ในตอนเย็นอวิ๋นจื่อก็ได้พบชิงซีอีกครั้ง
ชิงซียิ้มและถามว่า “อาจื่อ เ้าคุ้นเคยกับที่นี่หรือยัง?”
อวิ๋นจื่อสบตาอีกฝ่ายก่อนจะตอบว่า “ข้ายังพอปรับตัวได้ ข้าแค่ไม่ชินที่แต่ละวันได้เจอเ้าเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น”
ชิงซีหัวเราะอย่างมีความสุข “ตอนนี้เราก็ได้พบกันแล้วไม่ใช่หรือ?”
อวิ๋นจื่อกลั้นหายใจ นางรอฟังว่าชิงซีจะพูดอะไรต่อ
ชิงซีรินชาให้นางและกล่าวว่า “นั่งลงก่อน แล้วตั้งใจฟังข้าให้ดี”
อวิ๋นจื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งลง ดวงตาของนางทอแววสงสัยเล็กน้อย
ชิงซีกล่าวว่า “เมื่อก่อนซูฮองเฮาส่งข่าวหาท่านตาของเ้าไม่เคยขาด ข้าจึงส่งข่าวไปว่าเ้าและน้องชายปลอดภัยดี ท่านตาของเ้าทราบข่าวแล้วมีความสุขมาก ท่านจึงจะส่งลูกพี่ลูกน้องของเ้ามาที่จวนตระกวนมู่ เ้าจะได้พบลูกพี่ลูกน้องของเ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอวิ๋นจื่อก็ถามว่า “ท่านตาได้พูดอะไรอีกหรือไม่?”
ชิงซียิ้ม “ท่านตาของเ้าก็เหมือนกับซูฮองเฮา ทั้งคู่เป็คนใจกว้าง พวกเขาเพียงขอให้ข้าดูแลเ้าอย่างดีเท่านั้น เ้ามีคำพูดใดที่อยากฝากให้ข้าบอกท่านตาของเ้าหรือไม่?”
อวิ๋นจื่ออยากตอบว่ามี แต่นางกลับส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตราบใดที่ข้ารู้ว่าท่านตาของข้ามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ข้าก็สบายใจแล้ว”
นางไม่ได้เจอท่านตามาเป็สิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าท่านตาจะยังสบายดีอยู่หรือไม่ นางอยากถามเื่นี้ออกไป แต่แล้วนางก็คิดว่านางยังไม่คุ้นเคยกับตระกูลมู่ดี ดังนั้นนางจึงไม่ควรเรียกร้องมากเกินไป
จู่ๆ นางก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าสถานการณ์ภายในเมืองอวิ๋นเมิ่งเป็อย่างไร
ชิงซีเปลี่ยนเื่ทันที “ข้ามีข่าวดี เ้าอยากฟังหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ชิงซีโปรดบอกข้าด้วย”
ชิงซีดูมีความสุขมาก นางหยิบขนมบนโต๊ะขึ้นมาทาน จากนั้นกล่าวเบาๆ ว่า “โจวยี่ตายแล้ว”
ใบหน้าของอวิ๋นจื่อยังคงสงบนิ่งในขณะที่เอ่ยถามอย่างแ่เบาว่า “นางตายได้อย่างไร?”
