ท้องฟ้าในยามเช้าเป็สีแดงจางๆ ไร้เมฆหมอก แสงแดดอบอุ่นอาบไล้ไปทั้งสำนักเทียนอี้อย่างอ่อนโยน
ในขณะนั้นลานประลองของสำนักเทียนอี้ได้มีผู้มากมายมารวมกัน ดูเหมือนพวกเขากำลังรออะไรอยู่
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้หลายคนแปลกใจคือ กลางลานโล่งอันกว้างใหญ่ ได้มีพื้นที่ยกสูงเป็เวทีประลองอยู่ตรงกลาง รอบๆ ลานประลองมีอัฒจันทร์ตั้งอยู่ซึ่งเป็ที่นั่งของเหล่าคนดู
อัฒจันทร์ทำมาจากหินสีฟ้าครามขนาดใหญ่ มีความสูง 5 เมตรและกว้างกว่า 100 เมตร ้าอัฒจันทร์มีเก้าอี้หินมากกว่า 100 ตัว หากได้นั่งชมการต่อสู้บนอัฒจันทร์นี้จะสามารถมองได้ชัดเจน
“นี่มันอะไรกัน? ดูเหมือนจะมีการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น” ผู้คนมากมายอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
“เ้าไม่รู้หรือว่าวันนี้เป็วันที่หลินเฟิงต้องสู้กับเฮยม่อ? ไม่คาดคิดเลยว่าสำนักเทียนอี้จะสร้างเวทีประลองมาเพื่อการนี้” ชายอีกคนกล่าว การท้าทายในสำนักเทียนอี้นับว่าเป็เื่ปกติ เหล่าชนชั้นสูงน้อยคนที่จะสนใจเื่นี้ แต่ถ้าหากเป็การต่อสู้ของศิษย์อัจฉริยะล่ะก็ พวกเขาถึงจะสนใจดั่งเช่นในวันนี้ ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าเ้าจะมียังไม่รู้” ในขณะนั้นมีใครบางคนเดินมาพร้อมเสียงหัวเราะ และกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้หลินเฟิงได้ก่อเื่วุ่นวายในลานประลองเชลย สังหารคนของลานประลองเชลยและยังลักพาตัวทาสอีก แม้กระทั่งสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 และคนจากตระกูลไป๋ได้มาประณามถึงถิ่นของหลินเฟิงต่อหน้าฝูงชน แต่นอกจากผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับแล้วนอกนั้นถูกสังหารหมด หลังจากที่เกิดเื่ดังกล่าวหลินเฟิงจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาทันที”
“ต่อมายังมีข่าวลืออีกว่าหลินเฟิงได้สวมหน้ากากสีเงิน กลับไปยังลานประลองเชลยอีกครั้ง แล้วเขาก็ได้สังหารไป๋เจ๋อรวมถึงมู่ฟ่านศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ นอกจากนี้เขายังยึดปีศาจสิงโตเพลิงและนำมันไปประมูล”
“อะไรนะ? เ้ากำลังบอกว่าชายลึกลับที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีเงินคือ หลินเฟิง?” เมื่ออีกสองคนได้ยินดังนั้นต่างต้องตกตะลึง เป็ไปได้อย่างไรกันว่าคนผู้นั้นจะเป็หลินเฟิง
“ฮ่าๆๆ มีคนไม่มากนักที่รู้เื่นี้และข้าก็บังเอิญรู้มา คนคนนั้นมีรูปร่างสันทัดและนิสัยบ้าบิ่น เมื่อเทียบกับหลินเฟิงแล้วเขาจะต้องเป็หลินเฟิงอย่างแน่นอน” ชายคนเดิมกล่าวต่อ
“หลังจากกลับมาแล้ว หลินเฟิงก็ไปยังหอฝึกฝนชั้นที่ 3 และสังหารจู่หนิง เคอเฉิงและกงหลุน นอกจากนี้หลินเฟิงยังทำให้ศิษย์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ถึงสามคนต้องหนีไปเพราะความหวาดกลัวราวกับสุนัขจนตรอก จากนั้นเขาก็ยึดครองห้องฝึกฝนทั้ง 8 ห้องของชั้นที่ 3 และไม่ยอมให้ใครได้ใช้อีกต่อไป หลินเฟิงช่างทรงพลังอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่าชื่อเสียงของหลินเฟิงในสำนักเทียนอี้ตอนนี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก และมีคนไม่น้อยเลยที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 มาท้าเขาสู้ แต่นั่นย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเฟิงเสียด้วยซ้ำ แม้กระทั่งเฮยม่อเองก็ไม่ใช่”
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว!” ศิษย์ทั้ง 2 ต่างตื่นตระหนกยิ่งขึ้น หลินเฟิงสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ได้ และยังสังหารจู่หนิงที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ได้อย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งของเขาทำให้สามารถห้องฝึกฝนในชั้น 3 ได้ทั้งหมด ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหลินเฟิงถึงได้ท้าทายเฮยม่อที่เป็ 1 ใน 10 ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนัก ซึ่งดูเหมือนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะเป็ที่จับตามองมาก
“แต่ว่า… แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการสร้างอัฒจันทร์นี้ล่ะ?”
