สายตาของซูิเยว่เลื่อนลง ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นแขนของจี๋โม่หาน แขนเสื้อของจี๋โม่หานเลิกออก เผยให้เห็นข้อมือขาวมีรอยฟันและมีเืซิบ
“แขนท่านเป็อะไรหรือ?”
จี๋โม่หานดึงแขนเสื้อลงมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ไม่เป็ไร”
จะไม่เป็อะไรได้อย่างไร?
ซูิเยว่ขมวดคิ้ว จู่ๆ นางก็คิดได้ว่าตอนที่สติของนางเลือนรางก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะสลบอยู่ แต่เพราะเจ็บมากจึงพอจะรู้สึกตัวอยู่เล็กน้อย เหมือนจะมีอะไรเย็นๆ ยื่นมาที่ปาก นางจึงกัดลงไป
“เจ็บมากหรือไม่?” ซูิเยว่ถอนหายใจน้อยๆ รอยฟันลึกขนาดนี้
“ไม่เป็ไร ไม่เจ็บ” เสียงของจี๋โม่หานอ่อนโยน “ถึงเจ็บแค่ไหนก็สู้ความเ็ปของเ้าไม่ได้หรอก หากเป็ไปได้ ข้ายอมที่จะเจ็บแทนเ้า”
“เช่นนั้นต่อไปจะทิ้งรอยแผลเป็ไว้หรือไม่?”
“แบบนั้นก็ดีสิ นี่เป็รอยประทับที่แม่หนูทิ้งไว้บนตัวข้า ข้าจะเก็บมันไว้ตลอดไป”
ซูิเยว่หัวเราะเบาๆ พลางดึงแขนเสื้อของจี๋โม่หาน “ท่านเฝ้าอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งคืนเลยหรือ?”
“แม่หนูไม่ฟื้นขึ้นมา ข้าก็ไม่วางใจ”
ก้นบึ้งหัวใจของซูิเยว่มีความอบอุ่นสายหนึ่งทะลุออกมา จากนั้นนางก็พูดออกมากะทันหัน “เช่นนั้นนอนกับข้าแล้วกัน”
จี๋โม่หานชะงักไป ต่อมาก็พยักหน้า “ได้”
ซูิเยว่ขยับไปด้านในเล็กน้อย จี๋โม่หานรวบเสื้อผ้าก่อนจะขึ้นไปนอนอยู่ข้างกายนาง เขากลัวว่าจะไปถูกปากแผลบนตัวของนาง จึงทำได้แค่วางมือไว้ด้านข้าง
ซูิเยว่ได้กลิ่นหอมจากตัวของจี๋โม่หาน พอซบที่หน้าอกของเขา ในใจก็รู้สึกสงบใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้
“จริงสิ” ซูิเยว่คิดเื่หนึ่งขึ้นมาได้ “กากยาในวันนี้มันคือเื่อะไรกัน?”
ตอนนั้นที่จัดการเื่นี้นางยังไม่ได้สลบไป ดังนั้นจึงยังมีสติชัดเจน
“ใช้วิธีของเขามาจัดการเขาก็เท่านั้น” จี๋โม่หานหัวเราะเสียงเย็น แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงมาอ่อนโยน เขาจุมพิตที่หน้าผากของซูิเยว่เบาๆ “เื่พวกนี้แม่หนูไม่ต้องกังวลหรอก”
ซูิเยว่เองก็ไม่ใช่คนโง่ ถึงแม้จี๋โม่หานจะพูดไม่ชัดเจน แต่นางครุ่นคิดสักหน่อยก็เข้าใจแล้ว หลังจากที่นางเข้าคุกไป จี๋โม่หานคงจะรู้เื่ที่คนสนิทของฮองเฮาเวินเยว่มาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ “ขอบพระทัยเพคะ”
“ขอบคุณอะไรกัน แม่หนูไม่ต้องกังวลหรอก”
“ฮองเฮารู้เื่มารดาของหม่อมฉัน หม่อมฉันอยากรู้ความจริง ถึงได้รับปากจะช่วยนาง” ซูิเยว่ถอนหายใจ “ครั้งนี้ท่านไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตหม่อมฉันเท่านั้น ท่านยังช่วยเหลือหม่อมฉันไว้อีกหลายเื่”
“ที่จริงเื่นี้ก็ช่วยเอาไว้ได้เยอะมาก เพราะเื่นี้ข้าถึงคิดแผนนี้ออก ไม่เช่นนั้นฮ่องเต้ก็คงไม่ลงโทษสถานหนักกับองค์ชายห้า ฮ่องเต้คนนี้น่ะสนใจอำนาจมากที่สุด เขาเป็คนที่ชอบสงสัย ดังนั้นเื่นี้จะทำให้เขารู้สึกสงสัยองค์ชายห้า หากในใจมีความสงสัยขึ้นมาแล้วก็จะเพิ่มความสงสัยขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ต่อไปพวกเราไม่ต้องหนีอีกแล้ว องค์ชายห้าไม่มีทางมีจุดจบที่ดีหรอก”
“เขาจะไม่สงสัยหรือว่าเื่นี้เป็จริงหรือเท็จ?”
