ิเป่าจูไม่เป็อะไร เพราะนางทับอยู่บนตัวของหญิงคณิกา พอได้ยินคนใต้ร่างะโร้องให้รีบลุกโดยเร็ว นางก็ยื่นมือออกไป คิดจะช่วยพยุงคนขึ้นมา
“นายท่านช่วยข้าด้วย”
หลังจากนั่งขึ้นมาได้ ก็ไม่ยอมลุกขึ้น แต่กลับจัดเสื้อผ้าหน้าผมก่อน หลังจากนั้นก็ดัดเสียงอ่อนเสียงหวานร้องขอความช่วยเหลือ ิเป่าจูฟังแล้วก็อยากจะยกนิ้วโป้งให้นางยิ่งนัก
“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ รนหาที่ตายหรือไร”
หวังเฉินเดินมายืนอยู่เบื้องหน้าิเป่าจู นี่คือพวกชั้นต่ำที่ตนเองเห็นที่ชั้นสองมิใช่หรือ
ทันใดนั้นก็ย่นคิ้วอย่างรังเกียจถอยออกไปไกลๆ
ทั้งสองได้ยินเสียงครึกโครมทางนี้จึงมองมา เห็นสตรีนั่งอยู่ที่พื้น หวังเฉินถึงนึกได้ ตอนแรกเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่อย่างไรเสียตนเองก็พาคนมา จะเสียหน้าไม่ได้ เมื่อเขาลุกเดินออกมา เหยียนเฟิงก็ย่อมตามมาด้วยกัน
“เป็ข้าไม่ระวังเอง ต้องขออภัยแม่นางตรงนี้ด้วย” ิเป่าจูยอมเป็ฝ่ายขอขมาโดยไม่คิดว่าเป็เื่ลำบากใจอันใด
เมื่อถึงเวลาที่ควรขออภัยก็ต้องเอ่ยในเวลาที่เหมาะสม ด้วยสถานะของนางหากสามารถเลี่ยงได้ ก็ควรอยู่ให้ห่างหวังเฉินไว้จะดีกว่า
ระหว่างที่นางลงมาข้างล่าง ซ่งอี้ก็หายไปจากหน้าประตูแล้ว นางจำเป็ต้องรีบตามไป
“แค่คำว่าไม่ระวังคำเดียวก็เปิดโปงทุกอย่างหมดแล้ว เ้ามิต้องรับผิดชอบต่อการฆ่าคนวางเพลิงหรอกหรือ”
หวังเฉินสังเกตเห็นท่าทีของิเป่าจู ก็ยื่นมือมาขวางคนไว้อย่างรวดเร็ว พลางกล่าวอย่างไม่ยอมลดราวาศอก
ิเป่าจูลอบกลอกตาอยู่เงียบๆ ในใจ คำกล่าวนี้ผู้อื่นอาจพูดได้ แต่เมื่อออกจากปากนายน้องหวังอย่างเ้ากลับไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้จักหวังเฉิน แต่ก็สามารถวิเคราะห์ทัศนคติที่ทุกคนมีต่อเขาได้อย่างแจ่มชัด
คนผู้นี้ปกติต้องทำตัวยโสโอหังใช้อำนาจบาตรใหญ่ รังแกบุรุษข่มเหงสตรี โดยอาศัยว่าบิดาของตนเองคือนายอำเภอเป็แน่ จึงมักทำอะไรตามอำเภอใจไร้ความรับผิดชอบ
บัดนี้กลับกล่าวหานางด้วยเหตุผลเฮงซวยพรรค์นี้ ช่างน่าขันเหลือเกิน
นึกแล้ว ิเป่าจูก็หัวเราะออกมาจริงๆ แต่ใบหน้ายังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสอพลอ
“นายน้อยท่านนี้ ข้าไม่เคยวางเพลิง ยิ่งมิกล้าสังหารคน เพียงแค่บังเอิญชนหญิงคนรักของท่านโดยไม่เจตนา ต้องขออภัยด้วย”
ิเป่าจูกล่าวขอขมาด้วยความจริงใจ แม้ไม่ทราบว่าตนเองผิดที่ใดก็ตาม
“หญิงคนรัก?” เหยียนเฟิงถาม
สตรีที่นั่งอยู่บนพื้นแต่งหน้าฉูดฉาด แม้จะมีเสน่ห์อยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับงดงามหยาดเยิ้ม อาภรณ์บางเบาไม่คล้ายว่าเป็หญิงสาวจากสกุลสุจริตชน ไม่น่าเชื่อว่าสตรีเช่นนี้จะเป็นางในดวงใจของหวังเฉิน
“อย่าไปฟัง นางพูดเหลวไหล ก็แค่คณิกาชั้นต่ำ เรียกมาหาความสำราญชั่วครั้งชั่วคราว”
น้ำเสียงของหวังเฉินฉายแววดูแคลน ไม่แม้แต่จะมองสตรีที่อยู่บนพื้นด้วยซ้ำ