ชิงซีหยิบขนมขึ้นมาอีกชิ้น “วันนี้มีขนมกุ้ยฮวา[1]นึ่งสดๆ กลิ่นหอมหวาน เ้าลองชิมดูสิ”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า แต่ไม่ได้หยิบขนมขึ้นมา นางเพียงรอฟังคำพูดของชิงซี
ก่อนที่ชิงซีจะได้กล่าวอะไร ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็พ่อบ้านก็เดินเข้ามากระซิบบางอย่างที่ข้างหู นั่นทำให้ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อวิ๋นจื่อเดาว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับกิจการภายในของตระกูลมู่ ดังนั้นนางจึงขอตัวอย่างสุภาพและเดินออกไปทันที
ชิงซีไม่ได้ห้าม นางปล่อยให้อวิ๋นจื่อกลับไปพักผ่อน
อวิ๋นจื่อไม่อาจทำใจให้สงบได้ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้นางไม่สบายใจมาก อวิ๋นจื่อจึงสั่งให้สาวใช้นำพู่กันและกระดาษมา
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจื่อ้าคัดอักษร สาวใช้จึงนำสมุดลอกแบบสองสามเล่มมาให้
อวิ๋นจื่อมองไปยังสมุดคัดอักษรที่อยู่ตรงหน้า พวกมันล้วนทำมาจากวัสดุชั้นเลิศ ทันใดนั้นนางก็จำได้ว่าบิดาของนางมักเคี่ยวเข็ญให้นางคัดอักษรแบบโอวถี่[2] ตอนแรกนางไม่ชอบเพราะการคัดอักษรแบบนี้ต้องใช้สมาธิและความตั้งใจมาก แต่เมื่อมีโอกาสได้ลงมือทำอีกครั้งนางกลับรู้สึกว่านี่เป็วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้จิตใจสงบ
แน่นอนว่าสภาพจิตใจของผู้คนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
อวิ๋นจื่อใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายคัดอักษร และกว่าที่นางจะรู้ตัวดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าแล้ว
หลังจากนั้นสาวรับใช้คนเดิมก็เดินเข้ามาในห้องและบอกกับนางว่าประมุขตระกูลเรียกหานาง
อวิ๋นจื่อวางพู่กันลงและเตรียมจะออกไป แต่เมื่อเห็นสาวใช้ตัวน้อยหยิบเสื้อคลุมนกกระเรียนออกมา อวิ๋นจื่อก็รู้ทันทีว่าหิมะตกแล้ว เมืองหยงโจวไม่เหมือนกับเมืองอวิ๋นเมิ่ง ในเวลานี้เมืองอวิ๋นเมิ่งยังคงอยู่ใน่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ยังเหลือเวลาอีกกว่าหนึ่งเดือนกว่าหิมะจะตก เมื่อนึกถึงเื่นี้อวิ๋นจื่อรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ความคิดที่จะกลับไปยังเมืองอวิ๋นเมิ่งกลายเป็สิ่งที่ต้องเก็บซ่อนไว้ในก้นบึ้งหัวใจ เื่นี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกอับจนหนทางและเศร้าหมอง
หลังจากที่สาวใช้สวมเสื้อคลุมนกกระเรียนให้แล้ว อวิ๋นจื่อก็มาที่ห้องโถงใหญ่อีกครั้ง
เตาผิงกำลังลุกไหม้ในห้องโถงใหญ่ราวกับัไฟ ทำให้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอบอุ่น
ชิงซียังคงสวมชุดสีเขียว และแม้แต่ลวดลายบนแขนเสื้อก็ยังเหมือนกับเมื่อสองสามวันก่อน เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจื่อมาแล้ว ชิงซีก็รินชาใส่ถ้วยและยื่นให้นางด้วยรอยยิ้ม
อวิ๋นจื่อรับถ้วยชาอย่างว่าง่ายและรอฟังคำพูดของชิงซี
เมื่อชิงซีกล่าววาจา อวิ๋นจื่อจะตั้งใจฟังทุกรายละเอียด เพราะเสียงของชิงซีไพเราะมาก อีกทั้งเวลาพูดน้ำเสียงยังเนิบช้าเหมือนมุกกลมๆ กลิ้งอยู่บนจานหยก ฟังดูสอดประสานเป็จังหวะ ทำให้ผู้ฟังเกิดความผ่อนคลาย
อวิ๋นจื่อจดจ่ออยู่กับการฟังเสียงของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่ได้สนใจสิ่งที่นางพูด จนกระทั่งชิงซีถามว่า “อาจื่ออยากไปหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อจึงอุทานด้วยความใว่า “เมื่อสักครู่ข้าเหม่อลอยไปหน่อย เ้าพูดว่าอย่างไร?"