จี๋โม่หานหัวเราะเสียงเบา “ที่จริงแค่กากยากับคำพูดฝ่ายเดียวไม่เพียงพอจะกำหนดโทษได้ แต่ครั้งนี้ถือว่าเพียงพอแล้ว ฮ่องเต้ไม่ปล่อยให้คนที่มีใจคิดคดทรยศต่อเขามีชีวิตอยู่หรอก”
ซูิเยว่ถอนหายใจ ถึงแม้จะไม่ได้แก้แค้นด้วยตัวเอง แต่ขอแค่องค์ชายห้าได้รับโทษนางก็พอใจแล้ว
“จริงสิ คิดไปแล้วท่านเองก็เคยเจอคนสนิทคนนั้นที่อยู่ข้างกายฮองเฮาใช่หรือไม่ หม่อมฉันแค่แปลกใจเล็กน้อย ตอนที่นางบอกว่า ถึงแม้หม่อมฉันจะช่วยฮองเฮาเวินเยว่ไม่ได้ แต่ท่านกลับช่วยได้มันเพราอะไรกัน ตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น นางมั่นใจได้อย่างไรว่าท่านจะยื่นมือเข้ามาช่วย?”
เื่นี้ซูิเยว่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ชาติก่อนนางไม่เคยเห็นฮองเฮาเวินเยว่ติดต่อกับจี๋โม่หานเท่าไร แล้วก็ไม่ได้สนิทกัน
จี๋โม่หานก็พลันเงียบไป ไม่ได้พูดอะไร
ซูิเยว่รู้สึกถึงความผิดปกติของคนด้านข้าง ปกติแล้วนางจะเป็พวกความรู้สึกไว ในใจจึงมีความคิดมากมายแล่นมา หรือว่าจี๋โม่หานกับฮองเฮาเวินเยว่แต่ก่อนนั้นจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกัน?
แต่ก็ไม่ค่อยถูกเท่าไร จี๋โม่หานเป็องค์ชายที่อายุน้อยที่สุดในเมืองหลวง ถึงแม้เวินเยว่จะเป็พี่สะใภ้ของเขา แต่อายุของทั้งสองก็ยังห่างกันมาก
ซูิเยว่คิดไปไกลโดยไม่รู้ตัว
จี๋โม่หานเหมือนกับคาดเดาความคิดของนางได้จึงหัวเราะออกมาเบาๆ “เด็กโง่ เ้าคิดมากอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ซูิเยว่ดึงความคิดกลับมา แต่ก็ปากแข็ง “เปล่านะ ในเมื่อท่านไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดแล้ว”
แน่นอนว่าซูิเยว่รู้ว่าระหว่างจี๋โม่หานกับฮองเฮาเวินเยว่นั้นเป็ไปไม่ได้ ในเมื่อเป็คนที่ตนชอบ นางก็จะต้องเชื่อใจเขา
จี๋โม่หานถอนหายใจน้อยๆ แล้วดึงซูิเยว่เข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองเบาๆ ก่อนจะวางคางบนหัวของซูิเยว่แล้วพูดเสียงเบา “แม่หนูไม่ต้องคิดมาก ความจริงแล้วไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร”
ซูิเยว่ฟังเขาพูดเงียบๆ
จี๋โม่หานพูด “เสด็จแม่ของข้าจากไปตอนข้าหนึ่งขวบ ตอนข้าอายุสี่ขวบก็ถูกส่งไปเลี้ยงบนูเา ตอนนั้นคนที่ดีกับข้ามากที่สุดก็คือพี่สาม หรือก็คือองค์ชายสามซีฉู่หวาง เวิ่นเฉินหลัน ตอนนั้นเขายังเป็องค์ชาย จะมาหาข้าสามวันห้าวันครั้ง แล้วก็เอาของกินอร่อยๆ มาให้ข้าเยอะมาก ตอนนั้นร่างกายของเสด็จพ่อไม่ดีแล้ว ในราชสำนักก็แย่งตำแหน่งฮ่องเต้กันดุเดือดมากขึ้นทุกวัน ตอนนั้นคนที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดจะได้เป็ฮ่องเต้”