“ที่เอ่ยมามันซับซ้อนมาก ชื่อเสียงของหลินเฟิงมีมากกว่าเฮยม่อ กระทั่งบางคนยังบอกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเฮยม่อที่ซึ่งเป็ 1 ใน 10 ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเทียนอี้ หรืออาจเป็เพราะความหยิ่งยโสของหลินเฟิง เขาจึง้าพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนให้ทุกคนเห็น ดังนั้นเขาจึงอยากให้การประลองครั้งนี้เกิดขึ้นในที่สาธารณะพร้อมกับสักขีพยานจำนวนมาก ครั้งนี้ตระกูลของเขาคงจะมาดูด้วย เฮยม่อคงอยากให้การประลองครั้งนี้นำพาชื่อเสียงและอำนาจมาสู่เขา”
“นอกจากนี้ที่หลินเฟิงไปลานประลองเชลยถึงสองครั้ง ไม่เพียงแต่สร้างความอับอายให้กับตระกูลไป๋เท่านั้น แต่เขายังเผชิญหน้ากับชายหนุ่มแซ่อวี่ และในครั้งที่ 2 ที่ไปลานประลองเชลย เขายังสร้างความบาดหมางกับคนที่มาจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ในบรรดาคนเ่าั้มีอีกคนหนึ่งที่แซ่อวี่ ว่ากันว่าชายหนุ่มทั้ง 2 ของตระกูลอวี่จะมาที่นี่เช่นเดียวกับสมาชิกตระกูลไป๋และบางคนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่”
หลังจากกล่าวจบศิษย์ที่เหลืออีก 2 คนต่างยืนแข็งทื่อ และหัวใจก็เต้นรัวเพราะความกลัว
ตระกูลไป๋ ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ตระกูลของเฮยม่อ และตระกูลอวี่ พวกเขาทั้งหมดต่างเดินทางมาสำนักเทียนอี้เพื่อชมการต่อสู้ครั้งนี้!
นี่ถือเป็การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสำนักเทียนอี้ถึงสร้างเวทีประลองและที่นั่งคนดูได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้
พวกเขาทุกคนตื่นเต้นมาก และรอคอยการต่อสู้ที่จะได้รับชมในอีกไม่นาน
เวลาผ่านไปดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ตระกูลไป๋ ลานศักดิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ตระกูลของเฮยม่อ รวมถึงตระกูลอวี่ต่างมาชมการประลองระหว่างหลินเฟิงและเฮยม่อ คาดไม่ถึงว่าลานประลองขนาดใหญ่ของสำนักเทียนอี้จะอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่มารอชมการต่อสู้ แม้จะยังไม่ทราบว่าพวกเขาจะเริ่มต่อสู้กันตอนไหนก็ตาม
ในตอนนี้มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้างลานประลอง และเดินตรงไปยังเวทีประลองช้าๆ
ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ ร่างกายปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายอันเยือกเย็นและชั่วร้าย สีหน้าของเขาดูมืดมน แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมุ่งมั่ง
“เฮยม่อ!”