ชิงซีกล่าวว่า “ข้างนอกหิมะตก เ้าอยากไปเดินเล่นหรือไม่?”
น้ำเสียงของชิงซีฟังดูคล้ายเด็กที่้าขนม อวิ๋นจื่อมองไปยังดวงตาที่ใสกระจ่างราวกับน้ำของอีกฝ่าย ในที่สุดกำแพงน้ำแข็งแห่งความระแวดระวังของนางก็พังทลายลง นางคิดว่าบางทีตนเองอาจระแวงมากเกินไป
นางโยนความกังวลในใจทิ้งไปและกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “เราจะไปเดินเล่นที่ไหนหรือ? หิมะตกเช่นนี้อากาศคงจะหนาวมาก”
ชิงซียิ้มและกล่าวว่า “เ้ารู้จักูเาจิ่วอี๋หรือไม่?”
แน่นอนว่าอวิ๋นจื่อย่อมรู้จัก นั่นคือสถานที่ที่ตระกูลอวิ๋นใช้ในการสร้างความมั่งคั่ง ูเาจิ่วอี๋ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหยงโจว ตามตำนานมันเป็สถานที่ที่จักรพรรดิซุนจากยุคโบราณสิ้นพระชนม์ ด้วยภูมิประเทศที่แปลกประหลาดและยอดเขาที่มีถึงเก้ายอด ทำให้ง่ายต่อการป้องกันแต่ยากต่อการถูกโจมตี ที่นี่เป็ชัยภูมิในฝันของนักยุทธศาสตร์การทหารทุกคน
นางต้องไปทีู่เาจิ่วอี๋หรือ?
ูเาจิ่วอี๋มีความลับอะไร?
ชิงซีกล่าวต่อว่า “ูเาจิ่วอี๋เรียกอีกอย่างว่าูเาชางอู๋เพราะมีเหวชางอู๋ การที่มันมียอดเขาอยู่ถึงเก้ายอดทำให้มันถูกเรียกว่าจิ่วเฟิง แต่คนทั่วไปเรียกว่าจิ่วอี๋ อาจื่อเ้ารู้ที่มาของชางอู๋หลิงหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อส่ายหน้า
ชิงซีกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นลืมคำพูดข้าเสียเถอะ ไปทีู่เาจิ่วอี๋กับข้า!”
อวิ๋นจื่อรู้สึกว่าชิงซีมีลักษณะนิสัยเหมือนเด็กนิดหน่อย บางทีนี่อาจเป็ด้านที่อ่อนโยนของนางก็ได้
ชางอู๋หลิงเป็หน่วยองครักษ์ลับที่เสด็จพ่อทิ้งไว้ นี่คือเื่ที่ทุกคนรู้ดี
เป็ไปได้ไหมว่าชางอู๋หลิงมีต้นกำเนิดอื่นอีก?
อวิ๋นจื่อไม่กล้าคิดเื่นี้
อนาคตเป็สิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ และอดีตก็โหดร้ายเหลือคณา นางไม่รู้ว่าจะก้าวไปทางไหนดี
ตรงหน้าต่างของห้องโถงใหญ่ ผ้าม่านสีเขียวถูกม้วนไว้ครึ่งหนึ่ง ทำให้มองเห็นเกล็ดหิมะที่ปลิวลงมาได้อย่างชัดเจน
เกล็ดหิมะนั้นงดงามและเยือกเย็น ภาพที่เห็นทำให้หญิงสาวทั้งสองหวนคิดถึงเื่ราวที่ผ่านมา
ชิงซีตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ เมื่อนางตั้งสติได้ นางก็พบกับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของอวิ๋นจื่อ นางจึงคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “ที่เมืองอวิ๋นเมิ่งยังเป็่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ทำให้อากาศของเมืองหยงโจวไม่ดีเท่ากับในวังหลวง อาจื่อถ้าหิมะหยุดตกแล้ว เ้าสามารถตามข้าไปทีู่เาจิ่วอี๋ได้”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า นางครุ่นคิดว่าควรบอกชางอู๋หลิงหรือไม่ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด?
