บรรยากาศในชุมนุมหมากล้อมคึกคัก ในวังหลวงก็คึกคักไม่แพ้กัน
ไม่มีเหตุผลอย่างอื่น! แต่เป็เพราะฮ่องเต้เปลี่ยนพระทัยกะทันหัน ให้การเข้าประชุมในท้องพระโรงวันนี้กลายเป็วันชมการเดินหมากล้อม
ณ ตำแหน่งตรงกลางท้องพระโรง มีกระดานหมากขนาดใหญ่ผืนหนึ่งกางอยู่ ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊กำลังร่วมชมการเดินหมาก ไท่จื่อน้อยและสหายตัวน้อยของเขาอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาคอยการเดินหมากล้อมที่จะเริ่มขึ้น
ขุนนางใหญ่ข้างกายเฟิ่งชังหลายคนกำลังกระซิบกระซาบ
“ท่านมหาเสนาบดีเฟิ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าาจึงได้ให้ความสำคัญและสนใจการประลองหมากล้อมในวันนี้”
“ข้าได้ยินว่าเมื่อวานซือคงเซิ่งเจี๋ยท้าประลองนักเดินหมากล้อมระดับเก้าทั้งหกคนของแคว้นเป่ยเยียน ไม่เห็นว่าฝ่าาจะใส่พระทัยถึงเพียงนี้ เหตุใดวันนี้ซือคงเซิ่งเจี๋ยประลองกับสตรีนางหนึ่ง ฝ่าากลับให้ความสำคัญเช่นนี้เล่า”
“ข้ายังได้ยินมาอีกว่า สตรีนางนั้นเป็นางกำนัลคนหนึ่ง...”
“ฝ่าาคงไม่ได้สนใจนางกำนัลนางนั้นกระมัง”
เฟิ่งชังได้ยินเช่นนั้นตวาดเสียงเย็น “พูดจาเหลวไหลอันใดกัน ฝ่าาจะสนใจนางกำนัลเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไร”
ขุนนางคนนั้นรีบคล้อยตาม “ท่านมหาเสนาบดีเฟิ่งพูดถูกต้องแล้ว! ฝ่าาเพิ่งจะโปรดปรานฮองเฮา ฮองเฮาแต่งตั้งตามพระราชโองการ ฝ่าาจะสนใจนางกำนัลเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไร”
“นั่นก็ไม่แน่!” ขุนนางใหญ่อีกท่านหนึ่งที่นั่งถัดมากลับเอ่ยปาก “ตำหนักในมีคนมีความสามารถมากมาย มิได้มีเพียงฮองเฮาเพียงคนเดียว!”
เฟิ่งชังหันไปมอง หลี่หรงเต๋อ เสนาบดีกรมอาญา ด้วยสีหน้าเยียบเย็น เขาพูดเสียงเย็น “ใต้เท้าหลี่พูดถูก ตำหนักในมีคนมากความสามารถมากมายจริงๆ ทว่าหากว่าด้วยเื่การทรมานบ่าวรับใช้ในตำหนักในแล้ว ไม่มีใครเทียบฉีเหม่ยเหรินได้เลยจริงๆ!”
ได้ยินคำเยาะเย้ยถากถางบุตรสาวของตนเช่นนี้ หลี่หรงเต๋อหน้าดำทะมึนทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยโทสะ “เฟิ่งชัง! เ้าไม่มีหลักฐาน อย่าได้ใส่ร้ายบุตรสาวของข้า!”
เฟิ่งชังหัวเราะเสียงดัง “เื่นี้เป็ความลับที่รู้กันทั่วในตำหนักใน ยัง้าหลักฐานอะไรอีก กลับเป็เ้าเสียอีก มีฐานะเป็ถึงเสนาบดีกรมอาญา ดูแลกฎหมายและเรือนจำของแผ่นดิน กลับปล่อยให้บุตรสาวของตนเองกระทำการราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป ใต้เท้าหลี่ ท่านควรจะพิจารณาตัวเองสักหน่อยหรือไม่”
“ท่าน...” หลี่หรงเต๋อโมโหจนหน้าแดง
ในท้องพระโรง เซวียนหยวนเช่อนั่งอยู่บนบัลลังก์ั ในมือถือจอกสุราทองคำกวาดสายตามองคนทั้งสองปราดหนึ่ง “ท่านมหาเสนาบดีเฟิ่ง เสนาบดีหลี่ มีปากเสียงกันด้วยเื่อะไรหรือ”
เฟิ่งชังลุกขึ้นพูดด้วยท่าทีสุขุม “ทูลฝ่าา กระหม่อมกำลังหยอกล้อกับใต้เท้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตามองเรียบๆ “เสนาบดีหลี่ ใช่หรือ”
หลี่หรงเต๋อลุกขึ้นพร้อมกับกดข่มไฟโทสะในใจแล้วโน้มกายลง “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านมหาเสนาบดีเฟิ่งเพียงแค่หยอกล้อหม่อมฉันเล่นพ่ะย่ะค่ะ”
ในแววตานั้นพลันเปล่งประกายคมปลาบ เซวียนหยวนเช่อยกมุมปากขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “การประลองหมอกล้อมในวันนี้เกี่ยวพันถึงเกียรติยศและชื่อเสียงของชุมนุมหมากล้อมแคว้นเป่ยเยียนของเรา เจิ้นหวังว่าทุกท่านจะมาชมการประลองหมากล้อมด้วยกัน และเอาใจช่วยแคว้นเป่ยเยียนของเรา!”
