เล่มที่ 2 บทที่ 46
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ฮูหยินเฉินกำลังคิดมากมาย ฝั่งมู่หรงฉิงกลับกำลังสับสน นางยังคงไม่เข้าใจสาเหตุ เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีร่าเริงของฮูหยินเฉิน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินนั้นดูสุขุมมากกว่า “วันข้างหน้าฉิงเอ๋อร์มาเดินเล่นที่เรือนของย่าบ่อยๆ นะ ตอนนี้แม่ของเ้าและพ่อของเ้าต่างก็ง่วนอยู่กับการทำกิจการ มีเวลาอยู่พูดคุยกับข้าน้อยมาก”
มู่หรงฉิงได้ยินเช่นนั้น หัวใจของนางถึงกับเต้นแรง หากพิจารณาจากท่าทีของฮูหยินเฉิน นางสามารถเดินไปรอบๆ ในจวนได้ตามใจชอบหรือ? หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ด้วยการยอมรับของฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉิน สำหรับจวนแห่งนี้นางไม่ได้มีแค่ชื่อว่า ‘ฮูหยินน้อย’ เท่านั้น แต่นางมีสถานะที่แท้จริงแล้ว
คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงก็นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ‘เมื่อต้องเจอกับอุปสรรค แม้วิธีหนึ่งล้มเหลว แต่ยังมีวิธีอื่นที่อาจจะสามารถแก้ปัญหาได้’ ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปของฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉิน หมอกควันก่อนหน้าดูเหมือนจะเริ่มกระจายหายไปและเห็นถนนใหญ่ที่ราบเรียบ
ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้มู่หรงฉิงมีความสุขมาก แม้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญในภายภาคหน้าจะยากลำบากหรืออันตรายอย่างมาก แต่นางกลับรู้สึกว่ามีแสงสว่างอยู่ตรงหน้าของตนเอง อย่างน้อยเมฆดำเ่าั้ก็ถูกแสงแดดแผดเผา และเผยให้เห็นความสว่างไสวอยู่หลายส่วน
นางรู้สึกถึงความชัดเจนมากขึ้น ในระหว่างที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินยื่นมือออกมา มู่หรงฉิงก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับมือของหญิงสูงวัยพร้อมพูดอย่างเชื่อฟังเป็อย่างมาก “ฉิงเอ๋อร์จำได้แล้ว แต่ถึงเวลานั้นเกรงว่าท่านย่าจะรังเกียจฉิงเอ๋อร์ ถึงกับไล่ให้ฉิงเอ๋อร์ออกไปเนื่องจากพูดมากเกินไป”
“ได้ยินหรือไม่ เ้าเด็กคนนี้พูดคุยได้แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเบาๆ พลางพูดกับฮูหยินเฉิน
ฮูหยินเฉินนั่งถัดจากฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข “ก็ใช่น่ะสิ ดูฉลาดมีไหวพริบ ปากนี้ก็หวานมากจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่เทียนหยูพูดว่าหวานทั้งวัน”
ทันทีที่ฮูหยินเฉินกล่าวเช่นนั้น มู่หรงฉิงพลอยย้อนนึกไปถึงฉากที่เฉินเทียนหยูกำลังนอนอยู่บนตัวและแทรกลิ้นเข้าไปในปากของนาง นั่นทำให้แก้มของนางรู้สึกร้อนผ่าวครู่หนึ่ง พวงแก้มทั้งสองข้างกลายเป็สีแดงก่ำทันควัน
ท่าทางเขินอายของมู่หรงฉิง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินลอบสบตากัน สายตาของทั้งคู่ค่อนข้างคลุมเครือ และมีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าพวกนางหมายความว่าอะไร
แม้มู่หรงฉิงจะหน้าแดงด้วยตัวเอง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินนั้นมีไหวพริบ ทั้งคู่คิดได้ทันควันว่าเฉินเทียนหยูต้องทำอะไรบางอย่างแล้วเป็แน่ ไม่ว่าเฉินเทียนหยูจะทำอะไร ถึงกระนั้นมันก็เป็เื่ดีสำหรับจวนเฉิน
ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินรู้สึกมีความสุขเพิ่มมากขึ้น เป็ความสุขที่ไม่สามารถบรรยายเป็คำพูดได้
คนทั้งสามรุ่นในที่นี้ต่างมีความคิดของตัวเอง ทว่าจ้าวจื่อซินที่ยืนอยู่ด้านหน้าเก้าอี้ยาวกลับแทบไม่สามารถยืนต่อไปได้แล้ว ความรู้สึกของเขาอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก ขณะที่เขามองดูมู่หรงฉิงพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นอันคลุมเครือระหว่างผู้หญิงสองคน เขากลับไม่มีความสุข
ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว จ้าวจื่อซินพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “เนื่องจากฮูหยินน้อยตื่นแล้ว ก็ควรจัดการกับสาวใช้ได้แล้วใช่หรือไม่?”