นางรู้สึกลังเล เป็ไปได้หรือไม่ว่าชางอู๋หลิงได้ตกอยู่ในมือของผู้อื่นแล้ว?
นางยังเด็กเกินไป นั่นเป็เหตุผลที่ทำให้นางไม่สามารถควบคุมทหารเหล่านี้ได้
นางเลี้ยงดูชางอู๋หลิงมาหลายปี สุดท้ายกลับกลายเป็การตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น[3]
น่าเสียดายที่โจวยี่ตายไปโดยที่ไม่ต้องทุกข์ทรมานอะไรเลย
ไม่รู้ว่าตอนนี้ตระกูลโจวก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอันสูงส่งแล้วหรือยัง?
เมืองอวิ๋นเมิ่งจะกลายเป็เพียงตำนานเหมือนเหวชางอู๋หรือไม่?
อวิ๋นจื่อออกจากห้องโถงใหญ่และกลับไปที่เรือนหลังเล็กของตัวเองเพื่อพักผ่อน เสื้อคลุมนกกระเรียนที่สาวใช้นำมาสวมให้มอบความอบอุ่นได้ดียิ่ง
นางแบมือออกและปล่อยให้เกล็ดหิมะตกลงบนฝ่ามือ ความรู้สึกเย็นเยียบถูกส่งจากฝ่ามือสู่ก้นบึ้งของหัวใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ สาวใช้ตัวน้อยก็รู้สึกว่าเ้านายของนางอารมณ์ไม่ดี นางจึงสงบปากสงบคำและไม่ถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม
หิมะตกลงมาอย่างหนัก หลังจากนั้นไม่นาน น้ำจากหิมะที่ละลายในฝ่ามือของนางก็ไหลผ่านข้อมือมาที่แขน
ความเย็นะเืแผ่ซ่านเข้าไปในหัวใจอันร้อนระอุของอวิ๋นจื่อ
มีความเยือกเย็นเช่นนี้อยู่ในโลกด้วย
ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
ทันทีที่นางลดมือลง สาวใช้ที่เฉลียวฉลาดก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดฝ่ามือให้นาง
ทันใดนั้นดวงตาของอวิ๋นจื่อก็เปลี่ยนเป็สีแดงเล็กน้อย
------------------------
[1] ขนมกุ้ยฮวา เป็เค้กแบบจีนโบราณที่มีทั้งแบบที่ทำจากแป้งข้าวจ้าว จะให้ความรู้สึกนุ่มๆ ฟูๆ เหมือนเค้กแบบทั่วไป หรือถ้าใช้แป้งข้าวเหนียว จะให้ััหนึบหนับ ผสมด้วยน้ำผึ้งดอกกุ้ยหรือน้ำตาลดอกกุ้ย มีลักษณะเป็ก้อนสี่เหลี่ยม คล้ายขนมถั่วกวนบ้านเรา โรยหน้าด้วยดอกกุ้ยฮวาหรือที่คนไทยเรียกว่าดอกหอมหมื่นลี้
[2] โอ่วถี คือ การคัดอักษรสไตล์ยุโรป ด้านทั้งสี่เท่ากันแปดด้านเป็เส้นตรง จำเป็ต้องมีวิธีการเขียนที่เร็วขึ้น วิธีคัดอักษรแบบนี้โดดเด่นด้วยความแข็งแกร่งของโครงสร้างและความตั้งฉาก
[3] “ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น” สำนวนนี้แปลว่าเหน็ดเหนื่อยลงแรงทำอะไรสักอย่างโดยที่ตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์หรือผลดีใดๆ เลย (และบางทีผลประโยชน์ที่ตัวเองหวังจะได้รับกลับตกเป็ของผู้อื่น)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้