ทั้งสองเรียกกันเป็พี่เป็น้อง ชายหนุ่มวัยคึกคะนอง รักความสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรหลานของขุนนางและเศรษฐี มักไปเที่ยวหอสุราเคล้านารีเป็ประจำ เป็เื่ธรรมดาในสายตาของพวกผู้ดีมีชาติตระกูล
ทันทีที่ได้ยินคำกล่าว หญิงสาวก็หน้าถอดสี แต่ก็กลับมาเป็ปกติได้อย่างรวดเร็ว และไม่ไยดีว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่ใครมาช่วยประคองตนเองขึ้นมา
นี่คือชะตากรรมของหญิงนางโลม นางมองเห็นทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว เพื่อหาเลี้ยงชีพ นางแค่เอาอกเอาใจบุตรชายของนายอำเภอให้มีความสุข ก็ไม่ต้องกังวลเื่เงินทองอีกแล้ว ถูกดูแคลนแค่นี้จะนับว่าเป็อะไร
“นายท่านต้องช่วยจัดการให้ข้านะเ้าคะ”
หลังจัดชุดกระโปรงให้เรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้น วางมือเรียวทั้งสองบนบ่าของหวังเฉิน พลางโน้มเรือนร่างอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกเข้าไปกระซิบฉอเลาะข้างหูเขา แต่กลับทอดสายตาไปที่เหยียนเฟิงเป็ครั้งคราว
“เยี่ยนเอ๋อร์ผู้น่าสงสาร แล้วเ้า้าให้ทำอย่างไร ข้าจะจัดการแทนเ้าเอง”
หวังเฉินชอบคนที่รู้กาลเทศะเช่นนี้ เมื่อหญิงสาวเป็ฝ่ายเข้ามาประจบสอพลอตนเองก่อน ในฐานะบุรุษเขาจึงไม่อาจปล่อยให้ตนเองเสียหน้า บีบคางของเยี่ยนเอ๋อร์ขึ้นมาแล้วจูบต่อหน้าเหยียนเฟิงกับิเป่าจู จนหญิงสาวสะเทิ้นอายสุดประมาณ
“กระโปรงข้าขาดหมดแล้ว แต่คนที่ดูยากจนอย่างนางต้องชดใช้ค่าเสียหายไม่ได้เป็แน่ มิสู้ให้นางมาปรนนิบัติข้าที่หอชุยเซียงสักสองสามวัน หากปรนนิบัติดี ข้าจะละเว้นนางสักครั้ง”
เยี่ยนเอ๋อร์ดวงตาหวานหยาดเยิ้ม ปรายหางตามองิเป่าจู ความสุขที่ซ่อนเร้นค่อยๆ พุ่งพล่านในหัวใจ นางเป็คนประเภทที่ไม่สามารถเห็นสตรีอื่นใช้ชีวิตได้อย่างขาวสะอาดทั้งที่ตนเองจมอยู่ในปลักโคลน
“ได้ เช่นนั้นก็เอาตามนี้ เ้า ได้ยินแล้วใช่หรือไม่” หวังเฉินลูบไล้เอวของเยี่ยนเอ๋อร์ ก่อนจะลูบคลำต่ำลงไปเรื่อยๆ
ิเป่าจูรั้งสายตากลับมา ยิ้มบางๆ คนผู้นี้คิดว่าตนเองเป็นายอำเภอหรืออย่างไร ต่อให้เป็นายอำเภอ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะส่งใครเข้าหอนางโลมโดยไร้เหตุผล
“นายน้อยผู้นี้ ท่านล้อเล่นใช่หรือไม่ คนมือเท้าหยาบกระด้างอย่างข้า เกรงว่าคงรับใช้แม่นางไม่ได้ หากวันใดพลั้งมือผสมพริกลงในน้ำล้างหน้า หรือผสมเครื่องหอมในโถกำยานผิดพลาดจนแม่นางเสียโฉมขึ้นมา ท่านจะไม่ปวดใจแย่หรือ”
นางจดจ้องไปที่ใบหน้าของเยี่ยนเอ๋อร์ด้วยสายตาเย็นะเื จนอีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบพวงแก้มโดยไม่รู้ตัว ประหนึ่งรู้สึกแสบร้อนเพราะล้างหน้าด้วยพริกจริงๆ
“สาวน้อยคนนี้ช่างปากคอเราะราย ยังกล้าขู่คนเสียด้วย” เหยียนเฟิงพูดกลั้วหัวเราะ รู้สึกสนใจเด็กผู้หญิงที่กล้าต่อปากต่อคำกับพวกเขาคนนี้เป็อย่างยิ่ง
แต่สายตาของหวังเฉินกลับดำทะมึน หากเื่ที่ตนเองถูกเด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนจะอายุน้อยกว่าข่มขู่แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงความน่าเกรงขามของเขาจะยังอยู่อีกหรือ
“ใครก็ได้!”
