นับั้แ่โบราณมา ผู้สามารถเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีได้ล้วนแต่เป็ผู้มีความโดดเด่นทั้งสิ้น เพื่อป้องกันการปะปนเข้ามาของคนที่ไร้ความสามารถและคนฉวยโอกาส การทดสอบในการท้าประลองของจอมอสูรโหมวเซี่ยนจึงต้องใช้ทั้งฝีมือและสติปัญญาอยู่ไม่น้อย
การท้าประลองถูกแบ่งออกเป็สองด่าน ด่านที่หนึ่งคือศึกแห่งป่า ด่านที่สองจึงจะเป็การท้าประลองที่แท้จริง แต่ในด่านที่หนึ่งที่เรียกว่าศึกแห่งป่านั้น ยังแบ่งออกเป็สามด่านย่อย ได้แก่ หมู่คณะ พละกำลัง และจิตใจ
ฉินอวี่ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับการท้าประลองไม่มากนัก เขารู้แต่เพียงผิวเผินเท่านั้น ในทางกลับกันโหมวชิงเฟิงดูเหมือนจะมีฝีมืออย่างยิ่งในการท้าประลอง หรืออาจเรียกได้ว่าเขามีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในเื่ของการท้าประลอง
ด้วยฤทธิ์ของโอสถ ความอ่อนแอของโหมวชิงเฟิงจึงหายไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเป็ปกติ แต่ก็นับว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับการอธิบายเื่ของรายละเอียดในการท้าประลองให้ฉินอวี่ฟังมาตลอดทาง
“ในการทดสอบที่เรียกว่าศึกแห่งป่า เป็ด่านที่ทำการทดสอบด้านพละกำลังมากที่สุด เมื่ออยู่รอบนอกของป่า ที่ซึ่งพวกเรากำลังยืนอยู่ในตอนนี้ และการทดสอบของด่านนี้ เป็การร่วมมือกันเป็หมู่คณะ เพียงแต่ พวกเขาจะมาก่อนหน้านี้แล้วสองสามวัน ดังนั้น ในด่านย่อยที่หนึ่งจึงไม่ค่อยอยู่ในความสนใจของพวกเรา แต่ในด่านที่สอง เป็เื่การทดสอบพละกำลัง เมื่อเข้าสู่ด่านย่อยที่สอง ทุกคนจะถูกส่งไปยังทุกทิศทุกทางของป่า หากพละกำลังไม่แข็งแกร่งพอ ก็อาจจะต้องตายอย่างน่าอนาถด้วยฝีมือของอสูรร้ายอยู่กลางป่า”
“ด่านย่อยที่สามเป็เื่ของจิตใจ หากผ่านด่านย่อยที่สองมาได้ ก็จะสามารถเข้าถึงส่วนลึกของป่า ข้าได้ยินมาว่า ที่แห่งนั้นมีเส้นทางขนาดใหญ่เส้นทางหนึ่งที่ตรงดิ่งไป แต่เส้นทางที่ว่านั้นก็คือทางน้ำตามธรรมชาติ คนจำนวนมากล้วนแต่ต้องหยุดอยู่บนเส้นทางสายนี้ ขอเพียงข้ามผ่านเส้นทางสายนี้ไปได้ ก็สามารถเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีได้” โหมวชิงเฟิงอธิบายให้ฉินอวี่ฟัง
ฉินอวี่พยักหน้าเล็กน้อย และคิดสงสัยอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าจอมอสูรโหมวเซี่ยนจะให้ความสำคัญกับจิตใจของคนใต้ปกครองของเขาเป็พิเศษ ไม่ว่าจะเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีหรือจะเป็สามสิบหกขุนพล์ก็ล้วนแต่ต้องผ่านการทดสอบจิตใจ
แม้ว่าฉินอวี่จะมีความเข้าใจเื่ของหอคอยเทียนกังอยู่ไม่น้อย แต่หากมองจากประสบการณ์ของเหลยจั๋วเยว่และโหมวจิ่นซิ่ว หาก้าจะผ่านหอคอยเทียนกังไปให้ได้ เกรงว่า... จะต้องมีสภาพจิตใจอยู่ในระดับสูงสุด จนกลายเป็สิ่งยึดเหนี่ยวให้ได้จึงจะสามารถผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้!
