เมื่อได้ฟังการตัดสินใจของจุนเช่อและจุนฟาน จุนห่าวก็รู้สึกพึงพอใจยิ่ง เขารู้อยู่แล้วว่า พี่ชายทั้งสองของเขามิใช่คนที่ชอบวิถีชีวิตอันเรียบง่าย หากคิดแค่ว่า อยากจะมีชีวิตที่สะดวกสบาย ความสำเร็จของพวกเขาก็จะหยุดอยู่แค่นั้น มีเพียงความกล้าที่จะต่อสู้และกล้าที่จะทำลายเท่านั้น ถึงจะช่วยให้บรรลุสู่ความยิ่งใหญ่ได้ จุนห่าวเชื่อว่า พวกเขาสามพี่น้องย่อมต้องได้พบกันอีกแน่ หากวันใดได้พบกัน พวกเขาก็คงจะประสบความสำเร็จกันไม่น้อยแล้ว
“่นี้พวกท่านอยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ อยู่ที่บ้านของข้านี่แหละ แม้จะไม่ใหญ่โตมาก แต่คงเพียงพอให้พวกท่านได้อยู่อาศัย อีกทั้งข้ายังมีทุ่งนาิญญาอีก 10 หมู่ พวกท่านจะปลูกอะไรก็ได้ เดี๋ยวข้าจะนำโฉนดบ้านและโฉนดที่ดินมามอบให้พวกท่าน จากนี้ไปสิ่งเหล่านี้จะเป็ของพวกท่านแล้ว” จุนห่าวพูดกับจุนเช่อและจุนฟาน หลังจากที่เขาและหานรุ่ยออกเดินทางไปจากที่นี่ ก็คงจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว เก็บไว้กับตัว ก็คงไร้ประโยชน์ สู้ให้พวกเขาไปเลยเสียดีกว่า จุนห่าวรู้ว่า หากให้เป็เงิน พวกเขาจะต้องไม่รับแน่ แม้ว่าของเหล่านี้จะไม่ได้มากมายเท่าไร ทว่ามันคงจะช่วยพวกเขาให้เอาชนะความยากลำบากได้
“ไม่ได้ พวกเรารับเอาไว้ไม่ได้หรอก ที่ผ่านมาข้าและจุนฟานรบกวนพวกเ้ามามากพอแล้ว ข้าจะเอาบ้านและที่นาของเ้ามาเป็ของตัวเองได้อย่างไร พวกเราเป็พี่น้องที่คลานตามกันมา จริง ๆ พวกเราต้องเป็ฝ่ายให้เ้ามากกว่าด้วยซ้ำ ข้าและจุนฟานติดค้างเ้ามากเกินไปแล้ว อีกอย่างมีพี่ชายที่ไหนที่้าโฉนดที่ดินของน้องชาย ถ้าใครไม่รู้ก็คงจะเข้าใจผิดแน่ว่า พี่น้องบ้านนี้ไม่ถูกกัน” จุนเช่อกล่าวอย่างคัดค้าน
“ใช่ ข้าก็ไม่รับเหมือนกัน” จุนฟานเอ่ยขึ้น ที่ผ่านมาเขาสร้างปัญหาให้จุนห่าวไปไม่น้อย แถมมาขอกินอยู่ที่นี่อีก การที่จุนห่าวจะให้มาบ้านหลังนี้ด้วย เขาทำไม่ได้จริง ๆ
“นี่คือความตั้งใจของข้าเอง ข้าอยากจะทำหน้าที่น้องชายเป็ครั้งสุดท้าย อีกอย่างข้าและหานรุ่ยก็ไม่ได้คิดที่จะกลับมาที่นี่อีก ถ้าพวกท่านไม่รับมัน มันก็คงถูกปล่อยทิ้งจนรกร้างไปเปล่า ๆ อีกอย่างข้าก็ไม่คิดจะขายมันด้วย พวกท่านก็รู้ว่า น้องชายคนนี้เป็เย้าซือ แค่ปรุงยาิญญาสักขวดขาย ก็ทำเงินได้ไม่น้อยแล้ว ข้าไม่สนใจเงินเล็กน้อยพวกนี้หรอก บัดนี้ข้าขอบอกพวกท่านอย่างภาคภูมิใจเลยว่า น้องชายของพวกท่านไม่ขัดสนเื่เงินแน่นอน” จุนห่าวโบกไม้โบกมือ พูดอย่างองอาจราวกับคนมั่งมี
