“เพราะคุณเป็ผู้ใหญ่แล้ว ความสามารถในการเข้าใจจึงดีกว่าพวกเด็กๆ ดังนั้นผมจะสอนคุณแบบเร็วๆ ก็แล้วกัน”
ซ่งหานเจียงมาถึงก็อธิบายให้ซย่านีฟังทันที ั้แ่เด็กจนโตเขาเป็คนที่เข้มงวดและจริงจังกับเื่การเรียนมาโดยตลอด เลยทำให้เขาตั้งมาตรฐานการเรียนเอาไว้สูงมากเช่นกัน “ผมหวังว่าคุณจะตั้งใจฟังผมอธิบายนะ ผมจะอธิบายอีกรอบ ดังนั้นอย่าวอกแวกเด็ดขาด”
ซย่านีพูดไม่ออกเลยทีเดียว “…” จู่ๆ เธอก็นึกเสียใจขึ้นมา ทำไมเธอถึงตอบตกลงเื่ที่จะให้ซ่งหานเจียงสอนหนังสือเธอด้วยนะ?
“เข้าใจไหม?” ซ่งหานเจียงเลิกคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม
“อ่อๆๆ เข้าใจแล้ว” ซย่านีตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ซย่านีนั่งข้างซ่งหานเจียงเหมือนเด็กนักเรียนชั้นประถม มือสองข้างของเธอวางอยู่บนโต๊ะ หลังตั้งตรงและดวงตาเป็ประกาย ั์ตาของเธอดูคล้ายกับเต็มไปด้วยความปรารถนาใคร่รู้
ซ่งหานเจียงเห็นเธอเป็เช่นนี้ก็รู้สึกพอใจขึ้นมาเล็กน้อยเขากล่าวว่า “ขั้นต่อไป ผมจะสอนพินอิน[1] ให้คุณก่อน หลังจากที่คุณเรียนพินอินจนเข้าใจดีแล้ว คุณก็สามารถเข้าใจหรืออ่านบทความในหนังสือเรียนของลูกๆ ได้ ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ คุณจะต้องขยันและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ หลังจากนั้นไม่นานคุณก็จะจดจำตัวอักษรได้อย่างแน่นอน”
เมื่อสบตากับซ่งหานเจียง ซย่านีก็รีบละล่ำละลักตอบ “อืมๆๆ ดีๆ”
ซ่งหานเจียงอธิบายต่อ “พินอินของเราแบ่งออกเป็พยัญชนะและสระซึ่งพยัญชนะแบ่งออกเป็ 23 ตัว และสระแบ่งออกเป็ 24 ตัวในจำนวนสระก็แบ่งออกเป็สระเดี่ยวและสระประสม โดยสระเดี่ยวมี 6 ตัวส่วนสระประสมมี 18 ตัว ในวันนี้เป้าหมายของพวกเราคือการเรียนรู้พยัญชนะต้นและสระทั้งหมด รวมถึงวิธีการสะกดคำโดยใช้พินอินด้วย”
ซย่านีอ้าปากค้างอย่างใ “เดี๋ยวก่อน แค่คืนเดียว? เรียนทั้งหมดเลยหรือ?”
ซ่งหานเจียงถามอย่างงๆ “ทำไม มีปัญหาอะไรงั้นหรือ?”
มีปัญหางั้นหรือ?
นั่นมันปัญหาใหญ่มากต่างหาก!
ซย่านีเอ่ยตอบ “คุณให้ฉันเรียนตั้งหลายอย่างแถมจะให้ฉันเข้าใจทั้งหมดในคืนเดียวเนี่ยนะ? คุณประเมินฉันสูงไปแล้วล่ะ!” ทฤษฎีพวกนี้เป็สิ่งที่มือใหม่อย่างเธอต้องเรียนรู้ภายในคืนเดียวหรือไง? เธอไม่ใช่อัจฉริยะเสียหน่อย!
ซ่งหานเจียงเริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง “ยังไม่ทันได้เริ่มเรียนเลย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเรียนได้หรือไม่ได้? หากจะเรียนต้องไม่กลัวความลำบาก ถ้าคุณยังมีทัศนคติต่อการเรียนแบบนี้ เมื่อไหร่จะสอบติดมหา’ลัยเล่า?”