“ได้เป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีแล้วจะได้รับอะไรบ้าง?” ฉินอวี่ถาม
โหมวชิงเฟิงจ้องมองฉินอวี่ และเริ่มคาดเดาตัวตนของฉินอวี่ได้อย่างคลุมเครือ แต่ฉินอวี่ไม่พูดอะไร เขาเองก็ไม่อาจมั่นใจได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจาก็พูดขึ้น “สถานะของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีและสามสิบหกขุนพล์นั้นนับว่าพิเศษอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสามสิบหกขุนพล์”
“หากสามารถท้าประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณีได้สามครั้งอย่างมั่นคง ก็จะได้รับการสืบทอดเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณี การสืบทอดที่พูดถึงนั้นเป็การสืบทอดตรงมาจากเจ็ดสิบสองอสูรธรณีในยุคที่เก่าแก่ที่สุด และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเหล่าชายหนุ่มหญิงสาวแห่งยุคสมัยต่างมาเข้าร่วมการท้าประลอง เพียงแต่ มีจำนวนน้อยนักที่สามารถต่อสู้ถึงสามครั้งได้อย่างมั่นคง”
“ส่วนสามสิบหกขุนพล์นั้น... ไม่ต้องรับการท้าประลอง เพียงแค่ได้เป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณี ว่ากันว่าสามารถรับการสืบทอดต่อได้ในหอคอยเทียนกังทันที แต่พลังที่สืบทอดต่อมานั้นแข็งแกร่งมาก เพราะเป็สิ่งที่จอมอสูรโหมวเซี่ยนทิ้งเอาไว้” โหมวชิงเฟิงพูดจบก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ดังนั้น... พี่หลี่ มันเป็เื่ไม่ฉลาดเอาเสียเลยที่ท่านไปขัดใจเหลยจั๋วเยว่”
แม้ว่าทั้งสองคนเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่โหมวชิงเฟิงก็รู้สึกประทับใจฉินอวี่เป็พิเศษ หากไม่ใช่ฉินอวี่ เขาก็คงจะไม่ได้เข้าร่วมการท้าประลองในครั้งนี้
ฉินอวี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเช่นกัน เขาเหลือบมองไปทางโหมวชิงเฟิง และพูดอย่างเฉยเมย “ความสิ้นหวังอาจช่วยให้เราตั้งใจก้าวไปข้างหน้า มิใช่หรือ?” ฉินอวี่ไม่อาจบอกเื่ราวทั้งหมดให้โหมวชิงเฟิงได้
ดวงตาของโหมวชิงเฟิงเปล่งประกาย และพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“จริงสิ เกิดอะไรขึ้นกับมารดาของเ้าหรือ?” ฉินอวี่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา และถามขึ้นทันที
โหมวชิงเฟิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว และลดความเร็วลง ค่อยๆ กัดฟันเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเ็ป
เมื่อฉินอวี่เห็นดังนี้ เขาก็ไม่อาจทนได้ ยื่นมือออกไปตบไหล่ของโหมวชิงเฟิงเบาๆ และพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ตั้งใจขยันไว้เถอะนะ กลายเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีให้ได้ ทำความหวังของมารดาเ้าให้สำเร็จ!”
จากคำพูดของโหมวชิงเฟิง ฉินอวี่สามารถมองเห็นลักษณะนิสัยของโหมวชิงเฟิงได้ทันที เขาเป็คนมีหัวใจที่มั่นคง ไม่ยอมใครง่ายๆ และไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เพื่อการเข้าร่วมทดสอบท้าประลอง เขายอมคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล เห็นได้ว่า เขามีใจที่มุ่งมั่นและพากเพียร และยังดูออกว่า มารดาของเขานั้นคงมีเวลาเหลืออีกไม่มากนัก
“อืม!” โหมวชิงเฟิงกัดฟันแน่น พยักหน้าอย่างจริงจัง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาก็ทอดสายตาไปเบื้องหน้า และพูดขึ้น “พี่หลี่ พวกเราก็เกือบจะเข้าสู่ด่านที่สองแล้ว ท่านจงจำไว้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ส่วนใดของป่าก็ตาม ขอให้ท่านมุ่งหน้าเดินไปยังูเาสูงลูกนั้นก็พอ ก็จะสามารถเข้าถึงด่านจิตใจได้” โหมวชิงเฟิงใช้นิ้วขวาชี้ไปยังูเาสูงที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆที่อยู่ในจุดไกลที่สุด
“ูเาลูกนั้นก็คือหอคอยเทียนกัง ด่านที่สองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีจะอยู่ด้านล่างของหอคอยเทียนกัง เพราะอีกหนึ่งปีจากนี้ไปจะเป็การทดสอบสามสิบหกขุนพล์ ดังนั้น การท้าประลองในครั้งนี้จึงมียอดฝีมืออยู่เป็จำนวนมาก อีกสักครู่จะมีการสุ่มนำส่งไปยังที่ต่างๆ พี่หลี่จะต้องระวังเอาไว้ให้มาก! หากพบอุปสรรคอะไรขึ้นมา ขอให้ท่านบอกได้เลย ข้ายินดีช่วยท่านเต็มที่” โหมวชิงเฟิงเร่งเร้า
ฉินอวี่เหลือบมองโหมวชิงเฟิง พยักหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผ่านไปไม่นาน ก็เป็ไปตามที่โหมวชิงเฟิงบอกไว้ ในด่านย่อยที่สองจะมีการสุ่มนำส่งผู้เข้าร่วมไปยังส่วนต่างๆ ของป่าแห่งนี้