พอได้ฟังคำพูดของจุนห่าว จุนเช่อและจุนฟานก็นิ่งเงียบ เพราะไม่อยากรับที่นาและบ้านหลังนี้ หานรุ่ยมองสามพี่น้องที่คนหนึ่งอยากจะให้ ส่วนอีก 2 คนก็ไม่อยากจะรับ เขารู้สึกว่า การบีบบังคับเช่นนี้มิใช่วิธีการที่ดี จึงเอ่ยกับจุนเช่อและจุนฟานว่า “พี่รอง พี่สาม พวกท่านรับไว้เถอะ ของพวกนี้สำหรับเราแล้วไม่ได้มีค่าอันใดนัก ทว่าสำหรับพวกท่านถือว่ามีค่ายิ่ง แม้ว่าเื่ราวครั้งก่อนจะแก้ไขได้แล้วก็ตาม แต่พวกท่านในยามนี้ยังคงสิ้นเนื้อประดาตัว และมิใช่นักค้าขาย บ้านและที่นาิญญานี้ จะเป็สิ่งที่สามารถรับประกันให้กับชีวิตของพวกท่านได้ หากมีสิ่งเหล่านี้ อย่างน้อยพวกท่านก็จะไม่ขาดที่พักพิงและไม่อดตาย”
เมื่อกล่าวจบ หานรุ่ยก็กล่าวต่อกับจุนฟานอีกครั้งว่า “พี่สาม ถึงท่านไม่อยากทำเพื่อตนเอง ถ้าอย่างนั้นท่านก็คิดเสียว่า ทำเพื่อจางหนิงก็แล้วกัน ต่อให้ไม่ได้นึกถึงจางหนิง ท่านก็ควรจะนึกถึงลูกที่กำลังจะเกิดมาในอนาคตก็ได้ ท่านและจางหนิงแต่งงานกันมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ไม่แน่ว่า ตอนนี้จางหนิงอาจจะตั้งครรภ์แล้วก็ได้ ท่านอยากให้จางหนิงและลูกอดมื้อกินมื้อไปกับท่านอย่างนั้นหรือ ขนาดที่พักอาศัยเป็หลักเป็แหล่ง ท่านยังไม่มีเลย แค่คิดว่า จะให้จางหนิงและลูกต้องมีชีวิตเช่นนี้ ถึงท่านจะไม่ทุกข์ใจ แต่ข้าก็คงจะเป็ทุกข์แทนพวกเขา”
เมื่อกล่าวต่อจุนฟานจบ หานรุ่ยก็กล่าวต่อจุนเช่ออีกครั้งว่า “พี่รอง การเป็ลูกผู้ชายที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่คิดที่จะเอาเปรียบน้องชาย เื่นี้ข้าเข้าใจ ทว่าบัดนี้ความจริงได้ถูกตีแผ่ตรงหน้าท่านขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ท่านสิ้นเนื้อประดาตัว ไร้ซึ่งที่บังลมบังฝน ถึงท่านจะไม่เกรงกลัวต่อพายุฝน แต่จากที่ข้าฟังคำพูดของท่าน เวลานี้ท่านมีคนที่หมายปองไว้แล้ว อีกทั้งยังตั้งใจจะดูแลและให้สัตย์ปฏิญาณไว้ว่า