ั้แ่เฉียวเยว่รู้ว่าต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าท่านตาจะออกเดินทางท่องเที่ยวเป็เวลาหนึ่งปี นางก็ตื่นเต้นอยากติดตามไปด้วย สองสามวันนี้จึงทำตัวดี น่ารักเชื่อฟังเป็พิเศษ เพื่อที่จะได้มีโอกาสไปด้วยกัน
ไท่ไท่สามได้ทราบทุกอย่างจากบิดาแล้ว แต่แสร้งทำเป็ไม่รู้ อยากดูว่าเด็กน้อยอย่างนางจะทำตัวดีได้ถึงเมื่อไร
สิ่งที่เฉียวเยว่ไม่รู้ อาจารย์ฉีกลับรู้อยู่แก่ใจ คำกล่าวของหรงจ้านประโยคนั้นหาใช่การยิงธนูที่ไร้เป้า และไม่ใช่ว่าจะเดินทางพร้อมกับพวกเขาจริงๆ ตรงกันข้าม อาจารย์ฉีรู้สึกว่าเขาจริงใจต่อเฉียวเยว่ และทั้งหมดนั้นก็มิได้ทำเพื่อตนเองเลย
่นี้จวนซู่เฉิงโหวเกิดเื่วุ่นวายสารพัด เชื่อว่าเขาก็คงไม่อยากให้แม่หนูน้อยได้รับผลกระทบ
ฉีอันเป็บุรุษย่อมจะไม่เป็อันใด ผู้ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่มักเป็สตรีมากกว่า
ด้วยเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์และนิสัยใจคอ
ทว่าอาจารย์ฉีก็ได้แต่กำชับกับบุตรสาวว่าอย่าพูดอะไรมาก
แม้คราก่อนไท่ไท่สามจะโกรธจัดเพราะเื่ของอวี้อ๋อง แต่นางก็ไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจเขา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว อวี้อ๋องกลับทำให้นางรู้สึกสบายใจกว่าิ่จื้อรุ่ยกับรัชทายาท เพราะถึงอย่างไรเขาก็โตเป็ผู้ใหญ่แล้ว
สาเหตุที่ทำให้นางบันดาลโทสะคราก่อนเพราะเฉียวเยว่พูดเล่นในสิ่งที่ร้ายแรงเกินไป นางไม่ใช่เด็กสองสามขวบอีกแล้ว จะปล่อยให้พูดเหลวไหลไม่ได้
"คุณหนู วันนี้ท่านจะไปดูคุณหนูแปดที่เรือนหลักหรือไม่เ้าคะ?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่ล่ะ ท่านอาคงยุ่งอยู่กับการย้ายบ้านกระมัง?
นางรู้ว่า่นี้ท่านอากำลังย้ายกลับมาอยู่เมืองหลวง แม้ไม่ทราบว่าผลการตรวจร่างกายตอนนั้นเป็อย่างไร แต่เฉียวเยว่รู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่าง มิเช่นนั้นแล้ว ไหนเลยจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา
นางยกมือขึ้นมานับอย่างถี่ถ้วน ่นี้ตนเองไม่ได้อยู่ ในจวนเกิดเื่ราวไม่น้อย
ตัวอย่างเช่น พี่หญิงหรงเยว่สอบเข้าสำนักศึกษาสตรีไม่ผ่าน แต่ท่านลุงใหญ่กลับใช้เส้นสายฝากฝังให้นางได้เข้าเรียน
พูดตามตรง นางไม่คิดว่าจะมีเื่เช่นนี้ในยุคสมัยนี้ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ คิดดูแล้วท่านลุงใหญ่คงทำเพื่อรักษาหน้าให้หวังหรูเมิ่ง ถึงอย่างไรท่านลุงรองก็ไม่สนใจเื่เหล่านี้อยู่แล้ว เมื่อไม่ใส่ใจ ไหนเลยจะเข้าไปจัดการ
