ในตอนบ่าย หัวหน้าตระกูลเสิ่นได้มาเรียกคนในตระกูลทั้งหมดให้ไปช่วยกันตรวจสอบคานบ้านของทุกๆคนอีกครั้งนอกจากนี้ยังไปช่วยกันจัดงานศพให้แก่คู่สามีภรรยาที่เสียชีวิตจากบ้านถล่มด้วย
กู้เจิงกับชุนหงก็ไปช่วยด้วยเช่นกันนี่เป็ครั้งแรกที่กู้เจิงพบเจอคนของตระกูลเสิ่นมากมายขนาดนี้หัวหน้าตระกูลเป็ชายชราแต่ท่าทางยังแข็งแรง เขาสวมชุดเรียบง่าย ไว้เคราแพะผมขาวเกือบหมดหัว ยามนี้เขากำลังออกคำสั่งกระจายงานให้กับทุกคนด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
กู้เจิงรู้มาว่าคู่สามีภรรยาที่ตายไปนั้นมีสายเืเกี่ยวข้องกับหัวหน้าตระกูลแต่ถึงแม้จะไม่ใช่สายเืใกล้ชิดหรือเกี่ยวข้องกัน แต่ทุกคนก็พักอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันเป็เหมือนญาติใกล้ชิดคนสนิทกันอยู่ดี
“คุณหนู ดูนั่นสิเ้าคะ เ้าหนูเสี่ยวเหมา” ชุนหงดึงแขนเสื้อของกู้เจิง
กู้เจิงเงยมองไปยังหน้าโถงเซ่นไหว้ิญญา มีเด็กน้อยคุกเข่าอยู่เขาร่างกายผอมบาง แววตาล่องลอย มีคนเดินเข้าไปแสดงความเสียใจบ้างเขาก็ได้แต่โค้งคำนับ
กู้เจิงรู้จักเด็กคนนี้ดีเพราะเขามักจะมาขายไขู่เาที่บ้านสามีของนาง หรือว่าคู่สามีภรรยาที่เสียชีวิตนี้จะเป็พ่อแม่ของเสี่ยวเหมา กู้เจิงได้รับคำตอบในทันทีจากสายตาของนายหญิงเสิ่น
คนที่รู้จักคุ้นเคยตายจากกันไปกับคนที่ไม่รู้จักกันตายจากไปอารมณ์นั้นไม่เหมือนกัน เดิมทีกู้เจิงก็รู้สึกแย่เป็ทุนเดิมอยู่แล้วพอรู้ว่าเป็พ่อแม่ของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ จึงยิ่งรู้สึกเศร้าใจมากขึ้นไปอีก
วันที่พ่อแม่ของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ถูกฝังร่างลงสู่ผืนดินตรงกับวันที่การสอบสิ้นสุดลงพอดี
นายหญิงเสิ่น นายท่านเสิ่นและกู้เจิงได้เปลี่ยนจากชุดไว้ทุกข์เป็ชุดธรรมดา และกำลังจะพากันออกไปรับเสิ่นเยี่ยนแต่ก่อนไปลุงใหญ่เสิ่นได้มาแจ้งข่าวอย่างดีใจว่า “เ้าสี่ น้องสามกลับมาแล้ว”
ดังนั้นจึงเหลือแค่กู้เจิงกับชุนหงที่จะไปรับเสิ่นเยี่ยนกันแค่สองคนส่วนพ่อแม่สามีก็เปลี่ยนไปหาลุงสามแทน
ที่หน้าสนามสอบเต็มไปด้วยผู้คนที่มารอรับบุตรชาย รออยู่เพียงไม่นานประตูก็เปิดออก ผู้เข้าสอบเดินออกมาทีละคน
กู้เจิงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนจะสอบเป็อย่างไรบ้าง
“นั่นท่านบุตรเขยเ้าค่ะ” ชุนหงชี้ไปที่หน้าประตู
กู้เจิงมองไปยังร่างสูงโปร่งสะดุดตาของเสิ่นเยี่ยน่เก้าวันนี้อาหารการกินคงไม่ค่อยถูกปากเขา เขาดูผอมลงเล็กน้อยทำให้ยิ่งดูเ็าและเคร่งขรึมมากขึ้น
“ท่านพี่” กู้เจิงวิ่งเข้าไปหา
เมื่อเห็นกู้เจิงมารับ ดวงตาเ็าของเสิ่นเยี่ยนก็ฉายแววอบอุ่นขึ้นมา “เ้ามาได้อย่างไร?”
