เด็กเหล่านี้ฐานะทางบ้านไม่ดีนัก ครอบครัวยากจนมาก
ทั้งปีได้กินเนื้อแค่ไม่กี่มื้อ
เมื่อก่อนครอบครัวของไต้หงเฟยเป็เ้าของที่ดินรายใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ตกมาถึงรุ่นพ่อของเขาแล้วถูกพ่อเอาไปกินดื่ม เล่นสตรีและเล่นพนันจนหมด พ่อเขาดื่มเหล้าหนักจนหนาวตายอยู่ข้างนอก อนุและลูกๆ ที่เกิดจากอนุอาศัย่งานศพมาโกยสมบัติที่เหลือหนีไป
เขากับท่านแม่ต่างพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด บ้านและที่นาถูกบ่อนพนันยึดไปหักหนี้
โชคดีที่ท่านแม่ยังพอมีสินเดิมติดตัว นางนำสินเดิมที่พอจะมีค่าไปขายทั้งหมด เก็บบ้านหลังเล็กที่ชานเมืองไว้แค่หลังเดียว อาศัยงานเย็บปักถักร้อยมาเลี้ยงดูครอบครัว
ไต้หงเฟยเข้าเรียนที่สถานศึกษาชิงซงั้แ่ก่อนเกิดเื่ที่บ้าน เนื่องจากเขาเรียนดี ท่านอาจารย์เองก็สงสาร ไม่อยากให้เขาหยุดเรียนด้วยสาเหตุเช่นนี้จึงไปขอเ้าของสถานศึกษาให้งดค่าเล่าเรียนของเขา
ด้วยเหตุนี้ ไต้หงเฟยจึงยังคงเรียนต่อได้
แต่เขาก็เอาการเอางานเช่นกัน สอบผ่านระดับถงเซิงเมื่อปีก่อน ท่านอาจารย์บอกว่าร่ำเรียนอีกสักสองปีน่าจะสอบขั้นซิ่วไฉผ่านได้แบบไม่มีปัญหา
ส่วนเด็กคนอื่นๆ หลินหวั่นชิวฟังจากที่เจียงหงหนิงเล่าตอนกินข้าว ต่างก็เป็เด็กที่ผลการเรียนดีทั้งนั้น
เนื่องจากครอบครัวยากจน เด็กเหล่านี้จึงอยากเปลี่ยนแปลงปัจจัยครอบครัวด้วยการสอบเคอจวี่ อยากให้พ่อแม่เหนื่อยน้อยลง ทุกคนต่างล้วนแต่กตัญญูกันทั้งนั้น
ด้วยคุณสมบัตินี้เพียงข้อเดียว หลินหวั่นชิวก็ชอบพวกเขาแล้ว
“ดื่มน้ำแกงเยอะหน่อย ดื่มน้ำแกงเนื้อแกะ่หน้าหนาวจะทำให้ร่างกายอบอุ่น…” หลินหวั่นชิวมองเด็กๆ ที่กินอย่างสำรวมด้วยรอยยิ้ม
พวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อยมากแต่ไม่น่าเกลียด เห็นได้ว่าทางสถานศึกษาอบรมนักเรียนครอบคลุมทุกด้าน
มีคุณภาพด้านการศึกษายิ่งนัก
“ขอบคุณพี่สะใภ้ขอรับ!” ทุกคนกล่าวขอบคุณ