แต่ในความคิดของเฉียวเยว่ การเป็เด็กฝากใช่ว่าจะเป็เื่ดีเสมอไป ได้ยินมาว่าทุกปีจะมีนักเรียนหญิงที่ใช้เส้นสายฝากฝังเข้ามาสองสามคน แต่พวกนางย่อมแตกต่างจากศิษย์หญิงภาคปรกติทั่วไป แม้จะไม่ถูกเหน็บแนมค่อนแคะอย่างออกหน้าออกตา แต่แท้จริงแล้วก็ไม่โสภาเท่านั้น ความกดดันของหรงเยว่ก็จะยิ่งมากขึ้น ไม่สู้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาสตรีธรรมดาทั่วไปยังจะดีกว่า แต่นางยังเด็กพูดไปก็ไร้ประโยชน์ จำต้องหุบปากเพียงอย่างเดียว
นอกจากเื่นี้ยังมีอย่างอื่นอีกสองสามเื่
ตัวอย่างเช่น ป้าสะใภ้ใหญ่กับอนุหวัง ได้ยินว่าหวังหรูเมิ่งสร้างปัญหามิใช่น้อย ส่วนป้าสะใภ้รองก็ไม่สนใจบุตรสาวของตนเองเอาแต่ไปยุ่งเกี่ยวกับเื่เหล่านี้ เฉียวเยว่ไม่อยู่แต่กลับรู้ทุกอย่าง
ทุกครั้งที่นึกถึงเื่เหล่านี้ นางก็รู้สึกปลงตก ดูท่าครอบครัวตระกูลใหญ่โตก็มิได้สมปรารถนาไปเสียทุกเื่
นางอาบน้ำเสร็จ ก็ยืดตัวบิดี้เี ชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ นางทำท่าล้อเล่นกับอวิ๋นเอ๋อร์ "เ้าดู ข้าเอาผมยาวมาปรกไว้ข้างหน้าเช่นนี้ดูคล้ายผีสาวหรือไม่?"
ซุกซนเช่นนี้ไม่มีใครเกิน!
อวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะ "ไม่เหมือน ไม่เหมือนเลยเ้าค่ะ คุณหนูของพวกเราแสนดีเพียงนี้ จะเหมือนได้อย่างไร"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ก่อนหันกลับมา "เสี่ยวชุ่ย เ้ากลัวหรือไม่?"
หลังจากพักรักษาตัวมาหนึ่งปี เสี่ยวชุ่ยก็หายดี กลับมาจากจวนท่านตาครานี้ เสี่ยวชุ่ยก็กลับมาปรนนิบัตินางดังเดิมแล้ว
เฉียวเยว่มีความสุขที่สุดก็คือเื่นี้
"เสี่ยวชุ่ย... เ้ามองข้า เ้ากลัวหรือไม่?" นางพูดอีก
เสี่ยวชุ่ยสั่นศีรษะ ใบหน้าทอยิ้ม "ไม่กลัวอยู่แล้วเ้าค่ะ คุณหนูของพวกเราน่ารักเสียขนาดนี้ บ่าวจะกลัวได้อย่างไร"
เฉียวเยว่เตรียมจะกระโจนเข้าไปกอดเสี่ยวชุ่ย แต่อวิ๋นเอ๋อร์รีบคว้านางไว้ "ตายแล้ว คุณหนูของบ่าว ท่านเบาหน่อยได้หรือไม่ ถึงเสี่ยวชุ่ยจะหายดีแล้ว แต่นางยังรับแรงปะทะเช่นนี้ไม่ไหวนะเ้าคะ"
อวิ๋นเอ๋อร์เป็คนรอบคอบ เสี่ยวชุ่ยหัวเราะตาม
แม้ว่าอวิ๋นเอ๋อร์กับเสี่ยวชุ่ยจะได้ร่วมงานกันเป็ครั้งแรก แต่เมื่อก่อนเฉียวเยว่ก็ไปเยี่ยมเสี่ยวชุ่ยทุกวัน อวิ๋นเอ๋อร์กับนางจึงนับว่าคุ้นเคยกันอยู่ เมื่อได้ัักันมากขึ้น ก็เข้ากันได้ดี