“ข้ามารับท่านเ้าค่ะ” กู้เจิงรีบถามถึงการสอบ “ท่านพี่ การสอบเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?”
ชุนหงได้ยินคุณหนูเอ่ยถามตรงๆ เช่นนี้ ก็รีบกระตุกแขนเสื้อนางคุณหนูถามเช่นนี้ ท่านบุตรเขยจะรู้สึกว่าคุณหนูสนใจแต่เื่สอบของเขาเท่านั้นรึเปล่า
เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “น่าจะก้าวหน้าไปอีกสามขั้น”
กู้เจิงอ้าปากน้อยๆ เขามั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ? มองเข้าไปในดวงตาของเสิ่นเยี่ยน นางนิ่งอึ้งไปพลางถามย้ำอีกที “จริงหรือเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น ภรรยาไม่เชื่อเขาหรือ?
“ทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ถึงไม่มาด้วย?” เสิ่นเยี่ยนหันซ้ายแลขวาไม่เห็นบิดามารดาเลยเอ่ยถาม
“เมื่อไม่กี่วันก่อนมีหิมะตกหนัก บ้านหลายหลังของคนในหมู่บ้านพังยับเยินเลยเ้าค่ะ” กู้เจิงเล่าเื่ที่เกิดขึ้นใน่สองสามวันที่ผ่านมาให้สามีฟังรวมถึงเื่ที่ลุงสามกลับมาแล้วด้วย
เสิ่นเยี่ยนมีสีหน้าหนักใจ เมื่อได้ยินเื่ลุงสาม
ขณะที่พวกเขากำลังจะพากันกลับบ้านก็มีรถม้าตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา เป็รถม้าของจวนกู้
กู้หงหย่งและบุตรชายเดินลงมา
“ท่านพ่อ น้องรอง” กู้เจิงคารวะบิดา
“พี่เขยใหญ่” ั้แ่ที่เสิ่นเยี่ยนได้ช่วยทบทวนหนังสือให้กู้เจิ้งชินเขาก็เริ่มนับถือพี่เขยคนนี้มากขึ้น จนลืมแม้แต่การทักทายพี่สาว เขามัวแต่ถามเสิ่นเยี่ยนอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านสอบเป็อย่างไรบ้าง?”
กู้หงหย่งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “นี่ยังต้องถามอีกหรือ? ขนาดเ้ายังบอกว่าทำข้อสอบได้ไม่เลวเลยพี่เขยใหญ่ของเ้ายิ่งต้องทำได้ดีกว่าแน่” เขาหันมาหากู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยน “ข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่หอถงชุน คืนนี้พวกเ้าก็มาฉลองด้วยกันสิหลายวันมานี้ท่านกับชินเอ๋อร์เองก็คงทานอาหารกันไม่ค่อยได้นัก”
เสิ่นเยี่ยนได้ปฏิเสธพร้อมกับอธิบายถึงสาเหตุให้พ่อนางฟัง
กู้หงหย่งถอนหายใจอย่างเสียดาย “เช่นนั้นพวกเ้าควรจะไปไหว้พระทำบุญกันสักหน่อยอีกอย่างอาสามที่ห่างหายไปนานของเ้าก็กลับมา เอาเถอะๆค่อยมากินข้าวด้วยกันวันหลัง ขึ้นรถม้าสิ ข้าจะส่งพวกเ้ากลับบ้านเอง”
กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนไม่ปฏิเสธ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เสิ่นเยี่ยนก็ไปจุดธูปไหว้ิญญาคนตายที่บ้านของเสี่ยวเหมาก่อนพอทุกคนเห็นเขากลับมา ก็ได้เข้าไปไต่ถามถึงการสอบอย่างเป็ห่วง