ซย่านีสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางคิดว่า ‘ได้บทเรียนแล้วๆ คนฉลาดต้องรู้จักหุบปากเอาไว้’
“เอาล่ะ เดี๋ยวอ่านตามผมนะ...”
...................
“ฮ่าๆๆ นี่เธอเรียนพินอินกับสามีทั้งคืนเลยจริงๆ น่ะหรือ?” เซี่ยงเหมยได้ฟังที่ซย่านีบ่นอุบอิบ แล้วก็หัวเราะจนตัวโก่งอย่างอารมณ์ดี
“ฉันยังจะกล้าหลอกพี่ได้หรือไง?” ซย่านีกลอกตาแล้วกล่าวว่า “พี่ไม่รู้หรอก ว่าซ่งหานเจียงน่ะเรียกได้ว่าเป็คนที่จริงจังแล้วก็เข้มงวดกับการเรียนเอามากๆ พอสถานะจากสามีกลายมาเป็ครูสอนหนังสือบุคลิกของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับเป็อีกคนเลย อย่าเอาแต่มองว่าเขาหน้าตาเหมือนพวกหนุ่มน้อยหน้าขาวหรือท่าทางอ่อนปวกเปียกเลยล่ะ ตอนนั้นสีหน้าของเขาเคร่งขรึมมาก ฉันน่ะไม่รู้ว่าควรจะวางมือไปไว้ตรงไหนเลยด้วยซ้ำ แถมเมื่อคืนฉันยังเก็บเอาไปฝันแต่พวก ‘อา โอ เออ’[2] ทั้งคืนเลยนะ”
เซี่ยงเหมยหัวเราะหนักมากจนปวดท้อง เธอกล่าวกับซย่านีว่า “เช่นนั้นแล้วเธอเรียนเป็อย่างไรบ้าง? จำได้หมดหรือเปล่า?”
“ฉันจะเก่งขนาดนั้นได้ยังไงกันเล่า!?” พูดมาถึงตรงนี้ซย่านีก็โกรธขึ้นมา เธอกำมือแน่นพลางกล่าวว่า “เ้าสารเลวซ่งหานเจียงเอ๊ย เขาคิดว่าทุกคนบนโลกนี้ฉลาดเหมือนเขาหรือไง ให้ฉันเรียนพินอินทั้งหมดภายในคืนเดียวเนี่ยนะ นั่นมันเป็หลักสูตรของเด็กป.1 ที่ต้องเรียนกันถึงสองเดือนเต็มๆ แม้ว่าฉันจะโตแล้วและสมองดีกว่าเด็กเล็กๆ เพียงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่าแค่มองครั้งเดียวก็สามารถจำทั้งหมดได้หรอกนะ”
“เขาให้เธอเรียนทั้งหมดแต่เธอทำไม่ได้ แล้วจากนั้นเล่า? เขาพูดว่าอย่างไร?” เซี่ยงเหมยกุมท้องไว้พยายามอย่างหนักที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“เขายังจะพูดอะไรได้อีก? ดวงตาของเขาน่ะพูดออกมาแทนเขาหมดแล้ว! เขามองฉันเหมือนกับกำลังมองคนที่โง่อันดับหนึ่งในโลกเลยน่ะสิ!” พอพูดมาถึงตรงนี้ซย่านีก็รู้สึกว่าเธอเริ่มจะปวดหัวขึ้นมาแล้ว ทว่าหญิงสาวก็ยังคงบ่นต่อไป “ตอนแรกเขาเอาพินอินทั้งหมดมาให้ฉันท่องก่อนหนึ่งรอบ ฉันยังไม่ทันได้จำอะไรเลยเขาบอกให้ฉันท่องพินอินซ้ำอีกรอบทันที พินอินรวมกันมีตั้งเกือบห้าสิบตัวเชียวนะแต่ละอันก็เหมือนกับภาพวาดผีบอกยังไงยังงั้น ฉันจะไปจำได้อย่างไรกันเล่า พอฉันเรียนไปถึงส่วนท้ายๆ ส่วนหน้าที่เคยเรียนไปฉันก็ลืมทันที พอเขาให้ฉันอ่าน ฉันก็บอกว่าฉันอ่านไม่ออกเพราะลืมไปหมดแล้ว ต่อมาพี่รู้ไหมว่าเขาพูดว่าอะไรกับฉัน?”