แท้จริงแล้วพวกนางนับว่าเป็สาวใช้ประเภทเดียวกัน คือเป็คนของผู้าุโในจวน หาใช่สาวใช้ที่ซื้อตัวมาจากด้านนอก
มารดาอวิ๋นเอ๋อร์คือหมัวมัวของฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนป้าของเสี่ยวชุ่ยก็คือหลันหมัวมัว
"คุณหนู นายท่านสามสอบเสร็จแล้ว ต่อไปท่านก็จะสามารถอยู่บ้านได้อย่างสุขสบายเสียที"
เสี่ยวชุ่ยอมยิ้ม "บ่าวคงไม่มีโอกาสติดตามท่านออกไปข้างนอก
"ไม่หรอก หากท่านตาพาข้าออกไปท่องโลกกว้าง พวกเราก็จะมีโอกาสอยู่ด้วยกันมากขึ้น นึกแล้วก็รู้สึกว่ายอดเยี่ยมไปเลย"
นางคิดถึงเื่นี้ทุกเมื่อเชื่อวัน
เสี่ยวชุ่ยขำพรืด เอ่ยว่า "เช่นนั้นบ่าวจะรอให้คุณหนูพาไปนะเ้าคะ"
เฉียวเยว่พยักหน้าตอบอื้มๆ อย่างเบิกบาน
"ออกไปเที่ยวดีมาก ได้อยู่กับท่านตาก็ดีมาก"
ไม่ว่าอย่างไรล้วนดีทั้งสิ้น แท้จริงแล้วก็ยากที่จะเลือกได้ แต่พอนึกว่าั้แ่ข้ามภพมา นางยังไม่เคยไปที่ไหนเลย รู้สึกว่าค่อนข้างเสียเปรียบ คนเราอยู่ในโลก ก็ต้องเดินทางไปดูให้เห็น
แต่ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้แตกต่างจะที่นางรู้จัก ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้นางยิ่งอยากไป
"ถึงอย่างไรก็เป็เื่ของปีหน้า ่นี้คุณหนูต้องทำตัวดีๆ ไม่แน่ว่านายท่านสามกับไท่ไท่อาจจะตกลงก็ได้"
"ถูกต้อง" เฉียวเยว่ตอบทันควัน
นางก็คิดเช่นนี้
แต่นี่ไม่ใช่เื่สำคัญที่สุดตอนนี้ หากถามว่าเื่ไหนสำคัญที่สุด เฉียวเยว่คิดว่าเป็เื่การสอบเคอจวี่ของบิดา ไม่รู้ว่าเขาสอบเป็อย่างไรบ้าง
"บิดาข้าเป็มีความรู้ความสามารถที่สุด หากสอบได้ไม่ดีต้องเป็เพราะผู้คุมข้อสอบมีตาแต่หารู้จักหยกเลี่ยมทอง [1]"
เฉียวเยว่ประกาศเสียงดัง
ซูซานหลางเดินมาถึงประตูแทบจะสะดุดล้ม แต่กลับมีความสุขจนไม่อาจควบคุมความรู้สึกในใจได้
ได้ยินอย่างนี้ เขาก็ไม่เข้าห้องแล้ว แต่หมุนตัวไปชวนพี่ใหญ่กับพี่รองดื่มสุรา ไม่รู้เพราะเหตุใด นึกถึงบุตรสาวรู้ความเช่นนี้ เขาก็นึกอยากจะดื่มสักจอกไม่คุยอย่างอื่นแล้ว
บางครั้งการสนทนากับคนปากสว่างก็เป็เื่ที่ดีมาก
ยกตัวอย่างเช่นพี่รอง
ตนเองมีหน้าที่แค่ถ่ายทอด หึๆ แต่ความเฉลียวฉลาดของบุตรสาวต้องให้ผู้อื่นเป็คนพูด
แล้วก็เป็ไปตามคาดหมาย เช้าวันต่อมาเฉียวเยว่มาถึงเรือนหลักเห็นทุกคนมองนางยิ้มๆ นางตรวจสอบเสื้อผ้าของตนเอง ก็ไม่รู้สึกว่ามีส่วนไหนไม่เหมาะสม นางยกมือเกาศีรษะอย่างข้องใจ "หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือเ้าคะ?"