ขุนนางทั้งหมดลุกขึ้นพูดพร้อมกัน “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าา!”
ไท่จื่อน้อยเอามือทั้งคู่ประคองแก้มของตนเอาไว้และทำคอยืดคอยาว เขามองไปด้านนอกท้องพระโรงเนิ่นนาน เสียงออดอ้อนนั้นถามขึ้นว่า “เสด็จพ่อ เหตุใดยังไม่เริ่มการแข่งขันพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อจิบสุราคำหนึ่ง สุราไหลลงสู่ท้องให้รู้สึกอุ่นไปทั้งร่าง เขาตอบไม่ช้าไม่เร็ว “เมื่อถึงเวลา ย่อมเริ่มการแข่งขันเอง”
ตำหนักยีหลัน
ฉีเหม่ยเหรินมาเยี่ยมองค์หญิงหลานซิน คนยังมาไม่ถึงทว่าเสียงหัวเราะมาถึงก่อน
“พี่สาว ท่านได้ยินหรือไม่ วันนี้ฮองเฮาโชคร้ายสุดๆ! ฮ่าๆๆๆ...”
องค์หญิงหลานซินกำลังเขียนสารอยู่บนโต๊ะ พลันได้ยินเสียงดังขึ้นนอกประตู นางรีบหยุดพู่กันและเก็บจดหมาย
นาทีถัดมา ฉีเหม่ยเหรินเดินเข้ามาในตำหนักบรรทม
“พี่สาว ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ”
องค์หญิงหลานซินนั่งเรียบร้อย ถอนใจเบาๆ “ข้าถูกไทเฮากักบริเวณ ยังทำอะไรได้อีก ก็แค่ฝึกเขียนอักษรฆ่าเวลาเท่านั้นเอง! น้องสาวเมื่อสักครู่เ้าบอกว่าฮองเฮาโชคร้ายที่สุด เกิดเื่อะไรขึ้นหรือ”
ฉีเหม่ยเหรินไม่รู้นึกอะไรขึ้นได้ นางเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะ “ทำให้ข้าขันจะแย่! พี่สาว ท่านรู้หรือไม่ เช้าตรู่วันนี้ฮองเฮาไปทำอาหารในห้องเครื่อง ไม่รู้อย่างไรนางล้มลง ตามร่างกาย ใบหน้าล้วนมีแต่คราบน้ำซอสของหมูสามชั้น ซ้ำยังเอวเคล็ดยอก! ท่านว่าน่าขันหรือไม่”
องค์หญิงหลานซินได้ยินเช่นนั้นอารมณ์จึงดียิ่งยวด นางหัวเราะตาม “ฮ่าๆๆ...สมน้ำหน้านาง! น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง!”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า พลาดโอกาสดูละครฉากดีๆ เช่นนี้!” ฉีเหม่ยเหรินพูดอีกว่า “ได้ยินว่าต่อมาฮองเฮาถูกนกกระจอกเทศสองตัวตกใส่ศีรษะอีก ความเป็ไปได้ที่น้อยเยี่ยงนี้ล้วนเกิดขึ้นกับนาง ท่านว่านางโชคร้ายหรือไม่”
องค์หญิงหลานซินหัวเราะอย่างเบิกบานใจ “ยังมีเื่เช่นนี้อีกหรือ เช่นนั้นนางก็โชคร้ายจริงๆ!”