ฉินอวี่รู้สึกเบลอขึ้นมาเล็กน้อย โหมวชิงเฟิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ตนเองกลับปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าแปลกประหลาดใต้ต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่าน กลิ่นเหม็นเน่าโชยพัดเขามาแตะจมูก เขากวาดสายตาดูใบไม้แห้งที่อยู่บนพื้นโดยรอบ ฉินอวี่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และใช้มโนจิตส่องดูโดยรอบ
“เอ๊ะ?” สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ประหลาดใจคือมโนจิตของเขาถูกควบคุมอยู่ในรัศมีเพียงสิบลี้เท่านั้น การต้องอยู่ในป่าเพียงลำพัง ไม่สามารถใช้มโนจิตได้เต็มอัตรา ทำให้ความยากลำบากของด่านที่หนึ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถส่องออกไปสำรวจได้เพียงสิบลี้ ซึ่งนี่หมายความว่าไม่มีผู้ใดกล้าจะประมาทการต่อสู้ครั้งนี้เป็แน่ ไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็จุดสนใจของผู้ฝึกตนหรืออสูรร้ายที่อยู่นอกระยะสิบลี้ และเกิดหายนะอันไม่คาดคิดได้แน่นอน
“ตามกฎแล้ว จะมีเพียงผู้ที่สามารถอยู่ในลำดับสามร้อยคนแรกเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมการท้าประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณีได้ ข้าจะต้องคว้าหนึ่งในสามร้อยอันดับแรกมาให้ได้ ช้ากว่าคนอื่นอยู่ห้าวัน คงต้องเร่งความเร็วให้มากกว่านี้”
แม้ว่ามโนจิตจะถูกจำกัดการใช้งาน แต่ก็ยังสามารถเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ ฉินอวี่จึงตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที เพื่อสำรวจดูพื้นที่นอกระยะรัศมีสิบลี้ เมื่อเห็นทิศทางที่แน่นอนของหอคอยเทียนกังแล้ว ฉินอวี่จึงเร่งความเร็วมุ่งหน้าตรงไปยังหอคอยเทียนกังด้วยความเร็วสูงสุดทันที
เวลาเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว ฉินอวี่จำเป็ต้องไปอยู่ด้านหน้า เพื่อเข้าสู่ด่านจิตใจ ก่อนที่คนกลุ่มใหญ่จะตามมา
“โฮก โฮก โฮก!”
“เปรี้ยง ตูม ตูม!”
เสียงคำรามและเสียงของการต่อสู้ดังขึ้น
ตลอดเส้นทาง ฉินอวี่ได้พบกับผู้ฝึกตนจำนวนมาก และมีหลายคนได้ขอความช่วยเหลือจากเขา แต่ฉินอวี่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่เพราะเขาใจดำหรือเืเย็น แต่เป็เพราะไม่มีเวลาแล้ว อีกอย่าง หากตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ก็สามารถคาดเดาจุดจบได้เลย
ไม่ถึงครึ่งวัน
ฉินอวี่ตกอยู่ในความสนใจของอสูรร้ายตัวหนึ่ง อสูรร้ายตัวนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่ในระดับใด ฉินอวี่รู้สึกเพียงตนเองขนลุกซู่ไปทั่วร่าง รู้สึกได้ถึงภาวะอันตรายที่รุนแรงกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่ฉินอวี่ก็ไม่หยุดแม้แต่น้อย จนพลังปราณของเขาค่อยๆ กระจายหายไป
แม้ว่าสายเืหยาจื้อและเสวียนอู่จะยังไม่ถูกกระตุ้นให้สมบูรณ์ แต่ฉินอวี่ก็ดูดซับเอาหยดแก่นโลหิตไว้แล้ว และอยู่ในกุมารทิพย์ในร่าง ดังนั้น พลังปราณที่เล็ดลอดออกมาจึงแฝงไปด้วยพลังปราณของหยาจื้อและเสวียนอู่ แม้ว่าจะมีเพียงรอยของแก่นโลหิต แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สัตว์ร้ายที่จ้องเขาอยู่ต้องตัวสั่น
เป็อย่างที่คาดการณ์ไว้ ทันทีที่พลังปราณของฉินอวี่กระจายออกไป พลังที่อันตรายอันแข็งแกร่งก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเป็เช่นนี้ ฉินอวี่จึงเพิ่มระดับความเร็วถึงขั้นสูงสุด และทุกที่ที่เขาผ่านไป จะมีอสูรร้ายจำนวนไม่น้อยที่ต้องหลีกหนี
ในเวลาเดียวกันนี้ ในส่วนหนึ่งของป่า ชายหนุ่มสองคนกำลังเดินไปข้างหน้าด้วยความระแวดระวัง เพราะในป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยอสูรร้ายมากมาย ทั้งสองคนไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะหลังจากที่ผ่านความตายมาอย่างยากลำบาก ยิ่งทำให้พวกเขาต้องระวังมากขึ้นเป็พิเศษ
ชายหนุ่มคนที่สูงกว่ากวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวเป็พิเศษ ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างแห้งๆ “ทำไมอสูรร้ายที่นี่จึงได้แข็งแกร่งนัก? ก่อนหน้านี้เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น... หากต้องพบอีกหลายตัว จะยังรับมือไหวหรือ?”