เจียงหงหนิงเห็นพวกเขาไม่ค่อยกล้ากินก็ลุกขึ้นยืน “ข้าตักน้ำแกงให้ ใส่ผักชีลงไปยิ่งอร่อย”
ต้องอร่อยอยู่แล้ว
อร่อยมากจริงๆ
ไต้หงเฟยจำได้ว่าตอนบ้านเขายังเป็เ้าของที่ดินรายใหญ่ก็มักกินน้ำแกงเนื้อแกะในฤดูหนาวเช่นกัน แต่ตอนนั้นเนื้อแกะมีกลิ่นสาปคาว เขาจึงไม่ชอบ
ทว่าน้ำแกงเนื้อแกะของบ้านเจียงกลับไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย ดื่มแล้วอบอุ่นั้แ่ลำคอลงไปถึงกระเพาะ
อบอุ่นไปทั่วร่างกาย
“ขอบคุณศิษย์น้อง ให้พวกข้าตักเองเถิด” โจวปินที่อยู่ใกล้หงหนิงรีบแย่งทัพพีและชามจากเขามาตักเอง หงหนิงอายุน้อยกว่าพวกเขาหลายปี จะให้เด็กปรนนิบัติตัวเองได้อย่างไร
โจวปินตักให้หลินหวั่นชิวก่อนหนึ่งชาม จากนั้นให้เจียงหงหนิง ตามด้วยไต้หงเฟย นอกจากเ้าบ้านแล้วตักให้ทุกคนที่เหลือตามลำดับอายุ
แม้จะเก้ๆ กังๆ เพราะครอบครัวยากจนแต่ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็อย่างดี
หลินหวั่นชิวเต็มใจที่จะให้เจียงหงหนิงคบกับเด็กเช่นนี้มาก
ทุกคนทานกันจนอิ่ม หลังทานข้าวเสร็จ หลินหวั่นชิวพาพวกเขาไปที่ห้องศิลปะ
ภายในห้องศิลปะมีถ่านดิ้นเงินจุดไว้สองเตา เชิงเทียนขนาดใหญ่ที่มีเทียนห้าเล่มถูกจุดไว้ทั่วทั้งสี่มุมห้อง บนโต๊ะตัวยาวมีเชิงเทียนขนาดเล็กหน้าตาประณีตวางไว้หนึ่งคู่เช่นกัน เทียนทั้งสามเล่มบนเชิงเทียนถูกจุดสว่าง ส่องให้ห้องศิลปะสว่างไสว
หลินหวั่นชิววางแผนมาดีมาก หากเด็กเหล่านี้ระบายสีออกมาแย่เกินไป อย่างมากนางก็นำไปขายในเสียนอวี๋ ถึงอย่างไรก็ขายออกเป็แน่
อื้ม…
อันที่จริงมีปัญหาอย่างหนึ่งที่นางคิดมานานแล้ว ปัญหาที่ว่าคือสูตรโกงที่นางได้มา เบื้องบนคงไม่ได้มอบสูตรโกงให้นางใช้ประโยชน์คนเดียว
นางรู้สึกว่าฟ้าเบื้องบนยิ่งประทานให้มาก เ้าก็ต้องมอบออกไปให้มากพอกัน
มิเช่นนั้นของวิเศษชิ้นใหญ่จะเลือกตกใส่หัวเ้าเพราะเหตุใด?
คิดว่าตัวเองเป็ปลาหลีฮื้อ[1]หรือ?