เซี่ยงเหมยถามต่อ “พูดว่าอะไรงั้นหรือ?”
“เขาถึงขั้นพูดว่าทัศนคติด้านการศึกษาของฉันไม่ถูกต้องน่ะสิ!” ซย่านีขึ้นเสียงเมื่อพูดมาถึงตอนนี้ น้ำเสียงที่แหลมคมของเธอนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ทัศนคติของฉันไม่ถูกต้องตรงไหนกัน? ฉันก็แค่ความจำไม่ดีแค่นั้นเอง! อีกอย่างเขาว่าฉันต่อหน้าเด็กๆ ด้วยนะ เขาไม่คิดว่าฉันจะขายหน้าบ้างหรือไง? แล้วทีนี้พวกเด็กๆ จะมองฉันอย่างไรเล่า?”
เซี่ยงเหมยรู้สึกว่าเื่นี้ซ่งหานเจียงเองก็ทำไม่ค่อยถูกนัก จึงร่วมกันต่อว่าเขาอย่างขุ่นเคืองไปพร้อมๆ กับซย่านี “ใช่แล้วนี่มันออกจะเกินไปหน่อยแล้วมั้ง คำพูดเช่นนี้สมควรพูดต่อหน้าเด็กๆ งั้นหรือ? หากเขามีข้อเสนอแนะอะไร ก็ควรเก็บเอาไว้บอกเธอทีหลังก็ได้นี่”
“ถูก...ไม่สิ มีอะไรถูกต้องกันล่ะ!” ซย่านีตบโต๊ะ “ทัศนคติของฉันมันไม่ถูกต้องตรงไหน? เขาไม่สนเลยว่าตอนนั้นเราจะอยู่ต่อหน้าลูกๆ หรือไม่แต่เขาไม่ควรพูดแบบนั้นกับฉัน! ตอนนั้นฉันน่ะไม่ยอมเขาแล้ว ก็เลยะโใส่เขากลับไปว่า เขาน่ะสอนหนังสือไม่เป็ ใครเขาสอนพินอินทีเดียวหมดสี่สิบกว่าตัวกัน? ขนาดช่างตัดเสื้อในร้านตัดเสื้อ หากเขาจะสอนลูกศิษย์ก็ยังไม่พูดถึงขั้นตอนการลงมือทำเสื้อผ้าในครั้งแรกเลย เขาไม่มีทางให้ลูกศิษย์ตัดเสื้อผ้าหลังจากฟังอาจารย์เพียงครั้งเดียวหรอกนะ?”
เซี่ยงเหมยยื่นแก้วน้ำให้กับซย่านี “โต้กลับได้ดี! จากนั้นเล่าสามีของเธอว่าอย่างไรบ้าง?”