ด้วยการเตือนความจำของจ้าวจื่อซิน ฮูหยินผู้เฒ่าถึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จัดการกับสาวใช้ชั่วช้าคนนั้น เมื่อเลื่อนสายตาออกไปยังด้านนอกหน้าต่างก็เห็นว่าหลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม ผิวหน้าของยวี้เอ๋อร์ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่กลางแดดได้กลายเป็สีม่วง และเป็ลมหมดสติล้มลงกับพื้น
เลื่อนมองตามสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็เห็นยวี้เอ๋อร์เป็ลมเนื่องจากการตากแดด มู่หรงฉิงยิ้มอย่างเ็าในใจ ยวี้เอ๋อร์นะ ยวี้เอ๋อร์ นี่เป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่เ้าทำกับข้าและท่านแม่ ข้าจะให้เ้าต้องชดใช้อย่างสาสม
ในใจกำลังเยาะเย้ยทว่าใบหน้าของมู่หรงฉิงกลับตกตะลึง “ยวี้เอ๋อร์ นี่มัน... ทำไม ยวี้เอ๋อร์ ถึงได้นอนตากแดดอยู่ในลานสนามหญ้าล่ะ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสีหน้าของมู่หรงฉิง นางก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดกับชุ่ยเอ๋อร์ว่า “สาดน้ำใส่สาวใช้สารเลวคนนั้นให้ตื่นที จากนั้นลากเข้ามา ให้ฮูหยินน้อยเป็คนสอบสวนด้วยตัวเอง”
ชุ่ยเอ๋อร์ตอบรับและพาสาวใช้สองคนเดินออกไป ระหว่างนั้นฮูหยินผู้เฒ่าได้บอกมู่หรงฉิงเกี่ยวกับยาพิษที่ยวี้เอ๋อร์ใส่ลงไปในแตงโม
หลังจากฟังแล้วมู่หรงฉิงก็ใมาก จนกระทั่งยวี้เอ๋อร์ถูกสาดน้ำเย็นและสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ถูกลากเข้ามาในห้อง มู่หรงฉิงยังส่ายศีรษะพร้อมพูดว่า “เป็ไปไม่ได้ ยวี้เอ๋อร์ไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน ยวี้เอ๋อร์ภักดีต่อฉิงเอ๋อร์มากที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะยวี้เอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์จะต้องถูกฆ่าตายไปนานแล้ว”
คำพูดของมู่หรงฉิงเป็สิ่งที่แม่นมจิ่น้าจะพูดเช่นเดียวกัน แต่ครู่ก่อนแม่นมจิ่นไม่กล้าพูด เนื่องจากสถานะต่ำกว่า คำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก นางกลัวว่าไม่เพียงแต่ไม่อาจช่วยเหลือยวี้เอ๋อร์ ทว่ามันอาจกลายเป็การทำร้ายยวี้เอ๋อร์ด้วย อย่างไรก็ดีเนื่องจากมู่หรงฉิงช่วยพูดให้แล้ว แม่นมจิ่นจึงรีบพยักหน้าอย่างหนัก ความหมายของนางชัดเจนมากว่ายวี้เอ๋อร์จะไม่มีวันทรยศมู่หรงฉิงอย่างเด็ดขาด
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องหน้าแม่นมจิ่นอย่างดุดัน แม่นมจิ่นจึงไม่กล้าที่จะพยักหน้าอีกต่อไป นางทำได้เพียงมองและฟังขณะยืนอยู่ด้านข้างมู่หรงฉิงเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแม่นมจิ่นเป็คนซื่อตรงจึงตบหลังฝ่ามือของมู่หรงฉิงพร้อมพูดว่า “เ้าเป็คนใจบุญเกินไป ถึงไม่รู้ว่าเลี้ยงคนเนรคุณไว้เคียงข้าง”
ไม่ทราบหรือ? ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? คนนี้เป็เพียงแค่คนเนรคุณเสียที่ไหน? นางคือแมงป่องมีพิษต่างหาก เพียงแต่แมงป่องมีพิษตัวนี้ยังไม่สามารถตายได้ มันยังมีประโยชน์อยู่
ในใจคิดได้ดังนั้นแต่ใบหน้ากลับบ่งบอกว่าไม่น่าจะเป็ไปได้ “เื่นี้จะต้องมีความเข้าใจผิดเป็แน่ บางทีอาจจะถูกคนวางแผนทำร้ายก็ได้ ท่านย่าอย่าโดนคนไม่ดีหลอกลวงเอาได้”
