิเศษอย่างดาบเซียนกลับมาได้ เมื่ออาวุธห่างจากมือเท่ากับเฝ้ารอความตายโดยไร้อาวุธ! พลังิญญาถูกผนึกในค่ายกลมาร์ ไม่อาจสร้างเขตอาคมคุ้มกายาได้ ปราศจากอาวุธในมือไม่เท่ากับเป็เนื้อปลาบนเขียง[1] หรอกหรือ?
ทว่าหลังจากที่ไป๋หลวนของหลี่อวิ๋นหังถูกโยนออกไป ทันใดนั้นมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนอากาศอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นถูกจับด้วยดาบเซียนโดยไม่ทันได้ป้องกัน ล้มลงกับพื้นในทันทีพร้อมกับเสียงอุทาน บังเอิญตรงหน้าค่ายกลดาบของนักพรตคงหลงซานอยู่ไม่ไกล เสียงอุทานนั้นไพเราะเสนาะหู แท้จริงแล้วเป็เสียงของสตรีผู้หนึ่ง
เหล่านักพรตคงหลงซานไม่ได้โง่เขลา มีสองคนรีบพุ่งไปยกนางมารซึ่งาเ็ล้มลงกับพื้นทันที ต่างลากเข้าไปในค่ายกลดาบแล้วกดไว้บนพื้นอย่างแข็งกร้าว
“ไปกันเถอะ” หลี่อวิ๋นหังพูดเสียงเบา จากนั้นจับแขนของเจียงเฉิงเยว่พาะโลงจากกิ่งไม้เดินไปทางด้านนั้น
หลังจากที่สตรีผู้นั้นถูกจับกุม สัตว์ประหลาดล่องหนที่โจมตีพวกเขาก่อนหน้านี้ราวกับหยุดเคลื่อนไหว ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก ดังคำกล่าวที่ว่าจับโจรต้องจับหัวโจกก่อน คิดว่านางมารผู้นี้คือหัวโจกของพวกมัน
ทั้งสองคนเดินไปสองก้าว ชาวคงหลงซานจับใบหน้าของนางมารให้เงยขึ้น ้าจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางอย่างชัดเจน ทันทีที่ใบหน้านั้นเปิดเผย ทุกคนอุทานเสียงแ่เบา โดยคิดไม่ถึงว่าจะยังเป็เด็กสาวผู้หนึ่งที่งดงามเลิศล้ำ
เจียงเฉิงเยว่หยุดฝีเท้าโดยเร็ว ราวกับมีน้ำหนักพันจิน ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีก
นักพรตคงหลงซ่านกล่าว “ดูเหมือนว่านี่จะเป็หัวโจกของสัตว์ประหลาดเ่าั้?”
“สังหารนาง!”
“ใช่ๆๆ ! เพื่อล้างแค้นให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ตายไป!” ขณะที่พูดมีคน้าเอาดาบิญญาพาดบนลำคอของนางมารผู้นั้น
“รอเดี๋ยว!” ฉิงชางจวินคำรามหลังจากได้ยิน บังเอิญสวี่ฮ่วนเจ๋อซึ่งอยู่ในค่ายกลดาบคงหลงซานในเวลานี้ก็ะโอย่างเ็าเช่นเดียวกัน “อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม!”
เหล่านักพรตจึงค่อยๆ สงบลง
“ฟู่” เจียงเฉิงเยว่หายใจยาวพลางลูบหน้าอก
หลี่อวิ๋นหังมองเขาด้วยสีหน้าย่ำแย่ อาจเป็เพราะสายตาคู่นั้นเย็นเยียบเกินไป แสร้งทำเป็ไม่เห็นก็ไม่ได้ เจียงเฉิงเยว่จึงทำได้เพียงมองกลับแล้วยิ้มเหยเกเล็กน้อย หลี่อวิ๋นหังรีบเบนสายตา เพียงก้มศีรษะลงหยิบไป๋หลวนที่ตกอยู่บนพื้นอย่างเฉยเมย
นางมารกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “อยากจะฆ่าก็ฆ่า มัวพูดไร้สาระอยู่ทำไม!”