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มตอบว่า "ย่อมไม่มี"
เฉียวเยว่ยิ่งงุนงง
นางกวาดสายตามองคนในห้อง เห็นหวังหรูเมิ่งแต่งกายเช่นสตรีที่ออกเรือนแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับรอยยิ้มเสแสร้งทำเป็สนิทสนมเมื่อก่อน ตอนนี้นางดูเ็ากว่าเดิมมาก มวยผมเกล้าสูงยิ่งแลดูเฉียบคม
แต่ไท่ไท่ใหญ่ที่อยู่ข้างกายนางเม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เฉียวเยว่รู้ว่าทุกคนไม่อยากให้นางรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในเรือนหลังเ่าั้ แต่ถึงแม้เฉียวเยว่จะกลับมาเพียงไม่กี่ครั้งก็ยังมองออก เพียงแค่ไม่พูดเท่านั้นเอง
อย่างไรเสียนางก็เป็คนข้ามภพมา ไม่มีทางดูสิ่งเหล่านี้ไม่ออก
แต่นางไม่อยากพูดอะไรมาก เพียงคุยกับฮูหยินผู้เฒ่า "ท่านย่า ข้าผิดปรกติตรงไหนหรือเ้าคะ"
"อื้ม มีตาแต่หารู้จักหยกเลี่ยมทอง" ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฉียวเยว่พลันนึกถึงคำพูดของตนเองเมื่อวาน ก็ทำหน้าละห้อย "ไม่นึกว่าจะมีวันที่ข้าถูกคนแอบฟังข้างกำแพง เหมือนที่ข้าไปแอบฟังผู้อื่นเลย"
แม่หนูน้อยกลับรู้สึกห่อเหี่ยว
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะกล่าวว่า "ใช่สิ คนที่แอบฟังยังเป็บิดาเ้าเองอีกด้วย เขาถึงกับไปโอ้อวดให้พวกท่านลุงรองของเ้าฟัง"
เฉียวเยว่ปิดหน้า "ไอ้หยา ถึงกับถูกเ้าตัวได้ยินเองกับหู"
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางน่ารักเช่นนี้ก็ยิ้มพลางลูบศีรษะ "เ้าเชื่อมั่นในตัวบิดา ย่อมเป็เื่ดีที่สุด"
"ท่านพ่อย่อมดีมาก ญาติของข้าทุกคนล้วนยอดเยี่ยม" เฉียวเยว่กล่าวอย่างจริงจัง
ความกระตือรือร้นของเฉียวเยว่มักทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ดีเป็พิเศษเสมอ เป็เหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยที่สดใสตลอดเวลา
"แล้ว่นี้เฉียวเยว่อยู่จวนสกุลฉีได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง"
"เยอะมากเลยเ้าค่ะ" เฉียวเยว่ตอบ
"่นี้ข้ากำลังอ่าน 'จือจื้อทงเจี้ยน' [2] อยู่เ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่า "ท่านตาเ้าให้เ้าอ่านเล่มนี้เชียวรึ?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ท่านตาบอกว่า สตรีฉลาดรอบรู้ถึงจะไม่ถูกคนเอาเปรียบเ้าค่ะ"
ฟังมาถึงตรงนี้ หวังหรูเมิ่งก็หัวเราะเยาะออกมา
"ดูเหมือนน้องสาวจะไม่เห็นพ้องกับคำกล่าวนี้ ไม่ทราบว่าน้องสาวมีความคิดเห็นสูงส่งอันใด?"
