บนแนวสันเขาของูเาซิ่วซี ได้สร้างศาลาหกเหลี่ยมที่ทำด้วยไม้ไว้หนึ่งหลัง
โครงสร้างไม้ กระเบื้องมุงหลังคาสีดำออกน้ำเงิน โดยรวมแล้วดูสง่างามและเรียบง่าย
เจินจูนั่งตะแคงข้างอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ติดอยู่รอบศาลาและเอนตัวพิงกับพนักลูกกรงเพื่อทอดสายตามองออกไป
บรรดาเด็กๆ ของโรงเรียนกำลังฝึกการต่อสู่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของอาจารย์ฟางและอาชิงอย่างจริงจัง
ฟู่เหรินกำลังวุ่นวายกับการนำอาหารหมักมาผึ่งแดดอยู่ภายในลานบ้านของสถานที่ทำงาน
ภายในที่พักของสกุลหู หลี่ซื่อกำลังวิ่งไล่ตามซิ่วจูไปทั่วทั้งลานบ้าน
ฉากทุกฉากล้วนเป็กลิ่นอายของการใช้ชีวิต
หางตาของเจินจูประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม นางชื่นชอบชีวิตเช่นนี้ ห่างไกลจากเสียงอึกทึกสงบเงียบไม่สนใจในชื่อเสียงเงินทอง
ต้นหงเฟิงเต็มไปทั่วทั้งูเาเริ่มทยอยกันร่วงโรย สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านมาเป็พักๆ ใบหงเฟิงสีแดงเพลิงพากันร่วงลงมา ก่อตัวเป็ทิวทัศน์ฝนสีแดงทั้งผืน ช่างเป็ทัศนียภาพที่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลเป็พิเศษ
เสี่ยวเฮยเดินมาข้างกายนางอย่างสง่างามจากปลายอีกด้านหนึ่งของเก้าอี้ไม้
“หง่าว” มันร้องเรียกหนึ่งที
เจินจูเอียงไปมองมันแวบหนึ่ง เ้าแมวนี่อยากให้นางไปงมปลาให้มัน “ไม่ไป รอพวกอาชิงมีเวลาว่าง เ้าค่อยให้เขาพาไปนะ”
“เหมียว” มันประท้วงอย่างไม่พอใจ
เจินจูยังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนใจ ่นี้คนในบ้านล้วนยุ่งกันทั้งสิ้น ไม่ได้ไปบึงมรกตนานมากแล้ว
เพื่อความอยากกินปลาของมัน แล้วต้องพาตัวเองวิ่งไปไกลเพื่องมปลาในบึงมรกต นางไม่ได้ขยันเพียงนั้น
เจินจูอุ้มมันเข้ามาในอ้อมอก ใช้มือลูบขนอ่อนนุ่มของมันให้เรียบ อาการไม่พอใจของเสี่ยวเฮยจึงค่อยๆ คลายลง จนมันเริ่มโก่งตัวขึ้นด้วยความสบาย
“กุบกับๆๆ” เสียงเกือกม้าทำลายความสงบเงียบของหมู่บ้านในเขตูเา
เจินจูกวาดสายตามองลงไปหนึ่งที เห็นรถม้าสี่ล้อมั่นคงหนึ่งเกวียนเคลื่อนเข้าสู่ถนนอิฐสีฟ้าของสกุลหูอย่างเชื่องช้า
นางนั่งตัวตรง รถม้าเกวียนนี้ไม่เคยเห็นเลย เป็ผู้ใดมานะ?