ฉีเหม่ยเหรินพูดอีกว่า “ตามที่ข้าว่า นางไม่มีชะตาชีวิตที่จะถวายงานปรนนิบัติฝ่าา พอเข้าถวายงานจึงได้รับผลกรรม”
ได้ยินคำว่า “ปรนนิบัติ” สองคำนี้ อารมณ์ที่เบิกบานใจขององค์หญิงหลานซินพลันมลายเสียสิ้น สีหน้าเคร่งขรึมลง “รอไปเถิด! หลังจากวันพรุ่งนี้ หากนางยังหาแมวเทพสามหางไม่ได้ ก็ไม่อาจไม่ไปจากวังหลวง นางอวดดีได้อีกไม่กี่วันหรอก”
ฉีเหม่ยเหรินพยักหน้าแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่สาว ท่านรู้เื่การประลองหมากล้อมที่ชุมนุมหมากล้อมเทียนหยวนในวันนี้หรือไม่”
องค์หญิงหลานซิน “ได้ยินมาบ้าง ทำไมหรือ”
ฉีเหม่ยเหริน “น้องสาวเพียงแต่ประหลาดใจ ฝ่าาดูเหมือนจะให้ความสำคัญต่อการประลองหมากล้อมครั้งนี้เป็อย่างมาก ได้ยินว่าการประชุมในท้องพระโรงในวันนี้เปลี่ยนเป็ชมการประลองหมากล้อม เวลานี้ฝ่าากำลังชมการเดินหมากกับเหล่าขุนนางใหญ่”
องค์หญิงหลานซินแปลกใจเล็กน้อย “อ้อ ถึงกับมีเื่เช่นนี้”
ฉีเหม่ยเหรินพยักหน้า “เป็เื่จริงแท้แน่นอน!”
องค์หญิงหลานซิน “อาจเป็เพราะการแข่งขันในวันนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของชุมนุมหมากล้อมของแคว้นเป่ยเยียน ดังนั้นฝ่าาจึงได้ให้ความสำคัญเช่นนี้กระมัง ในเมื่ออัจฉริยะเช่นพี่สามของข้ามิใช่ว่าจะถูกโจมตีให้พ่ายแพ้ได้ง่ายๆ!”
ฉีเหม่ยเหรินส่ายหน้า “แต่ได้ยินคนในวังหลวงพูดกัน ข้ารู้สึกว่าฝ่าาสนใจสตรีที่เป็ผู้เดินหมากคนนั้นมากกว่า อีกทั้งชื่อของนางและฮองเฮาต่างกันเพียงอักษรเดียว คนหนึ่งชื่อ เฟิงเฉี่ยน คนหนึ่งชื่อ เฟิ่งเฉี่ยน!”
“เ้ากำลังพูดว่าผู้ที่ประลองการเดินหมากกับพี่สามของข้า นางชื่อ เฟิงเฉี่ยนหรือ” คิ้วงามขององค์หญิงหลานซินขมวดมุ่น ในใจพลันบังเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีชนิดหนึ่ง
ฉีเหม่ยเหรินพยักหน้า “ใช่ นางชื่อ เฟิงเฉี่ยน เฟิงที่แปลว่าลม เฉี่ยน ที่แปลว่า จาง หรือ บาง!”
องค์หญิงหลานซินตกอยู่ในความคิดของตน
ยามนี้โจวหมัวมัวเดินเข้ามาจากด้านนอกส่งสัญญาณทางสายตาให้องค์หญิงหลานซิน “องค์หญิง ท่านสุขภาพไม่ดี อย่าได้เหน็ดเหนื่อยเกินไปนะเพคะ”
องค์หญิงหลานซินรับรู้จึงทำทีเป็กุมขมับ “น้องสาว ขอโทษจริงๆ วันนี้เปิ่นกงสุขภาพไม่ค่อยดีนัก คงไม่อาจสนทนากับเ้าได้...”
ฉีเหม่ยเหรินเป็คนฉลาดเช่นเดียวกัน นางฟังออกถึงความหมาย้าส่งแขกของอีกฝ่าย จึงลุกขึ้นทันที “เช่นนั้นพี่สาวพักผ่อนเถิด น้องสาวกลับไปก่อน”
รอกระทั่งฉีเหม่ยเหรินออกไปแล้ว องค์หญิงหลานซินเอามือออกจากขมับของตน สีหน้าเคร่งขรึม “มีเื่อะไร”
โจวหมัวมัวน้อมกาย “คนของไท่จื่อมาแล้วเพคะ!”
ดวงตาขององค์หญิงหลานซินเปล่งประกาย “รีบเรียกตัวเขาเข้ามา”
ไม่นานนัก โจวหมัวมัวเดินนำบุรุษในชุดดำเข้ามา บุรุษชุดดำเข้ามารายงานตัว “กระหม่อมถวายบังคมองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์หญิงหลานซินถามอย่างร้อนใจ “เสด็จพี่ให้เ้ามาด้วยเื่อันใด”
ชายชุดดำ “ไท่จื่ออยากให้พระองค์ช่วยตรวจสอบคนๆ หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ใครกัน” องค์หญิงหลานซินถาม
ชายชุดดำ “คนผู้นี้ชื่อ เฟิงเฉี่ยน ได้ยินมาว่าเป็นางกำนัลคนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
“เฟิงเฉี่ยนหรือ ไฉนจึงเป็นางอีกแล้ว” องค์หญิงหลานซินหัวใจบีบรัด ความรู้สึกว้าวุ่นใจที่มีอยู่แล้วเพิ่มมากขึ้นอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้