นางพึงใจอย่างยิ่งที่จะทำให้หวังหรูเมิ่งกลายเป็ศัตรูของทุกคน
รอยยิ้มของหวังหรูเมิ่งเ็าขึ้นหลายส่วน "ไท่ไท่กล่าวอันใด ข้าไหนเลยจะไม่เห็นพ้องเล่า อาจารย์ฉีเป็พระอาจารย์ของฮ่องเต้ คำพูดของเขาย่อมถูกต้องที่สุด ข้าไหนเลยจะกล้าคัดค้าน ที่ข้าหัวเราะเพียงเพราะนึกเวทนาที่ตนเองไม่มีผู้ใหญ่เช่นนี้มาว่ากล่าวตักเตือน เป็ผลให้ข้าตัดสินใจผิดพลาดในหลายเื่"
"ตนเองจะมีญาติเป็เช่นไร หาใช่สิ่งที่สามารถเลือกได้ แม้จะไม่ดีอย่างไรก็ต้องยอมรับ มิเช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า เ้าว่าจริงหรือไม่?" ไท่ไท่ใหญ่ยิ้มเยาะ
เฉียวเยว่แทบจะไม่เคยเห็นป้าสะใภ้ใหญ่กล่าววาจาเช่นนี้ นางมักยิ้มแย้มสงวนถ้อยคำ ไม่พูดมาก
เห็นได้ว่าเื่ครานี้นางโกรธมากเพียงใด
"ถูกต้อง ได้แต่ต้องยอมรับ มิเพียงแต่ข้า ผู้อื่นก็เช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรก็ต้องทน" หวังหรูเมิ่งมองไท่ไท่ใหญ่ปราดหนึ่ง แล้วพูดอีกว่า "มีบางเื่ แม้ไม่พึงพอใจก็ไร้หนทาง"
แม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดอะไรอย่างชัดเจน แต่เ้ามาข้าไป ซัดอาวุธลับใส่กันไม่หยุด เฉียวเยว่มีเวลาอยู่ในบ้านไม่มาก ถึงจะรู้ว่าพวกนางไม่ลงรอยกัน แต่ไม่รู้รายละเอียดสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงจะพอฟังเข้าใจบ้าง แต่ก็เหมือนูเาที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกปกคลุม
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นพวกนางยิ่งพูดก็ยิ่งไร้เหตุผล จึงตัดบทเสีย "พอแล้ว พวกเ้าหัดคำนึงถึงผู้อื่นบ้าง"
หลังจากนั้นก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะว่ากล่าวตักเตือนทั้งสองคน "ครอบครัวต้องสมัครสมานปรองดองถึงจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง บุรุษต้องสร้างความสำเร็จนอกบ้าน ผู้เป็ภรรยาควรจัดการเรือนหลังให้สงบเรียบร้อย มิใช่สร้างปัญหา"
"ท่านแม่ สะใภ้ทราบแล้วเ้าค่ะ" ไท่ไท่ใหญ่ตอบ
หวังหรูเมิ่งทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
"ท่านแม่ ท่านต้องจัดการให้ข้านะเ้าคะ" เสียงร้องห่มร้องไห้ดังเข้ามา เ้าของเสียงนี้ก็คือไท่ไท่รอง
ม่านประตูเลิกขึ้น ไท่ไท่รองแสร้งรำพึงรำพัน "ท่านแม่ ท่านดูคนของน้องสะใภ้สามสิเ้าคะ เดี๋ยวนี้แม้แต่ลานบ้านก็ไม่ให้ข้าเข้าแล้ว ข้า..."
ยังไม่ทันพูดจบ เห็นเฉียวเยว่นั่งอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า สายตาก็จดจ้องมาที่นาง
คำพูดส่วนที่เหลือจำต้องกลืนกลับเข้าไปก่อน
เฉียวเยว่หันมาพูดกับฮูหยินผู้เฒ่า "ท่านย่า บิดาข้ากลัวชนเครื่องลายคราม [3] จึงสั่งบ่าวไพร่ไว้นานแล้ว เื่นี้ท่านย่าก็ทราบ ป้าสะใภ้รองจะมาฟ้องเพื่ออันใด? เมื่อนางก็ทราบดีอยู่แล้ว"
ชั่วขณะนั้นรอบด้านก็เงียบกริบ
...
[1] มีตาแต่หารู้จักหยกเลี่ยมทอง หมายถึงคนไร้วิสัยทัศน์
[2] จือจื้อทงเจี้ยน เป็ชื่อบันทึกหน้าประวัติศาสตร์จีน ั้แ่ ปีก่อน ค.ศ.403 จนถึง ปี ค.ศ.959 รวมเป็เวลาใน ปวศ. 1362 ปี บันทึกเื่ราวทั้งด้านการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม และด้านต่างๆ อย่างครบถ้วน ผู้บันทึกและรวบรวมพงศาวดารดังกล่าวคือ ซือหม่ากวง หนึ่งในขุนนางผู้ที่มีชื่อเสียง เปี่ยมด้วยความสามารถ สมถะ มัธยัสถ์ ใจซื่อ มือสะอาดที่สุด และทำงานรับใช้ราชวงศ์ซ่งถึงสี่แผ่นดิน
[3] ชนเครื่องลายคราม หมายถึง การถูกผู้อื่นสร้างสถานการณ์มาใส่ความ แล้วบีบบังคับให้แสดงความรับผิดชอบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้