ไม่นานคำตอบก็ปรากฏขึ้น เมอเมอสุขุมมากด้วยประสบการณ์คนหนึ่งเดินลงมาก่อน ตามลงมาด้วยสาวรับใช้ท่าทางงดงามผู้หนึ่ง สุดท้ายตามมาด้วยโหยวอวี่เวยร่างสูงเพรียวที่แสนน่ารักลงมาจากรถม้า
เจินจูเดินลงเขาอย่างผ่อนคลาย สำหรับการมาของโหยวอวี่เวยนางไม่ได้แปลกใจเลย หลิวผิงกล่าวไว้แล้วว่าโหยวอวี่เวยจะมาถึงเมืองไท่ผิงก่อนกู้อู่ไม่กี่วัน
แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือ เว้นไปสองวันนางก็ปรากฏออกมาแล้ว
ผู้ที่เปิดประตูลานบ้านให้คือพานเสวี่ยหลัน
นางช่วยงานอยู่บ้านสกุลหูั้แ่ฟ้าสว่าง ค่าตอบแทนสูงขึ้นจนถึงห้าร้อยเหวินต่อเดือนแล้ว นางพึงพอใจกับสภาพในตอนนี้อย่างมาก งานแต่ละอย่างของสกุลหูล้วนทำได้ราบรื่นดี น้อยครั้งมากที่จะทำอะไรผิดพลาด
พานเสวี่ยหลันจำโหยวอวี่เวยและคนรับใช้ของนางได้ จึงรีบต้อนรับพวกนางเข้ามาในห้องโถงอย่างสุภาพ
สีหน้าของโหยวอวี่เวย เริ่มซีดขาวั้แ่รถม้าเข้าสู่หมู่บ้านวั้งหลิน
จื่อยู่กับเมอเมอหวังต่างก็มองนางด้วยความกังวลใจ
จนกระทั่งพานเสวี่ยหลันของครอบครัวสกุลหูยกชาร้อนเข้ามาให้ สีหน้าของนางถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย
ที่แท้ป่าหงเฟิงของครอบครัวน้องสาวเจินจูเป็ทัศนียภาพที่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลเช่นนี้นี่เอง
สีแดงทั่วทั้งป่าเขา ใบที่ร่วงหล่นปลิวกระจายว่อน ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ดั่งหมอกที่คล้ายภาพวาด ดึงดูดสายตาคนให้เคลิบเคลิ้มยิ่งนัก
นี่เหมือนกับภาพวาดอันลึกซึ้ง ภาพวาดูเาและแม่น้ำธรรมชาติภาพนั้นที่อยู่ในห้องหนังสือของกู้ฉี ช่างดึงดูดคนให้หลงใหลยิ่งนัก
ในปากโหยวอวี่เวยดั่งทานหวงเหลียนก็ไม่ปาน ขมฝาดสุดเกินจะทนรับไหว
ประตูลานบ้านถูกคนผลักเปิดออก สัตว์สีดำหนึ่งตัวะโเข้ามา
เสี่ยวเฮยแสนเย่อหยิ่งและสง่างดงามเดินไปทางห้องโถงด้วยจังหวะคล่องแคล่วแข็งแรง ด้านหลังของมันตามมาด้วยอากัปกิริยางดงามบนกายอรชรที่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
กระโปรงผ้าทอละเอียดสำหรับหน้าร้อนสีฟ้าน้ำเงิน รองเท้าปักลายดอกบัว เดินเหินอย่างอ่อนช้อย ท่าทางสุขุม มือขาวสะอาดน่ามองปัดมวยผมเบาๆ ที่ถูกสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดจนไม่เป็ระเบียบ