พูดจบก็มองดูเหล่าสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านข้างด้วยความลำบากใจ ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งคิดก่อนพูดด้วยเสียงขรึมว่า “พวกเ้าออกไปเถอะ ถ้าไม่เรียก ห้ามพวกเ้าเข้ามา และต้องคอยคุ้มกันข้างนอกให้ดี”
เหล่าสาวใช้ตอบรับจากนั้นกรูกันออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงมู่หรงฉิง ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินเฉินและยวี้เอ๋อร์ที่กึ่งหลับกึ่งตื่นซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น รวมถึงเฉินเทียนหยูที่นอนอยู่บนเตียงและยังไม่ตื่นขึ้นมา
ระหว่างที่จ้าวจื่อซินก้าวเท้าเดินออกจากห้อง เขาได้เหลือบมองมู่หรงฉิงด้วยสายตาขี้เล่น เขารู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าในสมองของมู่หรงฉิงนั้นมีความคิดอยู่ไม่น้อย มิหนำซ้ำนางยังน่าสนใจมากขึ้นๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากพวกบ่าวออกจากห้อง มู่หรงฉิงจึงพูดด้วยสีหน้าเศร้าใจว่า “มีสิ่งที่ท่านย่าไม่รู้ แม้ว่าฉิงเอ๋อร์จะเป็บุตรสาวคนโต ถึงกระนั้นท่านแม่ของฉิงเอ๋อร์กลับจากไปเร็ว และอนุก็ทำตนเป็คนสองหน้า หลายปีมานี้ หากยวี้เอ๋อร์ไม่คอยขัดขวางและปัดป้องจากการกระทำของอนุครั้งแล้วครั้งเล่า เกรงว่าฉิงเอ๋อร์คงจะ... คงจะ... นานแล้ว”
พูดถึงตรงนี้มู่หรงฉิงพลอยร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย
เื่ราวที่ได้ยินเป็สาเหตุให้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าโศกเศร้าระคนเอ็นดู นางเข้าใจถึงกลอุบายของครอบครัวใหญ่อย่างกระจ่าง ถ้าไม่มีใครคอยสนับสนุน การยืนหยัดอย่างมั่นคงในครอบครัวใหญ่ย่อมไม่ใช่เื่ง่ายเลย
ทางด้านฮูหยินเฉินนั้นจับมือมู่หรงฉิงด้วยความทุกข์ใจแฝงความเมตตาโดยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “โธ่! เ้าเด็กน่าสงสาร”
หลังจากหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา มู่หรงฉิงจึงหันไปมองยวี้เอ๋อร์ซึ่งตื่นขึ้นมาแล้ว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา แต่นางกัดริมฝีปากแน่นคล้ายไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงร้องไห้ คิดว่าคำพูดของนางเมื่อครู่ก่อน ยวี้เอ๋อร์ย่อมได้ยินแล้ว และการที่ยวี้เอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรคงเป็เพราะฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินอยู่ที่นี่ ถ้าในเวลานี้ ที่นี่มีเพียงมู่หรงฉิงคนเดียว ยวี้เอ๋อร์ย่อมต้องเผยทีท่าเสียใจมากและร้องไห้ออกมาอย่างแน่นอน
ครั้นสบสายตากับมู่หรงฉิง ดวงตาทั้งสองข้างของยวี้เอ๋อร์ก็เหมือนกับแมวที่น่าสงสาร ริมฝีปากบอบบางของนางแห้งแตกเนื่องจากขาดน้ำ ยวี้เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ตัวสั่นเทา และไม่พูดคำใดซึ่งทำให้คนอดไม่ได้ที่จะสงสาร
แต่น่าเสียดาย ตอนนี้เมื่อนางได้เห็นสีหน้าท่าทางเช่นนั้น มู่หรงฉิงจะไม่มีวันรู้สึกสงสารและเอ็นดูอีกต่อไป
คิดว่ายวี้เอ๋อร์คงต้องทุกข์ทรมานจากฮูหยินผู้เฒ่าไม่น้อย และในตอนบ่ายนางก็ถูกตากแดดเป็เวลาหลายชั่วยามในลานสนามหญ้า ดูผิวสีขาวดั้งเดิมที่กลายเป็สีแดงอมม่วงนั่นสิ คิดว่าผ่านไปสองวัน จากผิวที่ชุ่มชื้นอิ่มน้ำคงจะกลายเป็ผิวที่แย่มาก
อย่างไรก็ตาม แค่นี้จะสามารถบรรเทาความโกรธของมู่หรงฉิงได้อย่างไร? คิดไม่ถึงว่าจะร่วมมือกับซูมู่หานวางกับดักนางอีกหน ถ้าปล่อยยวี้เอ๋อร์ไปง่ายๆ จะกำจัดความโกรธนี้ได้อย่างไร?