“หนึ่ง ถึงแม้จะมีความทะเยอทะยานมาก แต่ก็ต้องฉลาดและมีความกล้า สอง เสด็จแม่ของเขาหรือก็คือกู้ไท่เฟย ด้านหลังต้องมีครอบครัวคอยสนับสนุน แต่องค์ชายสามซีฉู่หวางปกติแล้วไม่ชอบเข้าร่วมการต่อสู้ ความปรารถนาของเขาจึงไม่ใช่ตำแหน่งสูง”
จี๋โม่หานพูดแล้วก็หยุดไปครู่หนึ่ง เื่ที่เขาพูดพวกนี้ซูิเยว่รู้อยู่แล้ว ตอนนั้นเื่พวกนี้นางก็พอจะได้ยินมาพอสมควร แต่ตอนนี้ได้ยินจี๋โม่หานเล่าให้นางฟังเองก็รู้สึกอีกแบบ
เมืองหลวงในตอนนี้นอกจากฮ่องเต้ที่อยู่ในตำแหน่ง องค์ชายที่เหลือนับรวมจี๋โม่หานไปด้วยก็มีแค่สามพระองค์ สองในนั้นต่างมีเมืองของตัวเองที่อยู่ไกลออกไป
คนที่จี๋โม่หานพูดถึงนี้นางไม่เคยเจอมาก่อน เพียงแต่ได้ยินคนอื่นพูดถึงครั้งหนึ่ง เหมือนจะจากไปนานแล้ว
ซูิเยว่กุมมือของจี๋โม่หานกลับ จี๋โม่หานก็กุมฝ่ามือของนางเบาๆ แล้วพูดต่อ “แต่ปกติแล้วราชวงศ์ก็ไม่ได้เป็ไปอย่างที่ใจ้าอยู่แล้ว ถึงแม้พี่สามไม่มีความคิดที่จะแย่งตำแหน่งฮ่องเต้ แต่ก็ยังถูกหมายหัวจากใครบางคน”
ซูิเยว่พูดแทรกขึ้นมา “ฮ่องเต้หรือ?”
“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก” จี๋โม่หานตอบกลับ “เพราะตอนนั้นยังมีองค์ชายคนอื่นอีกมากมาย ปกติแล้วยังฝืนรักษาความสัมพันธ์ในที่แจ้งได้ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าคนที่ลงมือกับเราอยู่ในที่มืดจะไม่ใช่คนใกล้ชิดที่อยู่ข้างกายตัวเองกัน? ฮ่องเต้ในตอนนั้นเป็คนที่มีอำนาจมากที่สุด องค์ชายทุกคนที่คุกคามเขาต่างก็เคยถูกเขากับครอบครัวเสด็จแม่ของเขาเล่นงานมาก่อน”
“แล้วท่านล่ะ เคยถูกเขาเล่นงานหรือไม่” ซูิเยว่พูดพึมพำ ตอนนั้นจี๋โม่หานอายุคงจะไม่มาก ทั้งยังใช้ชีวิตอยู่นอกวังอีก
จี๋โม่หานเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พลันกลั้วหัวเราะออกมา ไม่ได้ตอบกลับแต่ถาม “เ้ารู้หรือไม่ ข้าคิดมาตลอดว่าตอนนั้นที่เสด็จพ่อส่งข้าออกจากวังเป็เพราะเขาไม่ชอบข้า แต่ต่อมาข้าถึงได้รู้ว่า เขาทำเพื่อปกป้องข้า”
“เพราะอะไรหรือ?” ซูิเยว่ชะงักไป เกี่ยวกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน นางไม่มีความทรงจำอยู่มากเท่าไร แต่เคยได้ยินว่าเป็าาที่ปราดเปรื่อง