ดาร์เรลไม่เพียงแค่ไล่ฆ่าพวกแวมไพร์กระจอกๆ แต่ในระหว่างนั้นเขาก็ตามสืบหาที่อยู่ของคนในตระกูลเพอร์บีไปด้วย เพราะข่าวล่าสุดที่เขาได้ยินนั้นคือต้องขึ้นไปทางตอนเหนือของรัฐ
“รู้จักคนในตระกูลเพอร์บีไหม ?”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบในขณะที่มีดเงินปักตรึงร่างของแวมไพร์หนุ่มเอาไว้กับต้นไม้
“ถึงรู้ก็ไม่บอกหรอกเว้ย !” เบต้าแวมไพร์ะโเสียงดังลั่นป่า
“พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่รู้จักสินะ เสียเวลาชะมัด”
สิ้นเสียงพูดของแวมไพร์ตรงหน้า ดาร์เรลก็ปลิดชีพมันทันที หรือว่าข้อมูลที่เขาได้มามันจะไม่ใช่ความจริง พอเขาขึ้นเหนือกลับไม่พบแม้แต่วี่แววของคนในตระกูลเพอร์บี
ราวกับว่ายิ่งเขาตามหา ตระกูลเพอร์บีกลับยิ่งเลือนหายไปกับความมืดมิดของรัตติกาล
“ดาวคืนนี้สวยดีแหะ”
ั์ตาสีฟ้าคู่สวยมองไปยังกลุ่มดาวที่เต็มท้องฟ้าอย่างแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้เห็นท้องฟ้างดงามเช่นนี้ เสียงหวานเอ่ยขึ้นในขณะเดินเท้ากลับเข้าสู่ตัวเมืองเพื่อนั่งรถไฟกลับบ้านของตน
“โอเมก้าคนสวยมาทำอะไรแถวนี้คนเดียวดึกๆ เนี่ย ไม่กลัวใครจะดักฉุกไปทำมิดีมิร้ายหรืออย่างไร ?”
เสียงทุ้มดังกังวานทำให้เท้าเรียวต้องชะงักนิ่ง ก่อนหันไปมอง ดาร์เรลรู้สึกได้ถึงพลังและความน่าเกรงขาม
ร่างสูงแต่งตัวดูดีเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน รอยยิ้มประดับบนใบหน้าหล่อ ดาร์เรลมองอีกฝ่ายอย่างฉงนใจเพราะเป็ครั้งแรกที่เขาแยกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็มนุษย์ธรรมดา แวมไพร์ มนุษย์หมาป่า หรือปีศาจจำพวกไหน
แต่สิ่งหนึ่งที่เขารับรู้ได้คือฟีโรโมนอันเข้มข้นที่แผ่ขยายออกมาจากคนตรงหน้า ร่างสูงเป็อัลฟ่าเอสแน่นอนถึงได้มีพลังกดข่มเขามากถึงเพียงนี้ ร่างบางรู้สึกสั่นสะท้านและอ่อนแรงลงอย่างไม่เคยเป็มาก่อน แต่ทว่าดาร์เรลพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองต้องทรุดตัวลงกับฟื้น
“ทนได้อย่างนั้นเหรอ ไม่เลวเลยนิ เธอเก่งกว่าที่คิดแต่ควรฉลาดกว่านี้สักหน่อย ถ้าฉันเป็เธอ ฉันจะไม่เอาชีวิตมาทิ้งเพราะเพอร์บี เลิกตามหา เลิกอยากรู้เกี่ยวกับเพอร์บีซะ”
“คุณ คุณ…รู้จักตระกูลเพอร์บีอย่างนั้นเหรอ ?”
เพราะความกดดันที่น่าอึดอัดนั่นทำให้ดาร์เรลเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องตอบ ฉันมีหน้าที่แค่มาเตือนเท่านั้น พวกเราอยู่อย่างสงบมานาน อย่าได้คิดจะย่างกลายเข้ามาใกล้พื้นที่ของเรา”
น้ำเสียงมีพลังเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างเยือกเย็นและดุดัน ราวกับคมมีดที่บาดลึกจิตใจของอีกฝ่าย ั์ตาคมมองโอเมก้าร่างบางใบหน้าสวยด้วยแววตาที่ยากเกินจะคาดเดา
“คุณ หรือว่า…คุณเป็ คนของตระกูลเพอร์บีอย่างนั้นเหรอ ใช่หรือเปล่า ?”
ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแรงลงมากแต่ความอยากรู้กลับมีมากกว่า ดาร์เรลถึงเค้นแรงทั้งหมดที่เหลือในการถามสิ่งที่ตนนั้นอยากรู้
“อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้” ร่างสูงแสยะยิ้มให้กับคำถามของร่างบางและตอบอย่างมีเลศนัย
“แล้วทำไมคุณต้องมาเตือนผมด้วย ?”
“ก็แค่เตือนด้วยความหวังดี ไม่ได้หรือไง ?”
ถ้าร่างสูงตรงหน้าหวังดีต่อเขาจริงๆ คงไม่ตั้งใจปล่อยฟีโรโมนกดดันใส่เขาอย่างตอนนี้แน่ คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความสงสัย และใบหน้าสวยที่เริ่มบิดเบี้ยว
“ครับ ผม…อึก…ขอถามได้ไหม ?” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างสั่นเครือ ลมหายใจเริ่มเหนื่อยหอบ
“ครับ ?”