ยวี้เอ๋อร์มองมู่หรงฉิงอย่างเศร้าโศก ฝ่ายมู่หรงฉิงก็พยายามระงับความเกลียดชังในใจพร้อมพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยทีท่าเป็ทุกข์ “สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ต้องมีคนไม่ดีหวังทำร้ายเป็แน่ ถ้าท่านย่าจะจัดการหลังจากตรวจสอบความจริงอีกหน ก็คงไม่สายเกินไป”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ตัดสินใจที่จะกำจัดยวี้เอ๋อร์แล้ว แต่ด้วยคำขอร้องซ้ำๆ หลายหนของมู่หรงฉิง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหมดหนทาง ในเวลาเดียวกันนางก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ถ้ายวี้เอ๋อร์คนนี้จงรักภักดีและปกป้องเช่นที่มู่หรงฉิงพูดจริงๆ เช่นนั้น ทำไมเวลาคำนับ นางถึงชอบพูดยุยงจากดีกลายเป็ร้ายนักล่ะ?
หากไม่มีคำพูดของเฉินเทียนหยูเมื่อวาน ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะเชื่อว่า มู่หรงฉิงเป็เด็กสาวป่าเถื่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ นางได้ชื่อว่าเป็ผู้หญิงที่มีพร์ แต่เนื่องจากผู้เป็แม่ของนางเสียชีวิตั้แ่นางยังเยาว์วัย นางจึงกลายเป็เด็กสาวที่ไม่มีมารยาทและไม่รู้จักกาลเทศะ
แม้ว่าครอบครัววาณิชจะไม่ได้เข้มงวดในด้านการสอนกฎมารยาทแก่ลูกๆ เท่าครอบครัวขุนนาง ถึงกระนั้นจวนเฉินก็เป็จวนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง ถ้าคนในจวนเฉินเลือกแต่งงานกับคนดื้อด้าน ไร้มารยาท คงจะเป็เื่น่าขำขันอย่างมากไม่ใช่หรือ?
แต่โชคดีแม้ว่าเฉินเทียนหยูจะโง่งม ทว่าในเวลาวิกฤติเขาก็พูดในสิ่งที่ควรจะพูด จึงไม่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจมู่หรงฉิงผิดไป
ครั้นนึกถึงสาวใช้สารเลวเป็นกสองหัวซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ามู่หรงฉิง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากเก็บสาวใช้ใจชั่วคนนี้ไว้จริงๆ แต่ในเมื่อมู่หรงฉิงขอร้องด้วยน้ำตานองหน้าเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าจะจัดการสาวใช้ใจชั่วคนนี้อย่างข้ามหน้าข้ามตาได้อย่างไร?