เมื่อเห็นคนคนนี้ฝูงชนต่างต้องตกตะลึง เพราะคนที่เพิ่งมาที่แท้ก็คือเฮยม่อ
ในตอนนี้ผู้คนเห็นเพียงเฮยม่อก้าวมาถึงกลางเวทีประลอง จากนั้นเขาก็นั่งสมาธิและหลับตาลง โดยไม่สนใจผู้คนรอบข้างแม้แต่นิด
เฮยม่อเป็ 1 ใน 10 ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเทียนอี้ และมีการบ่มเพาะระดับสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 และจิติญญานักรบของเขาก็คือจิติญญาเพลิงทมิฬ แม้แต่ผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิตวิญญาญขั้นที่ 7 ก็ยังไม่กล้าสู้กับเฮยม่อ
มีเพียงผู้ที่เคยต่อสู้กับเฮยม่อแล้วเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของเฮยม่อช่างน่าหวาดกลัว แม้เขาจะเป็ 1 ใน 10 ผู้แข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้ได้มีคนท้าสู้เฮยม่อแต่กลับต้องแพ้ไป เฮยม่อจัดว่าเป็คู่ต่อสู้ที่อันตรายมาก
ขณะนั้นได้มีกลุ่มคนจำนวนมากเดินมาจากที่ไกลๆ คนเหล่านี้แบ่งออกเป็หลายกลุ่มใหญ่ โดยตรงกลางเป็ชายวัยกลางคนใส่ชุดสีม่วง ข้างหลังเขามีชายหนุ่มสองคน หากหลินเฟิงอยู่ที่นี่เขาต้องจำสองคนนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะทั้งสองคนนี้มีคนหนึ่งที่ถูกหลินเฟิงจับทุ่มใส่เก้าอี้หินที่ลานประลองเชลย และอีกคนหนึ่งก็เป็ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ผู้ที่้ามอบปีศาจสิงโตเพลิงให้กับมู่ฟ่าน
นอกจากนี้ด้านหลังของพวกเขาทั้งสามคนยังมีฝูงชนที่ติดตามมาด้วย นั่นก็คือคนจากตระกูลไป๋ ครั้งก่อนที่มาประณามถึงลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ แต่กลับถูกชายวัยกลางคนชุดฟ้าไล่ตะเพิด
“คนจากตระกูลอวี่”
ผู้คนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นคนจากตระกูลอวี่ที่อยู่ด้านหลัง แม้จะไม่เคยเห็นชายในชุดสีม่วง แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าชายคนนี้กับชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างเขา เป็คนจากตระกูลอวี่อย่างไม่ต้องสงสัย
ตระกูลอวี่และตระกูลต้วน ทั้งสองเป็ตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็ลานประลองเชลยหรือลานประมูล ล้วนแต่อยู่ใต้อำนาจของตระกูลอวี่
ในเมืองหลวง นอกจากตระกูลต้วน ตระกูลเยว่และนิกายหมื่นอสูรแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถต่อกรกับตระกูลอวี่ได้ อีกทั้งตระกูลเยว่ในตอนนี้ก็อยู่อย่างสงบ พวกเขาไม่สนใจเื่ภายนอก ส่งผลให้ตระกูลอวี่มีชื่อเสียงได้อย่างทุกวันนี้
นอกจากตระกูลอวี่และตระกูลไป๋ ทางซ้ายก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่แต่งกายแบบเดียวกัน เครื่องแบบของพวกเขาล้วนปักตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้เป็คำว่า ‘ลานศักดิ์สิทธิ์’
พวกเขาคือคนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่
ทางด้านขวาเป็กลุ่มของชายหนุ่มในชุดดำ พวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าเ็าและกลิ่นอายเยือกเย็นแผ่ออกมาจากร่างกาย
กลุ่มคนเหล่านี้คือตระกูลเนีย ซึ่งเป็ตระกูลที่ไม่ธรรมดา ไม่เหมือนตระกูลอวี่ที่มีอิทธิพลมากมาย แต่ตระกูลอวี่กลับไม่เคยมีใครกล้าดูถูก และตระกูลของพวกเขาก็ไม่มีใครเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่อ่อนแอแม้แต่คนเดียว
เมื่อคนกลุ่มใหญ่เหล่านี้มาถึงก็ได้สร้างความกดดันให้กับฝูงชนอย่างมาก ทำให้เสียงพูดคุยค่อยๆ สงบลง แล้วบรรยากาศก็กลายเป็เงียบงัน
“ทุกท่านที่มายังสำนักเทียนอี้ในวันนี้ ข้าไม่สามารถออกไปต้อนรับพวกท่านได้ ต้องขออภัยอย่างยิ่ง”
ทันใดนั้นได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็เห็นใครบางคนลอยลงมาจากท้องฟ้า ไปยืนด้านหน้าเหล่าสมาชิกตระกูลอวี่
ชายชุดม่วงจากตระกูลอวี่ขมวดคิ้ว ขณะมองรองเ้าสำนักหลงอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
“รองเ้าสำนักหลง ช่างวางมาดได้มีสง่าราศรียิ่งนัก” ชายชุดม่วงกล่าวอย่างไม่แยแส เห็นได้ชัดว่าที่อีกฝ่ายลอยลงจากท้องฟ้าและมายืนอยู่หน้าพวกเขาถือเป็เื่ไม่สุภาพมาก
“ฮ่าๆๆ ชื่อเสียงของท่านอวี่มีมากมาย ท่านเองก็หยิ่งยโสเหมือนกับข้า”
รองเ้าสำนักหลงตอบโต้ไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังอัฒจันทร์ที่อยู่ไม่ไกล ก่อนกล่าวว่า “ทุกท่านที่มาเพื่อชมการต่อสู้ในวันนี้ เชิญไปยังที่นั่งของตัวเองได้เลย”
ชายชุดม่วงตะคอกออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นก็เดินตรงไปยังที่นั่งของตัวเอง