เสิ่นเยี่ยนตอบคำถามทุกคนจนครบ แล้วเขาก็ตรงมาหาเสี่ยวเหมาเอ๋อร์เขามองดูเด็กน้อยที่เซื่องซึมแต่ไม่มีน้ำตาเลยสักหยดทว่าร่างกายของเด็กน้อยผอมบางลงกว่าเมื่อก่อนมากแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดปลอบใจอย่างไรดี
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ชุนหงก็ต้มน้ำให้เสิ่นเยี่ยนอาบหลังจากจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนถึงพากันมาที่บ้านของลุงใหญ่เสิ่น
ตอนนี้กู้เจิงถึงเพิ่งรู้ว่าลุงใหญ่เป็ช่างตีเหล็กเขามีบุตรชายสองคนและบุตรีหนึ่งคนลูกชายคนหนึ่งเปิดร้านตีเหล็กอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ส่วนอีกคนเปิดร้านตีเหล็กอยู่ทางตอนเหนือของเมืองส่วนลูกสาวของเขาได้แต่งงานออกไปอยู่กับสามีที่มณฑลผิงเหยาจะกลับมาบ้านก็่ตรุษจีน
ยามที่กู้เจิงเห็นลุงสามมองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเขาคือคนของตระกูลเสิ่นหน้าตาของเขาดูคล้ายกับนายท่านเสิ่นเมาก ใบหน้ากลมยิ้มแย้มอย่างเป็มิตรเมื่อพี่น้องทั้งสี่ยืนอยู่ด้วยกัน บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความสุข
“หลานชายเ้าคือเสิ่นเยี่ยนกระมัง เ้าช่างหล่อเหลาโดดเด่นจริงๆอย่างที่บิดาของเ้ามักเขียนมาในจดหมายที่ส่งมาให้ข้า” ลุงสามหัวเราะพร้อมเอ่ยชมเสิ่นเยี่ยนอย่างจริงใจ
นายหญิงเสิ่นเมื่อได้ยินลุงสามพูดขึ้น ก็เหลือบมองสามีนางกระดากอายอยู่บ้าง ทว่าสามีนางกลับไม่ละอายแม้แต่น้อยซ้ำยังทำหน้าภูมิใจอีกด้วย
กู้เจิง “...”
“ท่านพ่อชอบเอ่ยเกินจริงเสมอขอรับ” เสิ่นเยี่ยนได้ฟังแล้วหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก
“เ้าคือหลานสะใภ้กู้เจิงหรือ?” สตรีงดงามนางหนึ่งเข้ามาถามกู้เจิงอย่างเป็กันเองอีกฝ่ายหน้าตาถือได้ว่าเป็โฉมสะคราญผู้หนึ่งเลยทีเดียว
“อาเจิง นางคือป้าสาม” นายหญิงเสิ่นรีบบอก
“คารวะป้าสามเ้าค่ะ” กู้เจิงรีบคารวะ ป้าสามผู้นี้หน้าตาโดดเด่น ทุกอิริยาบถล้วนงดงามมิน่าลุงสามถึงได้หนีออกจากบ้านเพื่อไปอยู่กับนาง
“เอาล่ะ เอาล่ะ นั่งลงกันก่อนเถอะ” ป้ารองพูดยิ้มๆ “หลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จเราจะไปที่บ้านของน้องสามทุกคนได้ช่วยกันทำความสะอาดเก็บกวาดที่นั่นไปรอบหนึ่งแล้วพวกเ้าไปถึงก็ดูว่ายังมีอะไรขาดเหลืออีกบ้าง”
ลุงรองเสิ่นกล่าวสำทับ “ถ้ายังขาดเหลืออะไรก็ให้อากุ้ยจัดการแล้วกัน”
เสิ่นกุ้ยบุตรชายของลุงรองเป็ช่างไม้ทำงานรับใช้อยู่ในบ้านของขุนนางผู้หนึ่งเงินที่ได้รับจึงมากกว่าชาวบ้านทั่วไปอยู่มาก
พี่น้องตระกูลเสิ่นทั้งสี่คนมีที่ดินอยู่ไม่น้อย บวกกับลูกๆของแต่ละคนล้วนมีฝีมือ ดังนั้นถึงจะเป็ตระกูลชาวบ้านทั่วไป แต่ฐานะของตระกูลเสิ่นก็นับว่าดียิ่งกู้เจิงเคยได้ยินท่านพ่อพูดไว้ว่า ในตระกูลเสิ่นยังมีลูกหลานอีกหลายคนที่เป็จวี่เหรินและซิ่วไฉแต่แปลกที่นางไม่ค่อยได้ยินเื่เกี่ยวกับพวกเขานัก