เหล่านักพรตกล่าว “คิดว่าพวกเราไม่กล้าจริงๆ หรือ?
นางมารส่งเสียง “เพ้ย” แล้วเอ่ย “นึกไม่ถึงว่ามีดวงตาแห่ง์อยู่ พวกเราประเมินศัตรูต่ำไป”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเมื่อได้ยิน เขา้าหันศีรษะไปมองหลี่อวิ๋นหังกลับไม่กล้า ลมหายใจพลันหนักอึ้ง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้ ระหว่างที่ทุกคนลังเลกลับมีใครบางคนมองมาทางด้านนี้แล้วถามเสียงดัง “ฉิงชางจวิน นี่...นี่ควรจะจัด...” คำว่า ‘การ’ ของคำว่า ‘จัดการ’ ยังไม่ทันได้กล่าวออกมา นางมารที่ถูกทุกคนควบคุมเอาไว้ะเิฉับพลัน เริ่มกรีดร้องเสียงดัง “ใคร? เมื่อครู่เ้า...เรียกหาใคร?!”
นักพรตที่ถูกนางขัดจังหวะสั่นสะท้าน
นางมารกรีดร้อง “ฉิงชางจวิน?!”
ทุกคนงุนงงเล็กน้อยแล้วมองนาง
สตรีผู้นั้นดิ้นรนอยู่ในมือของนักพรต หันหน้าไปมองทิศทางของเจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังแล้วะโ “เขาอยู่ที่นี่หรือ? เขาอยู่ที่ไหนกัน?!”
เหล่านักพรตยิ่งตกตะลึง คิดว่าสตรีผู้นี้กับฉิงชางจวินอาจรู้จักกัน
เจียงเฉิงเยว่ลูบหน้าผาก เป็คนรู้จักเก่าแก่จริงเชียว
บังเอิญว่าคนผู้นี้เป็ดาวหายนะ คุณหนูใหญ่เย่หลานจากเผ่ามารโหลวจัวผู้นั้นที่ตามตอแยเขาในปรโลกเป็เวลานานและทำให้เขาหวาดกลัวสุดขีด! เพียงไม่รู้ว่าทำไมถึงจากปรโลกมายังโลกมนุษย์ได้ บางทีอาจเป็เพราะเส้นทางของศัตรูแคบ[2] กระมัง?
เย่หลานมองมาทางด้านนี้แล้วะโอย่างกลั้นความโกรธไว้ไม่อยู่ “เป็ท่านจริงหรือ ข้ารู้แล้ว! ข้ารู้อยู่แล้วเชียว! พวกเขาต่างบอกว่าท่านถูก์แยกิญญาไปนานแล้ว! ข้ารู้ว่าไม่มีทางง่ายดายเช่นนั้น ฉิงชางจวิน! ท่านเกลียดข้ามากเช่นนี้เชียวหรือ?” ประโยคสุดท้ายนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
ทุกคนนิ่งค้าง ตะลึงงัน
ใบหน้าของเย่หลานบิดเบี้ยว ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยน้ำตา ค่อนข้างน่าสงสารอยู่เล็กน้อย นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “แม้ว่าตอนนั้น...ข้าจะไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่ประมาณตน ไม่ละอายใจที่ไปตามตอแยท่าน...แต่ท่าน! นึกไม่ถึงว่าท่านเกลียดข้าจนถึงเพียงนี้ ข้าผิดที่ไปบังคับท่าน แต่ข้าก็เคยชอบท่านจนโงหัวไม่ขึ้นเช่นนั้น...หรือว่าการที่ข้าเคยชอบท่านทำให้ท่านอับอายเช่นนี้เชียวหรือ? ยามนี้ข้าตกต่ำมาถึงจุดนี้แล้ว ท่านยังไม่ยอมปล่อยไปและยังจะสังหารให้สิ้นซาก ฉิงชางจวิน ท่านยังมีมโนธรรมอยู่หรือไม่กัน?!” คุณหนูใหญ่ยิ่งเอ่ยกลับยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ สุดท้ายเอ่ยไปร้องไห้ไป ในที่แห่งนี้นอกจากเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของนางแล้ว ความเงียบงันนี้ช่างแปลกประหลาดนัก