“ผู้ใดกันที่บังอาจทำให้นายน้อยหวังไม่พอใจ” ขณะที่หวังเฉินกำลังจะเรียกบริวารของตนเองให้มาทุบตีิเป่าจู ซ่งอี้ก็กลับมาจากการส่งมอบสินค้าแล้ว
ิเป่าจูโล่งใจอย่างชัดเจนเมื่อเห็นเขามา หากปล่อยให้สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ต่อไป ย่อมไม่เป็ผลดีต่อชาวบ้านธรรมดาเช่นนางอย่างยิ่ง วันนี้จะมีชีวิตรอดกลับหมู่บ้านได้หรือไม่ก็ยังเป็อีกเื่
“แม่นางิ? ไฉนท่านมาอยู่ที่นี่เล่า” นางควรรอตนเองอยู่บนชั้นสองมิใช่หรือ ไยถึงได้ลงมา ดูจากท่าทางแล้วคงจะมีเื่บาดหมางกับหวังเฉินใช่หรือไม่
“พวกเ้ารู้จักกันรึ เฮอะ...” หวังเฉินคลี่ริมฝีปากยิ้มเยาะ พลางเอ่ยถากถาง “ดูท่าหอหมื่นสมบัติก็แค่นั้นเอง ถึงกับปล่อยให้ใครต่อใครเข้ามาได้ตามอำเภอใจ”
“หอหมื่นสมบัติเปิดร้านทำการค้า ขอเพียงท่านมีของล้ำค่า ถึงจะยากจนก็สามารถเข้ามาได้” ซ่งอี้ตอบกลับไปอย่างไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง
“อย่างนาง? จะมีของล้ำค่าอันใด หยิบออกมาให้ดูสิ ถ้าหากว่ามีจริง เื่วันนี้นายน้อยเช่นข้าก็จะไม่ถือสาหาความ”
หวังเฉินพูดอย่างดูแคลน หากมีของล้ำค่าอะไรจริงคงไม่ต้องถึงกับแต่งตัวขาดๆ โทรมๆ เช่นนี้
คนผู้นี้เป็คนโง่เขลาใช่หรือไม่ ิเป่าจูซึ่งเตรียมพร้อมที่จะสู้อย่างถึงที่สุดยังไม่คาดคิดว่าเื่ราวจะบานปลายมาในทิศทางนี้
“สินค้าของแม่นางวันนี้ได้ถูกขายออกไปแล้วขอรับ”
ซ่งอี้เอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ ตอนแรกยังนึกว่าคงต้องเจอกับความยุ่งยากเพื่อยุติปัญหา แต่ไม่คิดว่าจะง่ายดายเช่นนี้
ขายออกไปแล้ว?
วันนี้?
เป็ไปไม่ได้!
เหยียนเฟิงกับหวังเฉินต่างสบตากัน หลังจากนั้นก็มองซ่งอี้พลางเอ่ยเป็เสียงเดียว “ตี้สือ?”
จนกระทั่งซ่งอี้พยักหน้า พวกเขาก็ยังไม่อยากเชื่อ สายตาเลื่อนไปที่ิเป่าจู ยังคงเป็เหยียนเฟิงที่ชิงเอ่ยปากก่อน
“เ้าไปได้มันมาจากที่ใด”
หากมีมากกว่านี้ อาการป่วยของมารดาเขา...
“ได้มาจากบนเขาโดยบังเอิญ แต่มีเพียงแค่ต้นนี้ต้นเดียว”
ิเป่าจูเข้าใจความหมายของเขาว่ายังอยากได้มากกว่านี้
แต่เขาเป็สหายคนสนิทของหวังเฉิน ต่างก็เป็คนเ้าเล่ห์สมคบกันทำเื่เลวทราม นางไม่อยากจะทำการค้ากับเขาแม้แต่น้อย
เป็ดังคาด
เมื่อได้ยินิเป่าจูเอ่ยปากเช่นนี้ สีหน้าของเหยียนเฟิงก็ห่อเหี่ยวลงทันที ไม่ซักไซ้อะไรอีก
“แล้วเ้าลงมาได้อย่างไร” ซ่งอี้ยังไม่รู้เื่ราวทั้งหมด จึงอยากทราบว่าสิ่งใดคือชนวนเหตุที่ทำให้ใครหลายคนเกิดความขัดแย้ง
“ข้านึกได้ว่ามีบางสิ่งที่ต้องระวังระหว่างทำการขนส่ง จึงรีบวิ่งลงมาบอก ใครจะรู้ว่าจะชนกับแม่นางท่านนี้เข้า” นางอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนด้วยถ้อยคำเรียบง่าย
“เื่อะไร มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือไม่” พอได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับต้นตี้สือ เหยียนเฟิงก็ร้อนรนขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายดูวิตกกังวลจริงๆ ิเป่าจูก็บอกกล่าวสิ่งที่ต้องระวังอย่างละเอียด
ต้นตี้สือชอบร่มเงาเป็ที่สุด ทางที่ดีระหว่างขนส่งห้ามโดนแสงแดดเป็อันขาด และไม่้าการรดน้ำ มิเช่นนั้นจะทำให้ฤทธิ์ของยาเสื่อมถอยลง