แต่แน่นอนว่านางไม่ได้จะบอกว่าต้องออกไปทำความดีช่วยเหลือคนประเดี๋ยวนี้ นางคิดไว้ว่ารอให้ตัวเองมีกำลังมากพอก่อนค่อยวางแผนช้าๆ
นางจะสร้างกุศลแน่นอน แต่จะบุ่มบ่ามไม่ได้ ต้องค่อยๆ ทำ
จะหลับหูหลับตาทำความดีไม่ได้…
การทำความดีไม่ใช่การเลี้ยงคนเนรคุณ
อย่างเช่นเด็กๆ เหล่านี้ พวกเขาต้องทำงานแลกค่าตอบแทน…
“พวกเ้าถอดเสื้อคลุมไปพาดที่ราวก่อนเถิด ในห้องอุณหภูมิอบอุ่น หากไม่ถอดออก ไว้เดี๋ยวกลับออกไปแล้วอุณหภูมิต่างกันเกินไป ร่างกายจะปรับตัวไม่ทันจนเป็หวัด ห้องศิลปะเป็ที่วาดภาพ มือที่แข็งคงเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก ทำให้พวกเ้าใช้ความสามารถได้ไม่เต็มที่”
หลินหวั่นชิวไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชั้นหนาเวลาอยู่บ้าน นางไม่ต้องสั่ง เจียงหงหนิงก็ถอดเสื้อนอกออกั้แ่ก่อนกินข้าวแล้ว ตอนนี้สวมแค่เสื้อบุนวมชั้นเดียว
แม้เด็กๆ จะเขินอาย แต่ที่หลินหวั่นชิวพูดก็มีเหตุผล พวกเขาล้มป่วยไม่ได้ ถอดเสื้อคลุมออกตามที่นางบอก
ด้านในยังมีเสื้อนวมอีกชั้น ไม่ถือว่าเสียมารยาท
แค่อายที่มีเสื้อรอยปะเต็มไปหมด
หลินหวั่นชิวกับเจียงหงหนิงทำท่าทีเหมือนไม่เห็นรอยปะบนเสื้อผ้าของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น นี่ทำให้เหล่าเด็กหนุ่มโล่งอก
“ข้าจะแนะนำอุปกรณ์ระบายสีให้ก่อน นี่คือดินสอระบายสี นี่คือสีเทียนระบายสี ดินสอสีคือไส้ที่ทำจากตะกั่วดำผสมกับเม็ดสีต่างๆ หุ้มด้วยไม้ด้านนอก… ส่วนสีเทียนทำจากขี้ผึ้งผสมสี เนื่องจากสีสองแบบนี้หายากจึงให้พวกเ้านำกลับบ้านไม่ได้ ต้องมาระบายสีที่ห้องศิลปะบ้านพวกข้าเท่านั้น ข้าจะให้พวกเ้าดูผลงานที่ระบายโดยดินสอสีกับสีเทียนก่อน สีสองประเภทนี้แตกต่างจากหมึก ไม่ต้องใช้น้ำ ใช้งานง่ายมาก สีสดกว่าสีหมึกมาก…”
หลินหวั่นชิวอธิบายอย่างตั้งใจ นางใช้ดินสอสีกับสีเทียนมาระบายบนกระดาษขาวให้พวกเขาดู
บรรดาเด็กหนุ่มต่างตะลึงงัน พวกเขาไม่เคยเห็นสีสองประเภทนี้
ช่างแปลกใหม่ยิ่งนัก ขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นอยากลอง
เดิมทีพวกเขาแค่อยากหาเงินเพื่อแบ่งเบาภาระให้ครอบครัว แต่ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าขอแค่ได้ใช้สีเช่นนี้วาดรูป ต่อให้ไม่มีค่าแรงก็อยากทำ
นี่มัน…ล้ำค่าเหลือเกิน
ทว่าพี่สะใภ้ของเจียงหงหนิงกลับยินยอมให้พวกเขาแตะต้อง
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเ้าเปิดหนังสือภาพตรงหน้าและภาพที่้าระบายสีได้ พวกเรามาเริ่มเรียนวิธีระบายสีหน้าแรก…”
เชิงอรรถ
[1] ปลาหลีฮื้อ(鲤鱼) ตามตำนานโบราณเดิมคือ ปลาหลีฮื้อมีความมุมานะ อุตสาหะ ฟันฝ่าอุปสรรคนานับประการ ว่ายทวนกระแสแม่น้ำฮวงโหอันเชี่ยวกรากไปจนถึงประตูัปากทาง์ และสามารถะโข้ามประตูัได้สำเร็จ จึงได้รับพรให้กลายร่างเป็ "ปลาัต้าอวี่" ในบางบริบท ปลาหลีฮื้อจึงเป็สัญลักษณ์ของความเพียรพยายาม