จะชนะใจเขาให้จงได้ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ต่อให้ท่านจะเอาชนะใจเขาได้ ท่านจะให้เขาอยู่ที่ไหน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็ซวงเอ๋อร์หรือหญิงสาว ต่างก็บอบบางไม่แข็งแกร่งเหมือนกับท่าน อย่าบอกนะว่า ท่านอยากจะให้เขาตากแดดตากลมไปกับท่าน ถ้าอย่างนั้นข้าขอแนะนำท่านว่า อย่าไปตามตอแยเขาเลย คนสองคนจะรักกันอาจไม่้าความมั่นคงทางวัตถุก็จริง ทว่าหลังแต่งงาน ความมั่นคงทางวัตถุก็ถือว่าเป็สิ่งที่จำเป็ อย่าบอกนะว่า พี่รองจะเป็ผู้ชายแย่ ๆ แค่อยากคบกับเขา แต่ไม่คิดจะแต่งงานด้วยน่ะ”
พอฟังคำของหานรุ่ย ทั้งสามพี่น้องก็พูดอะไรไม่ออก จุนห่าวคิดในใจ ภรรยาของข้า ช่างมีพร์ในด้านการพูดเสียจริง ดูซิว่า พวกท่านพี่จะยอมรับไหม
ขณะที่สองพี่น้องกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น นอกบ้านของจุนห่าวก็มีหมาป่าตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
หมาป่าตัวนี้มีขนสีเทาเข้ม เนื้อตัวหมองคล้ำเต็มไปด้วยโคลน ทว่ากลับมีดวงตาที่สดใส เห็นได้ชัดว่า มันมีจิติญญาที่แข็งแกร่ง หมาป่าตัวนี้ดมกลิ่นอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของจุนห่าว ราวกับมันกำลังตามหาบางสิ่ง มันดมกลิ่นอย่างจริงจังอย่างกับเกรงว่าจะพลาดร่องรอยอะไรไป สุนัขตัวนี้ดมกลิ่นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดมันก็ค้นพบว่า สิ่งที่มันกำลังตามหาก็คือที่นี่ ดวงตาของมันเปล่งประกายขึ้น และความเหนื่อยล้าของมันก็พลันหายไปทันที มันวิ่งรอบประตูบ้านจุนห่าวอยู่หลายรอบด้วยความดีใจ
เมื่อเ้าหมาป่าวิ่งจนพอใจแล้ว มันก็นั่งตัวตรงรออยู่ที่หน้าประตูบ้านของจุนห่าว มันมองตรงไปที่ประตูใหญ่ ราวกับจะมองทะลุประตูเข้าไปให้ได้เพื่อจะได้เห็นสิ่งที่มันตามหา หางของมันส่ายไปส่ายมา เห็นได้ชัดเลยว่า ความตื่นเต้นของมันยังไม่จางหายไป มันนั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างไม่ร้อนรนที่จะเข้าไป แต่จริง ๆ แล้วมันกำลังคิดวิธีเข้าไปในบ้านอยู่