โหยวอวี่เวยมองเจินจูที่เดินเข้ามาอย่างใจลอย จู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าความรู้สึกในใจที่กู้ฉีไม่สามารถปล่อยวางได้ พอจะเปลี่ยนมายกโทษให้ได้อยู่บ้าง
“พี่สาวสกุลโหยว พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลย” เจินจูยิ้มบางๆ ดวงตาสว่างไสวดูมีชีวิตชีวา
โหยวอวี่เวยยืนขึ้น สีหน้าที่ยังคงซีดขาวอยู่บ้างประดับรอยยิ้มกว้างขึ้น “น้องสาวเจินจู ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“เมอเมอหวัง ไม่ได้เจอกันสามปี ท่านยังดูมีราศีไม่เปลี่ยนไปเลยนะเ้าคะ” เจินจูยิ้มแล้วหันไปผงกศีรษะทางนาง และหันกลับมามองสาวรับใช้ที่แปลกตาอีกคนหนึ่ง “ท่านนี้คือ…”
เมอเมอหวังรีบทำความเคารพและแนะนำขึ้น “นี่เป็แม่นางจื่อยู่สาวรับใช้ใหญ่ของคุณหนูพวกเรา”
“แม่นางจื่อยู่” เจินจูยิ้มแล้วพยักหน้า
จื่อยู่ก้าวมาด้านหน้าอย่างมั่นคงหนึ่งก้าว แล้วถอนสายบัวทำความเคารพ “คารวะแม่นางหู”
จวนสกุลโหยวมีสง่าราศีกันทุกคนจริงๆ ด้วย แม้แต่สาวรับใช้ที่นามว่าจื่อยู่ผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าสุขุมกว่าจื่อผิงที่มาครั้งก่อนมากนัก
“พี่สาวสกุลโหยวนั่งเถอะ เดินทางไกลมาจากเมืองหลวงตลอดทาง เหน็ดเหนื่อยแย่แล้ว ทำไมไม่บอกล่วงหน้าเสียหน่อยเล่า?” เจินจูแสดงเจตนาให้นางนั่งลง
“ข้าเองก็ฉุกคิดขึ้นได้อย่างกะทันหัน ไม่ได้คิดอะไรมากก็ออกเดินทางมาเลย” รอยยิ้มบนใบหน้าโหยวอวี่เวยเฝื่อนเล็กน้อย “ถือโอกาสที่ฤดูใบไม้ร่วงยังไม่ผ่านไป ได้มาเยี่ยมชมป่าต้นหงเฟิงของครอบครัวเ้าสักหน่อย ว่าเป็ทัศนียภาพที่ดึงดูดใจคนเหมือนที่บรรยายไว้ในจดหมายของเ้าหรือไม่”
รอยยิ้มฝืนๆ ของโหยวอวี่เวยทำให้ในใจเจินจูเกิดความไม่เชื่อถืออยู่บ้าง เมืองหลวงใหญ่โตเพียงนั้น บริเวณใกล้เคียงจะไม่มีป่าต้นหงเฟิงเลยหรือ? ข้ออ้างนี้เอามาใช้ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย
แต่นางก็ไม่ได้กล่าวความในใจออกไป ถ้าจะกล่าวกันอย่างถึงที่สุดแล้ว แม้พวกนางจะเขียนจดหมายไปมาหากันหลายปี แต่ในความเป็จริงเคยเจอกันเพียงสามสี่ครั้งเท่านั้น การสื่อสารต่อกันและกันล้วนอยู่ในจดหมายทั้งสิ้น
ทันใดนั้นเสี่ยวเฮยก็วิ่งออกมาจากด้านข้างและะโขึ้นมาบนตักของเจินจู
เจินจูขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ไม่รู้ความหรอกแต่เป็ตั้งใจทำแล้วกระมัง นางไม่ไปช่วยมันงมปลาก็เลยเอาแต่เกาะติดนางทั้งวันเช่นนี้
