"คุณหนู หลังของอวี้อ๋องเปียกหมดเลยเ้าค่ะ" อวิ๋นเอ๋อร์บอก
เฉียวเยว่กำลังเช็ดหน้า มือของนางหยุดไปชั่วขณะ แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง "หากเขาไม่ดึงดันจะมาส่งข้า พวกเราทุกคนก็ไม่มีใครต้องเปียก"
อวิ๋นเอ๋อร์กับเสี่ยวชุ่ยได้ยินคำกล่าวนี้แล้วก็หน้าเหวอ แต่ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร
เฉียวเยว่อมยิ้มพลางเลิกคิ้ว "ถึงมีคำกล่าวว่าคนหล่อมักอันตราย ยิ่งแสร้งทำดียิ่งต้องระวัง"
สาวใช้ทั้งสองหัวเราะพรืดออกมาพร้อมกัน เฉียวเยว่ยักไหล่บ่งบอกว่า 'ข้ามองออกหรอกนะ'
ไท่ไท่สามเป็ห่วงบุตรสาว เห็นนางกลับมา ก็ถือร่มออกไปรับที่หน้าประตูด้วยตนเอง เฉียวเยว่ยิ้มสดใสเข้ามากอดไท่ไท่สาม "ท่านแม่ ครอบครัวของพวกเราดีที่สุด"
"มันแน่อยู่แล้ว พวกเราไม่ดี หรือว่าคนอื่นจะดี?" ไท่ไท่สามแสร้งทำเสียงดุ
นางดึงมือของบุตรสาวมากุม แล้วกระซิบถาม "เข้าวังราบรื่นดีหรือไม่ มีใครสร้างความลำบากใจให้เ้าหรือเปล่า?"
คนเป็มารดามักเป็ห่วงบุตรสาว นางรู้สึกไม่วางใจเฉียวเยว่บุตรสาวของตนเอง
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่มีอันใด แต่พบกับพี่จ้านเ้าค่ะ"
หลังจากนั้นก็เล่าสถานการณ์ในวังให้ฟังอย่างละเอียดหนึ่งรอบ หากไม่พูด ท่านแม่จะยิ่งเป็กังวล ไม่สู้เล่าให้หมดเปลือก หลังจากนั้นก็ถามว่า "ฝนตกแล้ว ฉีอันยังไม่กลับอีกหรือเ้าคะ"
คงไม่ถึงกับให้พวกเขาไปตากฝนปลูกต้นไม้กระมัง ลูกหลานคนมั่งมีเ่าั้จะทนรับความลำบากได้อย่างไร
ไท่ไท่สามยิ้ม "เพิ่งกลับมาถึง มาก่อนเ้าไม่ถึงหนึ่งเค่อ แต่เปียกไปทั้งตัว เห็นบอกว่ากินน้ำขิงจากสำนักศึกษามาแล้ว แต่แม่จะวางใจได้อย่างไร ให้คนเตรียมต้มน้ำร้อนให้เขาอาบแล้ว แต่ดูแล้วเ้าคงสบายดีกระมัง"
"ข้าไปดูเขานะเ้าคะ" เฉียวเยว่ยิ้ม
เฉียวเยว่ต้องบอกข่าวกับฉีอัน หึๆ การทรมานของพญามารยังคงดำเนินต่อไป
ไท่ไท่สามรั้งบุตรสาวไว้ "เ้าต้องไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน"
เฉียวเยว่ตบศีรษะตนเอง แล้วหัวเราะ "แหะๆ ข้าใจร้อนไปหน่อย"
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กลายเป็สาวน้อยโฉมสะคราญ ก็ะโโลดเต้นวิ่งไปหาฉีอัน แต่ไม่เจอคน พอถามหาก็บอกว่าเขาไปห้องหนังสือแล้ว นางจึงรีบไป
เมื่อเห็นเฉียวเยว่เข้ามา เขาก็ถาม "ได้ยินว่าเ้าเข้าวัง ราบรื่นดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ข้าน่ะราบรื่นอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเ้าจะไม่ใช่"
"พรุ่งนี้ยังต้องไปปลูกต้นไม้ต่อ น่ากลัวจริงๆ" ฉีอันถอนหายใจ
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก นั่งพิงเบาะ "เช่นนั้นข้าจะบอกข่าวร้ายยิ่งกว่าให้เ้าฟัง..."