“เราต้องรีบตามคนอื่นให้พบเร็วที่สุด ยิ่งมากยิ่งดี ไม่เช่นนั้น ด้วยพละกำลังพวกเรามีหวังต้องตายอย่างอนาถแน่นอน...” ชายหนุ่มที่เตี้ยกว่ามีใบหน้าจริงจัง แต่เมื่อเขาพูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นไปมองในอากาศทันที
ชายหนุ่มคนนั้นยังไม่ทันตอบสนอง ก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งออกไปในท้องฟ้า
“ขั้นกุมารทิพย์? พวกเหลยอวิ๋นถิงสามพี่น้องทำอะไรกันอยู่? นึกไม่ถึงว่าจะปล่อยให้คนขั้นกุมารทิพย์เข้าร่วมการทดสอบด้วย? เอ๊ะ... ไม่สิ... คนผู้นี้ไม่เกรงกลัวอสูรร้ายในป่าแห่งนี้เลยหรือ? เป็ไปได้อย่างไร?” ชายหนุ่มที่เตี้ยกว่าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ และรีบส่องมโนจิตออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เงาร่างนั้นกลับไม่มีอยู่แล้ว...
“เดี๋ยว! ขั้นกุมารทิพย์ระดับกลาง ไม่กลัวอสูรร้าย หรือว่า... คนผู้นั้นคือ... หลี่โหย่วฉาย? หลี่โหย่วฉายเข้าร่วมการท้าประลองด้วยหรือ? หลี่โหย่วฉายเข้าร่วมการท้าประลองครั้งนี้หรือ?”
“อย่างนั้น... หลี่โหย่วฉาย... หลี่โหย่วฉายไม่เกรงกลัวอสูรร้าย... ก็แสดงว่าเขา... เขามั่นใจว่า... จะผ่านการทดสอบหรือ?”
“แย่แล้ว!” ทั้งสองคนหันมาสบตากันทันที และดูออกถึงความกลัวและใของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ในตอนแรก พวกเขาสองคนต่างก็ทำการเดิมพันในงานเลี้ยงเอาไว้เช่นกัน ทั้งยังเดิมพันไว้ด้วยอาวุธเต๋าระดับสูงสุด...
“ไม่ได้การแล้ว จะต้องแจ้งไปให้ทุกคนรับรู้ ต้องขัดขวางหลี่โหย่วฉายให้ได้! ไม่เช่นนั้น... พวกเรามีหวังจบเห่กันหมดแน่นอน!” ศิษย์คนที่เตี้ยกว่าพูดอย่างจริงจัง
ผ่านไปไม่นานนัก
คลื่นเสียงหนึ่งก็ดังกังวานไปทั่วผืนป่า และคลื่นเสียงนั้นก็เคลื่อนไปทั่วราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก
“หลี่โหย่วฉายมาแล้ว...”
“ขอทุกคนโปรดระวังด้วย หลี่โหย่วฉายเข้าร่วมการท้าประลองแล้ว...”
“หลี่โหย่วฉายที่น่ารังเกียจเข้าร่วมการท้าประลองแล้ว ทุกท่าน โปรดตามข้าไปสกัดกั้นหลี่โหย่วฉาย!”
เมื่อเป็เช่นนี้ เสียงะโอันเกรี้ยวกราดของทุกคนก็ดังขึ้น เริ่มมีคนเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ ในจำนวนนั้น มีหลายคนที่มีสัญญาของการเดิมพันติดตัว เพียงแต่ สิ่งที่น่าตลกคือ คนจำนวนมากที่มารวมตัวกันนี้ ส่วนมากมีพละกำลังระดับต่ำ และเป็คนที่ถูกอสูรร้ายข่มขู่จนหวาดกลัว คนที่ไม่พอใจหลี่โหย่วฉายจริงๆ นั้นมีไม่มากนัก แต่ทั้งหมดต่างก็เข้าร่วมภายใต้เหตุผลของการต่อต้านหลี่โหย่วฉาย