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ทุกคนจึงพากันไปที่บ้านของลุงสามแม้จะไม่มีคนอยู่มาหลายปี แต่ทุกคนได้มาช่วยกันซ่อมแซมแล้วดังนั้นหิมะที่ตกหนักเมื่อหลายวันก่อนจึงไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับบ้านหลังนี้
เมื่อได้กลับมาถึงบ้านที่จากไปนานขนาดนี้ ลุงสามก็พลันนึกถึงความหลังเก่าๆเขาร้องไห้เสียใจจนคุกเข่าลงกับพื้น ป้าสามก็รีบคุกเข่าตามด้วยสีหน้าละอายใจ
กู้เจิงเดาว่าที่ลุงสามร้องไห้เพราะเขาไม่เชื่อฟังและอกตัญญูต่อบิดามารดายามพ่อแม่ป่วยตาย เขาก็ไม่ได้อยู่ไว้ทุกข์ให้พวกเขา เขายอมทอดทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะได้อยู่กับภรรยา
ตกดึก พี่น้องตระกูลเสิ่นทั้งสี่ยังก็คงจับเข่าพูดคุยกันอยู่เพราะไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันมานานแต่พวกสตรีและหลานๆ ต่างแยกย้ายกลับไปบ้านของตน
นายหญิงเสิ่นและเสิ่นเยี่ยนเดินนำหน้าคุยกันเบาๆนางสอบถามบุตรชายถึงเื่การสอบ
หลังจากกลับถึงบ้านและทำธุระทุกอย่างเสร็จสิ้น เวลาก็ดึกมากแล้ว
กู้เจิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางปล่อยผมยาวลงมาผ้าไหมสีครามผูกติดรอบเอว ขับให้เอวบางของนางยิ่งดูเรียวเล็กลง เมื่อเสิ่นเยี่ยนก้าวเข้ามาดวงตาจึงจับจ้องอยู่ที่เอวบางของนางพอดี
“ท่านพี่” กู้เจิงหันไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้เสิ่นเยี่ยนท่ามกลางแสงเทียนอบอุ่น ใบหน้างดงามนั้นยิ่งน่าหลงใหลมากขึ้น นางสวมเพียงชุดตัวใน แม้จะค่อนข้างหนาแต่เนื้อผ้าที่แนบติดกับร่างกายก็เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าอย่างชัดเจน “ข้าอ่านหนังสือเหล่านี้จบแล้วเ้าค่ะ” กู้เจิงชี้ไปที่กองหนังสือบนโต๊ะ นางพูดด้วยความภูมิใจอีกว่า “ข้ายังอ่านเพิ่มอีกหลายเล่มด้วยนะเ้าคะ”
“จริงหรือ?” น้ำเสียงของเสิ่นเยี่ยนแหบพร่าเล็กน้อยเขาเดินไปนั่งที่ข้างกายนางและหยิบกระดาษที่ภรรยาฝึกเขียนบนโต๊ะขึ้นพลิกดูทีละแผ่น “เ้าฝึกเขียนแค่ไม่กี่แผ่นเองหรือ?”
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ แต่เอ่ยอย่างทะนงตัวว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ฝึกเขียนตัวอักษรมากนักแต่ข้าจำตัวอักษรในหนังสือพวกนี้ได้หมดแล้วเ้าค่ะ ส่วนเื่การเขียนนั้นค่อยๆฝึกไปก็ได้”
ท่าทางมั่นใจไม่ยอมใครทำให้สายตาของเขาถุกดึงดูดให้มองไปที่ใบหน้าของนางแต่เมื่อสบกับดวงตาคู่งามที่เปล่งประกายอ่อนหวานเย้ายวนเข้าก็ต้องรีบเบนสายตาออกทันทีเขารีบกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าเหนื่อยแล้วเข้านอนเถอะ”