“นี่เป็เสี่ยวเฮยกระมัง ท่าทางดูฉลาดมากจริงๆ น่ารักยิ่งนัก” โหยวอวี่เวยยื่นตัวเข้าไปมองแมวดำบนตักของนาง กล่าวด้วยความอิจฉา
“ใช่แล้ว นี่เป็เสี่ยวเฮย แมวป่าตัวหนึ่งเท่านั้น” เจินจูยิ้ม จับใบหูของมันไว้แน่น ทำให้เสี่ยวเฮยเกิดการประท้วงขึ้น “มา เ้าทักทายหน่อย นี่เป็พี่สาวสกุลโหยว เร็ว”
โหยวอวี่เวยจ้องตาโตทันที อารมณ์กลัดกลุ้มจิตใจหดหู่แต่เดิมถูกแมวสีดำมืดสนิททั้งตัวทำให้ดึงดูดความสนใจไปได้ จิตใจจึงดีขึ้นอย่างฉับพลัน
“หง่าว” เสี่ยวเฮยชำเลืองมองนางแวบหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ ร้องหนึ่งเสียงถือเป็การทักทาย
ภายในใจโหยวอวี่เวยเปลี่ยนไปเป็ตื่นเต้นขึ้นทันที “โอ้โห มันทักทายข้าด้วยล่ะ น่ารักนัก เสี่ยวเฮย ข้าชื่อโหยวอวี่เวยนะ”
นางยื่นมือขาวเล็กเรียวยาวออกไปคิดจะลูบหัวของมัน
เจินจูยกมือขึ้นระงับนางไว้ “เสี่ยวเฮยเป็แมวป่า ไม่ชอบให้คนลูบมัน ท่านอย่ามองว่ามันเป็สัตว์เลี้ยงแล้วจะไม่ทำร้ายมนุษย์เลย อันที่จริงแล้วมันดุร้ายมากเลยล่ะ”
โหยวอวี่เวยเก็บมือกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์ สัตว์เล็กๆ น่ารักเหล่านี้สำหรับเด็กผู้หญิงแล้วมักไร้แรงต้านทานเสน่ห์ของพวกมันเสมอ
เจินจูเห็นว่าอารมณ์ของนางราวกับดีขึ้นมากกว่าเมื่อสักครู่ไม่น้อย ในใจก็เกิดความคิดขึ้น
นางนำเสี่ยวเฮยวางลงบนพื้น “ไป เ้าไปเรียกเสี่ยวหวงพาลูกสุนัขน้อยของมันมาเล่นหน่อย”
เสี่ยวเฮยวิ่งออกไปทันที
“เสี่ยวหวง เป็สุนัขสีเหลืองตัวใหญ่นั่นหรือ? มันออกลูกแล้ว?” โหยวอวี่เวยถามด้วยความแปลกใจระคนยินดี
“ใช่แล้ว มันออกลูกสุนัขสีเหลืองมาสามตัว อายุสองเดือนกว่าแล้ว ขนนุ่มฟู น่ารักมากเลยล่ะ” เป็ครั้งแรกที่เสี่ยวหวงออกลูกสุนัข สามตัวล้วนเป็สีดินเหลือง เป็สุนัขชนบทชาวจีนดั้งเดิม พ่อสุนัขราวกับเป็สุนัขขนาดใหญ่ของบ้านจ้าวซาน เจินจูไม่กล้ายืนยันแม้สองตัวมักเล่นอยู่ด้วยกันบ่อยๆ แต่ลูกสุนัขตัวน้อยทั้งหมดเป็สีดินเหลือง รู้สึกเหมือนไม่มีลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมของสุนัขขนาดใหญ่เลยสักนิด
ไม่นานเงาร่างแข็งแรงของเสี่ยวหวงก็วิ่งเข้ามา ด้านหลังของมันตามมาด้วยลูกสุนัขกลมดิกสามตัว
โหยวอวี่เวยดวงตาเป็ประกายวาว ลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “อื้อหือ น่ารักมากเลย น้องสาวเจินจูข้าอุ้มได้ไหม?”