หมาป่าตัวนี้ คือ เงาดำที่ตามรถม้าของจุนห่าวเมื่อครั้นกลับมาจากเมืองซวงหวา มันรีบตามหลังรถม้ามา แต่หลังจากรถม้าออกนอกเมือง ไปก็ได้เร่งความเร็วขึ้น ซึ่งความเร็วของมันไม่เท่ากับม้าจี๋เฟิง ดังนั้นั้แ่ออกมานอกเมือง มันจึงตามติดรถม้ามาอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็ต้องหยุดพักเพราะเหนื่อยล้า จนรถม้าและจุนห่าวลับตาไป เมื่อพักฟื้นร่างกายแล้ว มันก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งจนมาถึงที่นี่ ต้องชื่นชมจมูกที่เก่งกาจของมันที่สามารถตามกลิ่นมาได้จนถึงบ้านของจุนห่าว ระหว่างทางสุนัขตัวนี้ประสบความยากลำบากไปไม่น้อย เพื่อตามมาให้ถึงให้เร็วที่สุด มันจึงไม่กล้าหยุดพักระหว่างทางและวิ่งจนสุดแรง ถึงจะพักก็พักเพียงครู่เดียว และจะหาอะไรกินก็ต่อเมื่อหิวจริง ๆ เท่านั้น มันทำเช่นนี้มาตลอดจนถึงบ้านของจุนห่าว
ในขณะที่เ้าหมาป่ากำลังครุ่นคิดอยู่ เมื่อครู่นี้มันใช้พละกำลังที่เหลือจนหมด แต่เดิมมันตั้งใจจะพัก ทว่าพอมันนึกถึงจุนห่าวที่อยู่ด้านใน เพราะ จุนห่าว คือ เป้าหมายที่มันตามหา หากจุนห่าวออกมาตอนที่มันนอนกองกับพื้น จุนห่าวก็คงไม่เห็นรูปลักษณ์อันสง่างามของมัน ดังนั้นมันจึงนั่งหน้าตรงรออยู่ที่ประตู เ้าหมาป่าคิดว่า นี่เป็ท่าทางที่น่าเกรงขามที่สุดของมันแล้ว แต่เพราะมันดูสกปรกและหมองคล้ำ มันก็หดหู่เล็กน้อย ตอนนี้มันไม่สง่าผ่าเผยเลยสักนิด เหมือนสุนัขจรจัดที่พบได้ทั่วไปมากกว่า แต่ทั้งนี้เมื่อมันนึกถึงความสง่าผ่าเผยที่ตนเองเคยมี มันก็กลับมามั่นใจอีกครั้ง แม้ว่าตอนนี้สภาพของมันจะน่าอาย แต่จิติญญาของมันยังกระปรี้กระเปร่า และยังคงเป็สุนัขที่เก่งกาจหล่อเหลาอยู่ มันเชื่อว่า จุนห่าวจะไม่ทอดทิ้งมันเป็แน่
เ้าหมาป่าพักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ความกระปรี้กระเปร่าก็เริ่มกลับมา มันยังคงคิดวิธีที่จะเข้าประตูอยู่ มันเป็สุนัขที่มีมารยาท ไม่อาจทำพฤติกรรมลักขโมยได้ มัน้าเข้าประตูไปอย่างสง่างาม
หลังจากก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว มันก็นั่งหน้าตรงอีกครั้ง มันยืดตัวตรงและเชิดหน้าขึ้น ท่าทางเหมือนกับทหารที่รอการตรวจสอบจากหัวหน้า มันยกอุ้งเท้าขวาขึ้นพลางเคาะประตูเบา ๆ เ้าหมาป่าเกรงว่า คนในบ้านจะไม่ได้ยิน มันจึงเคาะต่ออีก 2 ครั้ง ถึงจะหยุด จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างของมันก็เปล่งประกายสดใสไปเบื้องหน้า จากสายตาของมัน ก็มองออกได้ว่า มันยังคงครุ่นคิดอยู่