เมื่อซูซานหลางสองสามีภรรยาเดินเข้ามาเห็นบุตรชายบุตรสาวกำลังคุยกัน เฉียวเยว่เล่าอย่างสนุกสนาน ระหว่างนั้นฉีอันโวยวายออกมาสองประโยค แต่บอกไม่ได้ว่าดีใจหรือเสียใจ
"อีกสองวันท่านตาของเ้าจะไปล่องเรือนอกเมือง ส่งจดหมายมาถามว่าพวกเ้าจะไปหรือไม่"
หากถามว่าผู้าุโในเมืองหลวงคนใดใช้ชีวิตอย่างพิถีพิถันที่สุด นั่นย่อมจะเป็นายท่านผู้เฒ่าฉี
เฉียวเยว่ต้องไปแน่อยู่แล้ว ออกไปเที่ยวทั้งที มีเหตุผลใดที่จะไม่ไป
ฉีอันก็อยากไปแต่ต้องคิดให้รอบคอบ "ข้าขอดูสถานการณ์ก่อน หากหลังจากปลูกต้นไม้สามวันนี้แล้วยังมีแรงอยู่ก็ไป แต่ถ้าเหี่ยวเฉาตายค่อยอยู่เป็แมวเฝ้าบ้านขอรับ"
ซูซานหลางทนฟังสองพี่น้องคุยกันไม่ไหว "อยู่ดีๆ เหี่ยวเฉาตายอันใด แมวเฝ้าบ้านอันใด เ้าพูดมาให้ข้าเข้าใจได้หรือไม่ คนเรียนหนังสือควรจะทำตัวเป็สุภาพชน พูดจาราวกับคนเสเพลเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน"
ฉีอันแลบลิ้น "หืม สุภาพชนอันใดตีเด็กเล็กๆ"
ซูซานหลางถลึงตาด้วยความโมโห คิดอยากจะบีบเ้าลูกเต่าตัวนี้เสียให้ตาย
เฉียวเยว่หัวเราะออกมา น้องชายนางมีพร์จริงๆ
ต้องบอกว่าเ้าหนุ่มน้อยซูฉีอันรู้จักตัวเองดีที่สุด หากเขารู้สึกว่าตนเองไม่ไหว ก็คือไม่ไหวจริงๆ ปลูกต้นไม้สามวันติดกันประกอบกับการฝึกซ้อมพายเรือัก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเหนื่อยจนไม่ไหวจริงๆ คำนวณดูแล้ว วันหยุดอีกสองวันที่เหลือเขาแทบอยากจะนอนอยู่บ้านเฉยๆ หากถามว่าเพราะเหตุใด หึหึ วันเวลาต่อจากนี้ไปยังมีความยากลำบากยิ่งกว่านี้รออยู่
อวี้อ๋องเป็คนวิกลจริต!
แต่คนโรคจิตผู้นั้น ใครก็แตะต้องเขาไม่ได้
แม้อาจารย์ฉีจะเป็นักปราชญ์มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า แต่เมื่อออกไปข้างนอกกลับไปอย่างเงียบๆ ไม่บอกกล่าวกับสหาย ครานี้พาหลานสาวไปด้วย ย่อมจะไม่ชวนคนนอก
ปู่หลานสองคนท่องเที่ยวอย่างสุขสำราญ
ล่องไปตามแม่น้ำ สองฟากฝั่งร่มรื่นเขียวขจี
เฉียวเยว่สวมชุดกระโปรงยาวนั่งอยู่บนหัวเรือ สายลมโชยผ่านมาเบาๆ ชายกระโปรงพลิ้วไสว ดรุณีน้อยงามสะคราญยากจะหาที่ไหนมาปานเปรียบ
"หากฉีอันรู้ว่างดงามเช่นนี้ จะต้องเสียใจภายหลังแน่ที่ไม่มา" เฉียวเยว่พูดพลางถอนหายใจ
อาจารย์ฉีส่ายหน้า "นั่นก็ยังไม่แน่ แท้จริงแล้วไม่ว่าทิวทัศน์จะเป็อย่างไร ล้วนไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจภายหลัง การเลือกของคนเรามีโอกาสเพียงครั้งเดียว เขากับทัศนียภาพงดงามนี้เพียงไร้วาสนาต่อกันเท่านั้น"
เฉียวเยว่เท้าคาง "แต่ถ้าวันหน้าเขามา ก็เท่ากับยังมีวาสนาต่อกันมิใช่หรือ?"