ซย่านีหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาแล้วดื่มมันให้ชุ่มคอ จากนั้นก็เล่าต่อ “เขาคิดว่าฉันพูดมีเหตุผลอยู่บ้างน่ะสิ จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มสอนฉันทีละนิดทีละหน่อย”
เซี่ยงเหมยพยักหน้า “นี่ไม่ใช่ว่าดีมากหรอกหรือสามีของเธอก็ยังฟังความเห็นของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนดื้อดึงอะไร”
ซย่านีส่งเสียง ‘เหอะ’ หนึ่งที จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “เขาจะดื้อดึงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเหตุผลเพียงพอหรือเปล่า ถ้ามีพอเขาถึงจะยอมฟังคุณ หากเขาคิดว่าเห็นผลของคุณไม่เพียงพอล่ะก็ ต่อให้ตีเขาจนตายเขาก็ไม่มีทางฟังคุณหรอก” ซย่านีนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเื่เมื่อคืนต่อ “ถึงแม้ซ่งหานเจียงจะสอนช้าลงแต่ฉันก็ทำไม่ได้อยู่ดี สมองฉันตามเื่ที่เขาสอนไม่ทันด้วยซ้ำ ก่อนที่ฉันจะจำสระเดี่ยวได้เขาก็เริ่มสอนพยัญชนะให้ฉันแล้ว ยังเรียนพยัญชนะได้ไม่ทันดีเขาก็เริ่มสอนฉันสะกดคำแล้ว! ผลสุดท้ายก็คือเรียนเละเทะไปหมด ทำเอาฉันปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาเลย ฉันเดาว่าพอสอนถึงส่วนท้ายของบทเรียน เขาก็จะเริ่มสงสัยขึ้นมาอีกแล้วก็ถามฉันซ้ำว่า ‘เธอจำไม่ได้จริงหรือ?’ ‘เมื่อกี้เธอตั้งใจฟังจริงๆ หรือเปล่า?’ หรือไม่ก็ ‘เธอใช้สมองแล้วใช่ไหม’ แบบนี้วนไปจนทำให้ฉันเริ่มสงสัยตัวเองแล้ว ว่าฉันน่ะเป็คนโง่คนหนึ่งใช่ไหม?”
เซี่ยงเหมยก้มหน้าลงหัวไหล่ของเธอสั่นอย่างแรง ตอนนี้เธอกลั้นหัวเราะไว้จนทรมานไปหมด
“พอได้แล้ว พี่สะใภ้ อยากขำก็ขำออกมาเถอะ ฉันรู้ว่ามันตลกมาก” ซย่านีมีสีหน้าจนปัญญา
เซี่ยงเหมยทนไม่ไหวอีกต่อไปเธอเริ่มะเิหัวเราะดังลั่นจนน้ำตาไหลออกมา
รอจนเซี่ยงเหมยหัวเราะเสร็จ ซย่านีก็ถามเธออย่างจริงจังว่า “ฉันโง่มากเลยหรือพี่?”
เซี่ยงเหมยหัวเราะออกมาอีกครั้งเธอเช็ดน้ำตาตรงหางตา จากนั้นก็กล่าวว่า “ไม่ๆๆ เธอไม่ได้โง่หรอก แค่คืนเดียวเธอก็สามารถจำพินอินได้เกือบทั้งหมด แบบนี้ก็นับว่าดีมากแล้วจริงๆ ...ก็แค่สามีของเธอน่ะฉลาดเกินไปต่างหาก ตอนที่ฉันเพิ่งจะแต่งงานฉันก็ได้ยินแม่สามีเคยพูดถึงสามีของเธอนะ เหมือนจะเป็ตอนปี 58 ที่แม่สามีได้สอนพินอินในโรงเรียนครั้งแรก พวกเด็กๆ คนอื่นเรียนกันอย่างไรก็ไม่เข้าใจสักทีแต่สามีของเธอน่ะ ฟังคุณครูสอนแค่ครั้งเดียวก็จำได้หมดเลย สำหรับเขาแล้วพินอินนั้นเป็สิ่งที่ง่ายมากจริงๆ อีกอย่างนะ เธอเห็นไหมว่าเขาสอบติดมหาวิทยาลัยปักกิ่งด้วยซึ่งที่นั่นน่ะเป็มหาวิทยาลัยที่รวบรวมคนฉลาดๆ ในประเทศเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นเขาน่าจะไม่รู้ว่าสติปัญญาของคนธรรมดาๆ น่ะ เฉลี่ยแล้วเป็อย่างไรล่ะมั้ง”
[1] พินอิน 拼音 คือ ระบบในการถอดเสียงภาษาจีนมาตรฐานซึ่งความหมายของพินอินคือ "การรวมเสียงเข้าด้วยกัน" พินอินออกแบบและพัฒนาด้วยคณะกรรมการปฏิรูปอักษรแห่งชาติจีน ่ปีค.ศ. 1955-1957 และทางรัฐบาลจีนประกาศให้ใช้กันทั่วประเทศในปี 1958
[2] อา โอ เออ a o e คือ หนึ่งในสระเดียว (มี 6 ตัว) จากสระของพินอิน