จุนห่าวได้ยินั้แ่ครั้งแรกที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น หลังจากเสียงเคาะประตูครั้งที่สอง จุนห่าวก็เริ่มมีปฏิกิริยา จนกระทั่งเสียงเคาะประตูครั้งที่สามดังขึ้น จุนห่าวรู้สึกตกตะลึง เขาคิดว่า เสียงเคาะประตูครั้งแรก อาจเป็เื่บังเอิญ ส่วนเสียงเคาะประตูครั้งที่สอง อาจเป็เื่ประจวบเหมาะ แต่ครั้งที่สาม มิน่าจะใช่เื่บังเอิญและเื่ประจวบเหมาะแล้ว และมีเพียงคนเท่านั้นที่รู้วิธีเคาะประตูนี้ จุนห่าวรู้สึกทึ่ง เพราะนี่คือ ‘รหัสลับของหน่วยรบพิเศษ’ ที่เขาเคยทำงานอยู่เมื่อชาติก่อน และเป็ความลับที่รู้กันเพียงคนในกลุ่มหน่วยรบพิเศษทั้งหมด 8 คนนั้นเท่านั้น ไม่สิ ยังมีสุนัขทหารอีก 1 ตัวที่รู้ ในเวลานั้นมีแค่พวกเขาทั้ง 8 คนและสุนัขทหารอีกตัวหนึ่งเท่านั้นที่รู้การเคาะประตูแบบนี้ ตอนนั้นจุนห่าวพูดว่า สุนัขทหารก็เป็หนึ่งในสมาชิกของทีม ต้องจำรหัสลับของพวกเขาให้ได้ด้วย ดังนั้นจุนห่าวจึงสอนวิธีเคาะประตูให้แก่สุนัขทหาร ครานั้นสุนัขทหารฝึกแค่สามครั้งก็สามารถทำได้ จุนห่าวยังชื่นชมและเพิ่มอาหารให้มันเป็รางวัลอยู่เลย จุนห่าวมั่นใจว่า ไม่มีใครบนแผ่นดินชางหลานที่รู้วิธีเคาะประตูนี้ จึงเป็ไปได้เพียงทางเดียว คือ คนที่เคาะประตูนี้คือหนึ่งในทีมของเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ จุนห่าวก็ประหลาดใจยิ่ง ต่อให้สหายของเขาจะข้ามเวลามายังแผ่นดินชางหลาน แล้วจะรู้จักเขาได้อย่างไร ตอนนี้โฉมหน้าของเขาเปลี่ยนไป อีกทั้งร่างกายนี้ก็มิได้คล้ายคลึงกับร่างกายของเขาในชาติก่อนแม้แต่น้อย เว้นเสียแต่ว่า สหายรบของเขาจะมิใช่คน และสามารถมองทะลุจนเห็นิญญาภายในตัวเขาได้ แต่ทั้งนี้จุนห่าวก็รู้สึกว่า เป็ไม่ได้อยู่ดี อันที่จริงบนโลกบำเพ็ญเพียรนี้ มีคนที่มีทักษะพิเศษเป็จำนวนมาก การมองเห็นิญญาของคน ๆ หนึ่ง จึงไม่ใช่เื่แปลก แต่เสี่ยวไป๋เคยบอกไว้ว่าิญญาของเขาหลอมรวมเข้ากับร่างนี้เป็หนึ่งเดียวแล้ว คนอื่นย่อมมองไม่ออกว่า เขาสิงร่างนี้อยู่ เมื่อคิดสาเหตุอื่นไม่ออก จุนห่าวจึงเลิกคิด