“คุณเป็อะไร มนุษย์หรือปีศาจ ?”
ดาร์เรลมั่นใจว่าคนตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่นอน ไม่ใช่นักล่าปีศาจเหมือนกันกับเขา
“นั่นก็ไม่ใช่เื่ที่ฉันจะต้องตอบเช่นกัน ฉันต้องไปแล้วละ อย่าลืมที่ฉันเตือน หวังว่าเราจะไม่เจอกันอีก เพราะครั้งหน้าเธออาจจะไม่มีลมหายใจได้ยืนคุยกับฉันอย่างตอนนี้”
สิ้นเสียงทุ้มความเยือกเย็นทำให้ขนลุกซู่ไปทั่วร่างก่อนที่ดาร์เรลจะทรุดตัวลงนั่งที่พื้นดิน ทุกอย่างพลันสลายหายไปต่อหน้า ดาร์เรลรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือแวมไพร์อัลฟ่าเอสอย่างแน่นอน ร่างสูงทิ้งไว้เพียงกลิ่นฟีโรโมนและความหวาดกลัวในจิตใจ เป็ครั้งแรกที่ดาร์เรลรู้สึกหวาดกลัวต่อการเผชิญหน้ากับแวมไพร์ เขามั่นใจว่าแวมไพร์เมื่อครู่ไม่ได้มีพลังแค่เพียงที่เขาเห็น ั์ตาคู่คมนั้นดูน่าเกรงขามกว่าแวมไพร์ตนไหนที่ตัวเองเคยเจอ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือชายคนนั้นเป็คนของตระกูลเพอร์บีหรือไม่ และอีกฝ่ายมาเตือนเขาทำไม เตือนเพื่ออะไร
ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ฆ่าเขาทิ้ง ?
ดาร์เรลครุ่นคิดเื่นี้ผ่านมาเป็สัปดาห์ จนกระทั่งตอนนี้ครบหนึ่งเดือนแล้ว ั้แ่คืนนั้นที่เขาบังเอิญเจอเข้ากับแวมไพร์อัลฟ่าเอสผู้นั้น เขายังคงออกตามล่าคนของตระกูลเพอร์บีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจคำเตือนนั้นสักนิด
มนุษย์ก็คืุ์ ยิ่งโดนห้ามก็เหมือนการยุยงให้ทำสิ่งนั้น และทำสิ่งนั้นด้วยความ้าอันแรงกล้าโดยไม่เกรงกลัวว่าจะมีผลตามมาเช่นไร
ดาร์เรลไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นกำลังเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกที
“ที่ฉันเคยเตือนไปคือเธอไม่คิดจะฟังกันเลยสินะ ดื้อด้านเสียจริง”
“มนุษย์ชั่งโง่เขลายิ่งนัก”
เสียงทุ้มลอยมากับสายลมที่พัดผ่านทำให้ดาร์เรลหยุดชะงักไม่กล้าขยับตัว เพราะตอนนี้เขายังไม่เห็นกายหยาบของอีกฝ่าย การปะทะกันครั้งก่อนทำให้เขาอ่อนแรงถึงสองวันเต็ม ต้องนอนพักฟื้นอยู่ที่บ้านโดยมีคำดูถูกจากพี่ชายทั้งสามพูดกรอกหูอยู่ทุกวัน
“ออกมาคุยกันหน่อยไหม ?”
ดาร์เรลตัดสินใจะโถามออกไป เขาไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะตอบรับหรือปฏิเสธ
“ไม่จำเป็หรอก ฉันแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น”
“คุณไม่ฆ่าผมเหรอ ทำไมละ ?”
“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นที่ข้างหูทำให้ขนลุกเกลียวไปทั้งตัว ราวกับว่าโดนลูบด้วยน้ำเย็น ดาร์เรลหันมองซ้ายขวากลับไม่พบใคร ไม่มีแม้แต่ตัวตนของมัน ท่ามกลางความมืดและรอบกายที่เงียบสงัดจนได้ยินถึงลมหายใจของตัวเอง หลงเหลือเพียงกลิ่นฟีโรโมนอันเข้มข้นที่ติดอยู่ตรงปลายจมูก หากได้เจอกันอีกเขาต้องจำอีกฝ่ายได้แน่
ดาร์เรลค่อยข้างมั่นใจว่าคนๆ นี้คือกุญแจที่จะนำเขาไปสู่ตระกูลเพอร์บีอย่างแน่นอน
หลังจากรอบกายกลับเข้าสู่สภาวะปกติดาร์เรลจึงเริ่มออกล่าอีกครั้ง แน่นอนว่าก่อนลงมือทุกครั้งเขามักเช็คระดับความสามารถของศัตรูก่อนเป็อันดับแรก ที่ต้องทำอย่างนั้นก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
หากชีวิตนี้เขายังฆ่าผู้นำของตระกูลเพอร์บีไม่ได้ เขาก็คงเป็ตราบาปของตระกูลไปตลอดกาล เขาจะไม่ยอมให้การเสียสละของคนเป็แม่ต้องสูญเปล่า
ดูเหมือนจะเป็เื่เพ้อฝันสำหรับโอเมก้าร่างบาง แต่ดาร์เรลมั่นใจว่าตัวเองนั้นทำได้
………………………………………………….