จื่อยู่กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย สุนัขสีดินในป่าเขาสกปรกยิ่งนัก หากคุณหนูอุ้ม เกรงว่าจะมีตัวหมัดติดมา นางหันไปมองทางเมอเมอหวังแวบหนึ่ง กลับเห็นเมอเมอหวังก้มศีรษะลงไม่ขยับเขยื้อน
“อื้ม ได้สิ” เจินจูอุ้มหนึ่งตัวในนั้นขึ้น “พวกมันล้วนอาบน้ำกันเป็ประจำ บนตัวค่อนข้างสะอาดอย่างมากเลยล่ะ”
กล่าวจบก็ยื่นลูกสุนัขไปให้นาง
โหยวอวี่เวยอุ้มลูกสุนัขสีเหลืองขนนุ่มฟูมาไว้ที่นาง ดวงตาดำประกายชุ่มชื้นมองมาทางนางด้วยความน่ารัก ความไม่สบายใจที่อยู่ภายในของนางล้วนสลายกลายเป็เถ้าถ่านไปจนหมด
“อื้ม น่ารักมากเลยล่ะ เ้าดูสิ มันเลียมือข้าด้วย ไอ๊หยา จะทำอย่างไรดี ข้าชื่นชอบมันมากเลย น้องสาวเจินจูเ้าให้ข้าหนึ่งตัวได้หรือไม่? ขอร้องเ้าล่ะ ข้าชอบมากจริงๆ นะ” โหยวอวี่เวยลูบสุนัขในอ้อมอกด้วยความชื่นชอบ รู้สึกเหมือนหัวใจของตนเองเกือบจะละลายด้วยความน่ารักไปแล้ว
เจินจูชะงักงัน พลางคิดอย่างละเอียดรอบคอบ ลูกสุนัขสองเดือนกว่าแล้ว สามารถดูบุคลิกลักษณะออกได้ไม่น้อย อย่างตัวนั้นที่อยู่ในอ้อมอกของโหยวอวี่เวยค่อนข้างน่ารักเชื่อฟัง ส่วนสองตัวที่เหลือนั้น ตัวหนึ่งค่อนข้างดุและนิสัยเถรตรง ตัวหนึ่งค่อนข้างเฉลียวฉลาดและว่องไวมาก
ตัวที่ค่อนข้างดุร้ายตัวนั้น เจินจูคิดไว้แล้วว่าจะเอามันให้ท่านลุงหวังเป่าหยวน เพื่อฝึกเป็สุนัขล่าสัตว์
ส่วนตัวนั้นที่เฉลียวฉลาด อาชิงจองไว้นานแล้ว
ส่วนตัวน่ารักที่เหลืออยู่ตัวสุดท้าย ลักษณะนิสัยเหมือนกับเสี่ยวหวงที่เป็แม่สุนัขมากที่สุด ทั้งซื่อสัตย์ทั้งจงรักภักดี
“น้องสาวเจินจู ขอเถอะนะ ข้ารับรองเลย จะเลี้ยงดูมันอย่างดีแน่นอน” โหยวอวี่เวยยิ่งมองก็ยิ่งชื่นชอบ อุ้มไว้ในอ้อมกอดไม่อยากวางลงจากมือเลยจริงๆ
เจินจูยิ้ม อุ้มลูกสุนัขออกมาจากในอ้อมอกนางและวางลงบนพื้น
ใบหน้าของโหยวอวี่เวยเปลี่ยนไปขาวซีด น้ำตาคลออยู่ในดวงตากำลังจะไหลร่วงลงมาอยู่แล้ว
คิ้วของจื่อยู่ขมวดขึ้นทันที แม่นางครอบครัวชาวนาผู้นี้ทำไมไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของคนเพียงนี้ คุณหนูของนางขอร้องเพียงนี้แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะไม่ยอมรับปากได้
“ท่านอย่าเอาแต่อุ้มมันไว้สิ ลูกสุนัขอุ้มนานไม่ได้นะ ต้องให้มันขยับและะโมากๆ ถึงจะเติบโตได้แข็งแรง ท่านดูสิ เสี่ยวหวงของบ้านข้าแข็งแรงกว่าสุนัขตัวโตทั่วไปมากเลย” เจินจูราวกับไม่เห็นน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่เต็มดวงตาของนาง และกล่าวต่อ “ลูกสุนัขที่เลี้ยงด้วยตัวเองจะค่อนข้างจงรักภักดีอย่างมาก แล้วก็จะค่อนข้างเชื่อฟังคำสั่งของผู้ที่เลี้ยงมันมากด้วย ดังนั้นหากท่านเลี้ยงไว้ข้างกายด้วยตัวเอง จะปลูกฝังนิสัยของมันได้มากที่สุด”