พอนึกถึงคนที่เคาะประตูว่า อาจจะเป็หนึ่งในสหายรบของเขา เขากลับไม่ดีใจ หากสหายรบของเขามาถึงที่นี่ หมายความว่า ร่างกายในสุ่ยหลานซิงของเขาจะต้องตายแน่แล้ว สหายรบของเขาล้วนมีครอบครัว และทุกคนยังหนุ่มยังแน่น หากใครตายจากไป ย่อมทำให้คนอื่นรู้สึกโศกเศร้า ในหน่วยทหารเล็ก ๆ ของเขา เขามีอายุมากที่สุด และเขายังเป็เด็กกำพร้า ดังนั้นเขาตายไปก็ถือว่า ตายอย่างไร้กังวลต่อที่นั่น ในทางตรงกันข้าม หลังจากมาที่นี่ เขามีคนรัก มีลูกที่น่ารัก 2 คน และยังมีพี่ชายอีก 2 คน ที่นี่เขามีครอบครัวเป็ของตนเอง เขาย่อมเป็กังวล จึงกลายเป็คนที่เกรงกลัวความตายไปแล้ว
จุนห่าวครุ่นคิดมากมายอยู่สักพัก จุนห่าวคิดในใจ ‘นั่งคิดไปก็ไร้ประโยชน์ ทำให้เครียดไปเปล่า ๆ แค่ไปเปิดประตูก็จะรู้ความจริงแล้ว หากคนที่อยู่ด้านนอกเป็คนในทีมจริง ๆ คนในทีมของข้าต่างมีอารมณ์ร้อน ถ้ารอนานไปอาจก่อปัญหาได้ เอาเถอะ ข้ารีบไปประตูก็แล้วกัน พอเปิดประตู ก็จะได้รู้ใบหน้าแท้จริงของคนนั้นเสียที ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันว่า จะจัดการเขาอย่างไร ในเมื่อรู้ว่า ข้าคือจุนห่าว ก็ควรไปหาเขาตรง ๆ เลย ไหนจะรหัสลับนี่อีก นี่ไม่ใช่การทำภารกิจนะ จะทำให้ดูลึกลับทำไมกัน’
แต่เมื่อเขาคิดจะเปิดประตู จู่ ๆ จุนห่าวก็รู้สึกเหมือนตอนอยู่ที่โลกเดิม จิตใจกระสับกระส่าย ตอนนี้เขารู้สึกประหม่าอีกครั้ง เขากำหมัดและรู้สึกว่า มือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาเคยทำงานที่มีความเสี่ยงสูงมาก่อนก็จริง แต่เขาไม่เคยวิตกกังวลมาก่อน เขากำลังด่าตัวเองในใจ ‘เฮ้ ข้าจะประหม่าขนาดนี้ทำไมกัน’ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดประตู เขาอยากเห็นว่า ตัวจุ้นคนไหนที่ทำให้เขาประหม่าได้ขนาดนี้ อย่าบอกนะว่า พอตัวเขาไม่อยู่ ความกล้าหาญของเ้าพวกนั้นมีปัญหา ถึงได้กล้ามาหยอกล้อเขาเช่นนี้
“ใครมาเคาะประตูหรือ ทำไมถึงดูนุ่มนวลและเป็จังหวะเช่นนี้ เป็คนในหมู่บ้านรึเปล่านะ? หากเป็คนในหมู่บ้านจะต้องเคาะเสียงดัง ปัง ปัง ปัง หรือไม่ก็เคาะไปพลาง ะโไปพลาง แบบไม่ต้องเปิดประตูก็รู้ได้ว่าใครมาสิ คนที่เคาะประตูครั้งนี้ ช่างพิเศษจริง ๆ” จุนฟานเอ่ยถามแบบอยากรู้อยากเห็น เมื่อเห็นว่า ไม่มีใครคล้อยตามเขา จุนฟานจึงพูดกับจุนห่าวที่เดินออกไปนอกห้องว่า “นี่ น้องสี่ เ้ารู้ไหมว่าใคร?”