อีกอย่างด้วยเพราะมู่หรงฉิงและเฉินเทียนหยูไม่ได้เป็อันตรายถึงแก่ชีวิต มิหนำซ้ำแตงโมนั่นเป็ของที่แม่นมสองคนซื้อมา ถ้าจะให้รับผิดชอบจริงๆ ย่อมต้องจัดการแม่นมสองคนนั้นเสียก่อน ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้จับใครอื่น นางจับแค่ยวี้เอ๋อร์ไม่ยอมปล่อย พิสูจน์ให้เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับยวี้เอ๋อร์อยู่แล้ว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่สามารถปล่อยให้สาวใช้สองหน้าอยู่กับมู่หรงฉิงได้อีกต่อไป
ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่า มู่หรงฉิงถูกภาพลวงตาของความจงรักภักดีของยวี้เอ๋อร์ทำให้ตาบอด นางไม่สามารถเข้าใจถึงความทะเยอทะยานของยวี้เอ๋อร์คนเนรคุณ ด้วยสาเหตุนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึง้าใช้โอกาสนี้ในการกำจัดยวี้เอ๋อร์
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่้าปล่อยยวี้เอ๋อร์ ถึงกระนั้นนางก็ไม่้าให้มู่หรงฉิงขุ่นเคืองใจ ดังนั้นใน่ระยะเวลาสั้นๆ นางจึงรู้สึกลำบากใจและได้แต่เงียบโดยไม่พูดอะไร
ฮูหยินเฉินกวาดสายตามองยวี้เอ๋อร์ที่กำลังคุกเข่านั่งตัวสั่น จากนั้นเลื่อนสายตามองมู่หรงฉิงที่แสดงสีหน้าวิตกกังวล เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังเงียบ ฮูหยินเฉินจึงกล่าวว่า “แม่ พิจารณาจากลูกสะใภ้ บ่าวคนนี้ภักดีต่อฉิงเอ๋อร์ แต่ยังไม่มีความละเอียดถี่ถ้วนมากเพียงพอ เป็สาเหตุทำให้เกิดเื่นี้ขึ้น โชคดีที่ทั้งฉิงเอ๋อร์และเทียนหยูไม่ได้เป็อะไรมาก ดังนั้นเก็บชีวิตของยวี้เอ๋อร์ไว้ได้”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของฮูหยินเฉิน ยวี้เอ๋อร์ก็รีบโขกศีรษะ “ขอบพระคุณฮูหยินที่เมตตาบ่าว วันข้างหน้าบ่าวจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ บ่าวจะไม่ยอมให้ฮูหยินน้อยและคุณชายรองถูกทำร้ายแม้แต่ปลายนิ้วอย่างเด็ดขาด”
“เ้าก็อย่าสักแต่จะขอบคุณ” ฮูหยินเฉินเหลือบมองยวี้เอ๋อร์ จากนั้นเบี่ยงสายตามองมู่หรงฉิง ในดวงตาของนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “ฉิงเอ๋อร์ ถ้าไม่ทำตามกฎเกณฑ์ ก็เกรงว่าจะไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทุกคนในจวนต่างก็รู้ว่า สาวใช้คนนี้ทำผิดพลาดไป ในจวนมีกฎเกณฑ์ั้แ่ไหนแต่ไรมาแล้ว เื่นี้พวกเราทำตามกฎของจวนดีหรือไม่?”
มู่หรงฉิงได้ยินคำนั้นถึงกับตะลึงงัน ก่อนจะขยับปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผ่านไปสักพัก นางก็ไม่ได้เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าทางลำบากใจของมู่หรงฉิง น้ำเสียงของนางจึงเข้มงวดขึ้น “ฉิงเอ๋อร์ เนื่องจากเ้าแต่งงานเข้ามาในจวนเฉิน เ้าย่อมต้องปฏิบัติตามกฎของจวนเฉิน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่เื่เล็กๆ ถ้าไม่ลงโทษ วันข้างหน้าพวกบ่าวคงไม่รู้จักกฎเกณฑ์แล้ว วันนี้เ้าทำผิดพลาดไป พรุ่งนี้ข้าสร้างเื่วุ่นวาย ด้วยวิธีเช่นที่ว่าจวนหลังนี้จะไม่วุ่นวายกันไปใหญ่หรือ ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะว่าใหญ่มากก็ไม่ใหญ่มาก จะว่าเล็กไป ก็ไม่เล็กมาก ถ้าไม่ลงโทษเล็กน้อยและตักเตือนให้มาก จะเชื่อถือและนับถือได้อย่างไร?”
ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่าเป็การบอกว่าไม่น่าเกรงขามไม่ได้ หลังจากฟังคำพูดเ่าั้ มู่หรงฉิงจึงเงียบไปนานก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “ท่านย่าสามารถเก็บชีวิตยวี้เอ๋อร์ได้ ก็นับว่าให้เกียรติฉิงเอ๋อร์อย่างมาก ฉิงเอ๋อร์จะไม่พูดมากอีกต่อไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านย่า”