น้ำตาของโหยวอวี่เวยกำลังจะร่วงลงเมื่อสักครู่ ได้ถูกคำพูดต่อมาของเจินจูทำให้ตื่นเต้นจนต้องเก็บน้ำตากลับไป
“น้องสาวเจินจู เ้า... เ้าจะบอกว่า ให้ข้าเอาไปเลี้ยงหนึ่งตัวได้ใช่หรือไม่?” ดวงตาที่เคยมีน้ำตาเอ่อล้นออกมากลับเป็ประกายวาว
เจินจูยิ้มอย่างงดงาม “อื้ม ตัวนี้จองให้ท่านลุงข้า ตัวนี้อาชิง้าและจองไว้นานแล้ว แต่ยังเหลือตัวนั้นที่ท่านเพิ่งอุ้มเมื่อสักครู่ หากท่านชอบจริงๆ ก็เลี้ยงให้ดีนะ”
“อื้มๆ ข้าชอบ ข้าจะเลี้ยงดูมันอย่างดีเลย” โหยวอวี่เวยพยักหน้าติดๆ กันราวกับลูกเจี๊ยบที่จิกเม็ดข้าว
ลูกสุนัขสามตัวเอาแต่กระดิกหางล้อมรอบพวกนาง รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของโหยวอวี่เวยงดงามสว่างไสว ลูบตัวนี้ทีหยอกตัวนั้นที สุดท้ายตัวที่ชอบที่สุดคือตัวที่มอบให้นางตัวนั้น เสน่ห์ของลูกสุนัขไม่อาจต้านทานได้จริงๆ
“ท่านพี่... ท่านพี่ สุนัข... สุนัข”
นอกประตู ซิ่วจูตัวน้อยก้าวขาเล็กสั้นวิ่งเข้ามา
พานเสวี่ยหลันตามอยู่ด้านหลังของนาง กันนางไว้ไม่ให้วิ่งออกจากลานบ้าน
ดวงตาของโหยวอวี่เวยตกอยู่บนกายจ้ำม่ำของซิ่วจูไปชั่วขณะ
“น้องสาวเจินจู นี่เป็ซิ่วจูใช่ไหม ว้าว... หน้าตางดงามน่ารักจริงๆ”
สายตาของเมอเมอหวังก็ทอดมองไปบนตัวของเด็กสาวตัวน้อยเช่นกัน หลี่หรงเหนียงช่างเป็สตรีที่มีวาสนานัก เครื่องหน้าบุตรสาวคนเล็กงดงาม รูปร่างอิ่มเอิบ ดึงดูดให้คนที่เห็นชื่นชอบอย่างมาก
“ซิ่วจู มาทักทายพี่สาวสกุลโหยวสิ” เจินจูคว้าเด็กสาวตัวน้อยไว้ เพราะนางกำลังคิดจะโผเข้าไปบนตัวของลูกสุนัข
“ท่านพี่ ท่านพี่ ข้าจะเอาสุนัข… สุนัข” ซิ่วจูดีดดิ้น
โหยวอวี่เวยมองด้วยความสนใจ มีรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้น
“ต้องมีมารยาทหน่อยสิ ทักทายคนก่อน... ทักทายพี่สาวสกุลโหยว” เจินจูทำใบหน้าเรียบนิ่ง
“…พี่สาวสกุลโหยว” ซิ่วจูรีบทักทายคนด้วยความเชื่อฟัง
“อื้ม น้องสาวซิ่วจู!” ถูกเด็กน้อยเรียกเข้า โหยวอวี่เวยก็เกิดรอยยิ้มผลิบานไปทั่วทั้งใบหน้า เมื่อคิดขึ้นมาว่านางลืมเอาของขวัญมาให้เด็กน้อย นางก็หงุดหงิดใจกับตัวเองไม่หยุด
คิดไปคิดมาจึงถอดกำไลหยกไขมันแพะ [1] หนึ่งข้างออกจากบนข้อมือแล้วยื่นส่งให้ซิ่วจู
“มา... นี่เป็ของขวัญที่พี่สาวให้เ้า”
สีหน้าของเมอเมอหวังและจื่อยู่ต่างก็เปลี่ยนไปทันที
เชิงอรรถ
[1] หยกไขมันแพะ คือ mutton fat jade หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่าหยกขาว อาจเป็เพราะว่าคนซินเจียงนิยมบริโภคแพะ และเชื่อกันว่าหยกขาวเป็หินที่นำมาซึ่งความสงบ ช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ดีและพลังลบออกจากผู้สวมใส่ และนำมาซึ่งความสงบสุขและโชคดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้