หลังจากนั้นเป็เวลานาน มีใครบางคนกระซิบพูดคุยกัน “ฉิงชางจวิน ยังมีหนี้สินเื่รักๆ ใคร่ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ชิ”
เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ตนเอง เจียงเฉิงเยว่รู้สึกถึงหนามที่ด้านหลังโดยพลัน เขาลอบมองหลี่อวิ๋นหัง แต่เห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายไม่อาจแยกแยะอารมณ์ได้ สายตายังคงมองตรงไปเบื้องหน้าโดยไม่แม้แต่จะมองเขา
ฉิงชางจวินใจเต้นแรงโครมคราม เส้นเืดำที่หน้าผากเต้นตุบๆ
เย่หลานหลั่งน้ำตา ทุกคนตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ อดไม่ได้ที่จะนิ่งค้าง นักพรตทั้งสองคนที่จับนางไว้ไม่มีสมาธิ เย่หลานดิ้นรนออกมาด้วยความไม่ยินยอมมากขึ้น นักพรตสองคนอุทานเสียงดังกำลังจะพุ่งเข้าไปคว้านางแต่ไม่ทัน ต่างรีบถอยหลังไปยังค่ายกลดาบสองสามก้าวอีกครั้งราวกับถูกอะไรทิ่มแทง โชคดีที่เย่หลานไม่้าใช้โอกาสนี้เพื่อพลิกสถานการณ์ นางพุ่งมาทางเจียงเฉิงเยว่ด้วยความเกลียดชัง จากนั้นจ้องมองหลี่อวิ๋นหังตรงหน้าด้วยน้ำตานองหน้า กำอกเสื้อของเขาแล้วแผดเสียงอย่างเกลียดชัง “ข้าได้ยินเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของท่านในเมืองยง ยังรู้สึกเสียใจกับท่านมาหลายปีโดยเปล่าประโยชน์! ท่านมันไอ้คนสารเลวไร้มโนธรรม!”
หลี่อวิ๋นหัง “...”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
ชาวคงหลงซาน “...”
เจียงเฉิงเยว่นึกขึ้นได้โดยพลัน เขาในตอนนี้ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริง แต่เป็รูปลักษณ์ของหลี่อวิ๋นเฉิน เสียงของนักพรตคงหลงซานมุ่งมาทางด้านนี้จริง ทว่าทางด้านนี้เขากับหลี่อวิ๋นหังกลับยืนอยู่ด้วยกัน ส่งผลให้คุณหนูเย่หลานเข้าใจผิดและเลือกคนผิด ฉิงชางจวินนึกถึงนาม ‘สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก’ นี้ของตนเอง ซึ่งยังคงมีความหมายว่า ‘รูปลักษณ์เลิศล้ำ’ ในปรโลก ดังนั้น คุณหนูใหญ่จึงไม่ลังเลที่จะวิ่งไปยังคนที่หล่อเหลาที่สุดในที่แห่งนี้ เจียงเฉิงเยว่ปิดหน้า ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
------------------------
[1] เนื้อปลาบนเขียง เป็การอุปมา หมายถึง ตกอยู่ในกำมือของผู้อื่น
[2] เส้นทางของศัตรูแคบ เป็สำนวน หมายถึง ศัตรูซึ่งไม่ปรารถนาที่จะพบแต่กลับได้พบอย่างง่ายดาย