หลังจากที่จุนฟานอยู่ในหมู่บ้านมาเป็เวลานาน เขารู้จักคนในหมู่บ้านทั้งหมดแล้ว จึงรู้สึกสงสัยว่าใคร
“ข้าก็ไม่รู้ว่าใคร หากท่านอยากรู้ว่าเป็ใคร ท่านก็ไปเปิดประตูกับข้าสิ ท่านจะได้เห็น ข้าไม่มีดวงตาวิเศษนะ ถึงจะได้รู้ว่า คนที่มาเคาะประตูคือใครน่ะ” จุนห่าวเดินไปเปิดประตูพลางพูดกับจุนฟานที่อยู่ในห้องแบบไม่หันกลับไปมอง หลังจากที่นักพรตสร้างรากฐานได้ จิตสำนึกแห่งการรับรู้ก็จะกว้างไกลมากขึ้น และสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ภายนอกได้ สิ่งทั่วไปจะไม่อาจปิดบังจิตสำนึกรับรู้ได้ ดังนั้นหากมีจิตสำนึกรับรู้แล้ว ย่อมสะดวกขึ้น สิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งที่เขาได้ยินมากจากเสี่ยวไป๋ อารยธรรมการบำเพ็ญเพียรบนแผ่นดินชางหลานแทบจะถูกตัดออกไป ฉะนั้นจึงมีอีกหลายสิ่งที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ รวมถึงจิตสำนึกรับรู้ของนักพรตแต่ละระดับ่ลมปราณจะสามารถมองทะลุกว่า 10 เิเได้ นักพรตจึงแทบไม่จำเป็ต้องใช้จิตสำนึกรับรู้ นอกจากยามที่ตรวจตราสิ่งต่าง ๆ เป็จำนวนมาก การใช้จิตสำนึกรับรู้ในระยะใกล้จะทำให้ตรวจตราได้เร็วยิ่งขึ้น ประตูบ้านของจุนห่าวมีความหนาครึ่งเมตร ดังนั้นต่อให้เขาอยู่ใกล้ประตูเพียงใด ก็ไม่อาจมองเห็นด้านนอกได้อยู่ดี และเขาก็คงจะไม่ต้องเป็กังวลเช่นนี้ ถ้ารู้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกคือใคร
“เ้าพูดถูกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะออกไปดูด้วย” จุนฟานหัวเราะชอบใจ เมื่อพูดจบจุนฟานก็เดินออกจากห้องโถงไปทางประตูใหญ่
จางหนิงมองจุนฟานที่เดินตามหลังจุนห่าวไป และคิดในใจว่า ความอยากรู้อยากเห็นของจุนฟานนี่หนักหนาเอาการ รออยู่ในห้องโถงก็พอแล้ว เพราะอย่างไรเดี๋ยวแขกก็คงจะเข้ามาในไม่ช้าก็เร็ว ไม่จำเป็จะต้องเดินไปให้เหนื่อยเลย จางหนิงคิดว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งก่อน นิสัยของจุนฟานมีเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังเอ้อระเหยอยู่เหมือนเดิม นิสัยไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เหมือนกันกับเมื่อก่อนนี้ที่เรื่อยเฉื่อย เอาแต่หัวเราะชอบใจไปวัน ๆ ท่าทางแบบคนที่ไม่เป็ทุกข์เป็ร้อน จางหนิงเชื่อว่า ที่จุนฟานอารมณ์ดีเช่นนี้ เป็เพราะเขามีพี่ชายและน้องชายที่ดี ในอดีตจุนเช่อคอยปกป้องจุนฟานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีพายุฝนหรือเื่อะไรก็ตามก็จะมีจุนเช่อคอยกำบัง จุนฟานจึงแคล้วคลาดปลอดภัยมาตลอด บัดนี้เมื่อจุนเช่อได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่อาจแก้ไข้ได้ด้วยตนเอง น้องชายของพวกเขา จุนห่าว ก็เติบโตขึ้นและแก้ไขวิกฤติในชีวิตให้กับจุนฟานได้ นอกจากการหลบหนีในครั้งนั้น จุนฟานแทบไม่ได้รับาเ็ใด ๆ เลย เมื่อเวลานี้ได้เขากลับมาสงบสุขอีกครั้ง สำหรับจุนฟาน เื่นี้เป็เื่ที่ทุกข์ทรมานเพียงไม่กี่วัน และบัดนี้ทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติแล้ว
แต่สำหรับจางหนิงนั้นแตกต่างกัน พ่อของเขาลำเอียงรักพี่ชายมากกว่ามาั้แ่เด็ก แม้ว่าพี่ชายจะมีคุณสมบัติในการบำเพ็ญเพียรไม่ดี ทว่าท่านพ่อก็มักจะให้สิ่งที่ดีกับพี่ชายก่อนเสมอ แม้ว่าพี่ชายจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ท่านพ่อก็จะคอยวางแผนทุกอย่างที่เป็ไปได้ให้แก่พี่ชาย จางหนิงกลายเป็เพียงหมากตัวหนึ่งในมือของพ่อ ในสายตาของท่านพ่อ เขาเป็แค่บันไดที่ทำให้พี่ชายก้าวไปสู่ความก้าวหน้าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ชอบพ่อ และเื่นี้ก็ยิ่งทำให้เขาเกลียดพ่อมากขึ้น ส่วนพี่ชายยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากทำร้าย ก็ดุด่าเขา ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตามาแต่ไหนแต่ไร และไม่มีทางที่จะกำบังพายุฝนแทนเขา ดังนั้นั้แ่เล็กจนโต เขาจึงต้องพึ่งพาตนเอง เมื่อนึกถึงพ่อและพี่ชายที่ตายไป จางหนิงก็ยังรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง เพราะท้ายที่สุดพวกเขาต้องมาเสียชีวิตด้วยเื่ที่เกี่ยวข้องกับเขา
หลังจากได้ยินข่าวการเสียชีวิตของจุนฟานในครานั้น เขาทำตัวไร้ซึ่งเหตุผล เขา้าแก้แค้นทุกคนที่รังแกเขา เขารู้สึกเคียดแค้นพ่อและพี่ชายที่ไม่ยอมช่วยเหลือ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจที่พวกเขาต้องตาย แต่เมื่อคิดทบทวนแล้ว หากมิใช่เพราะท่านพ่อและพี่ชายโลภในอำนาจของตระกูลเซ่า พวกเขาก็คงไม่ต้องมาตายเช่นนี้ มาคิดเื่นี้ในเวลานี้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว จางหนิงจึงเก็บความคิดเหล่านี้ไว้ในใจ
เขาหันไปมองจุนฟานที่อยู่นอกห้องโถง เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของจุนฟาน จางหนิงก็คิดในใจ เป็เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว เขาไม่เสียใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีกแล้ว
คนในห้องโถงไม่รู้ถึงความกังวลของจุนห่าว มีเพียงหานรุ่ยเท่านั้นที่เห็นถึงความกังวลนั้น เพราะจุนห่าวมีความเคยชินอย่างหนึ่ง คือ เมื่อเขาประหม่า เขาจะกำหมัดโดยที่เขาไม่รู้ตัว ราวกับว่ามันช่วยคลายความเครียดได้ ตลอดสามปีที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมา หานรุ่ยจดจำนิสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ของจุนห่าวเอาไว้ในใจเสมอ จนบางครั้งขนาดจุนห่าวเองก็ยังไม่รู้ว่า เขามีนิสัยเช่นนั้น หานรุ่ยขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด เขาคิดไม่ออกว่า เหตุใดจุนห่าวถึงได้ตื่นเต้น เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู และวิธีเคาะประตูเช่นนี้ มันเหมือนสัญลักษณ์บางอย่างที่กำหนดให้บางคนรู้มากกว่า จุนห่าวเพิ่งมาที่นี่ไม่กี่ปี เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาไม่มีทางรู้จักคนเช่นนี้แน่ และพวกเขาก็อยู่ด้วยกันตลอดใน่หลายปีมานี้ คนที่จุนห่าวรู้จัก เขาก็รู้จักทั้งหมด อีกทั้งเื่ราวของร่างเดิม จุนห่าวก็ไม่เคยปิดบังเขา เขามั่นใจตรงจุดนี้ เว้นเสียแต่ว่า....... ที่อาจทำให้จุนห่าวเป็กังวล พอคิดถึงตรงนี้ หานรุ่ยก็นั่งไม่ติดและเดินตามออกไป เมื่อเห็นหานรุ่ยตามออกไป จุนเช่อและจางหนิงก็นั่งไม่ติด แล้วตามออกไปเช่นกัน ส่วนจุนตงและจุนหนานนั้น วิ่งตามออกไปแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมารวมตัวกันอยู่ที่ด้านหน้าประตูบ้าน