"วันหน้ามา สิ่งที่ได้เห็นย่อมจะไม่ใช่ทิวทัศน์ของวันนี้ แม้จะเป็สถานที่เดียวกันคนคนเดียวกันแล้วอย่างไร? ก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี อย่างไรเสียโลกใบนี้ก็ไม่มีวันเหมือนเดิม"
เฉียวเยว่หัวเราะ ยอดบุรุษเช่นท่านตา บางทีนางก็ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน
เฉียวเยว่ส่ายหน้าเอ่ยเสียงเข้ม "ข้าสนใจแต่ธรรมชาติที่งดงาม ไม่เข้าใจที่ท่านตาเอ่ยถึงหรอกเ้าค่ะ ข้าเป็เพียงคนเดินดินธรรมดา เมื่อเป็คนธรรมดาก็ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา ไม่จริงจังกับตนเองเกินไป"
"ใครบ้างไม่ใช่คนธรรมดา?" อาจารย์ฉียิ้มแล้วส่ายหน้า
สายตาเขาทอดมองไปยังที่ห่างไกล เรือสำราญงามวิจิตรลำหนึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เฉียวเยว่มองออกไป "ไม่รู้ว่าใคร"
เมื่อเรือสำราญแล่นใกล้เข้ามา เฉียวเยว่มองเห็นอักษร "อวี้" ก็ตระหนักรู้ในใจ แต่กลับพูดค่อนแคะ "ไม่รู้แม่นางที่ไหนใช้เรือสำราญหอมฟุ้งเช่นนี้ ขนาดอยู่ตั้งไกลพวกเรายังได้กลิ่นลอยมาเลย"
อาจารย์ฉีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก "ยายหนูคนนี้ แก่นแก้วนักเชียว"
ขณะที่สนทนากันอยู่ เรือสำราญก็เข้ามาเทียบใกล้ๆ อวี้อ๋องสวมอาภรณ์สีขาวเดินออกมายืนตรงหัวเรือ
ชั่วขณะนั้น เฉียวเยว่รู้สึกว่าถึงนางจะแต่งตัวให้มีกลิ่นอายเซียนแค่ไหนก็เทียบกับคนผู้นี้ไม่ได้ แม้ว่าชายหญิงจะต่างกัน แต่เขาสวมอาภรณ์สีขาวไปยืนอยู่บนหัวเรือเช่นนี้ดูราวกับเทพเซียนจริงๆ
เดิมทีนางมักรู้สึกว่าเสด็จพี่รัชทายาทคือเซียนจาก์ ส่วนท่านพี่จ้านกลับเป็เสมือนหยกหรูอี้แห่งความมั่งคั่ง
แต่ดูจากตอนนี้กลับตัดสินใจไม่ได้ เขายืนบนหัวเรือที่กำลังเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ดูเหมือนคนที่ออกมาจากภาพวาดไม่มีผิด
"งดงามจริงๆ" เฉียวเยว่ตะลึงงัน พลางพูดพึมพำ
อาจารย์ฉีเดิมทีอยากจะพูดบางอย่าง แต่ชั่วพริบตานั้นก็รู้สึกเก้อเขิน
"แค่กๆ เช็ดน้ำลายเสีย" เขาสะกิดเฉียวเยว่
หรงจ้านประสานมือทำความเคารพ "ผู้าุโฉี ผู้น้อยขอคารวะ"
มีมารยาทอย่างยิ่ง
อาจารย์ฉีอยากจะวางตัวเป็ผู้สูงส่งเหมือนเช่นปรกติ เพียงแต่ผู้สูงส่งที่ไหนจะพาเด็กน้อยหลงบุปผา [1] ออกมาเที่ยว? แน่นอนว่าไม่มี
เขาขบคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยถาม "จะมาชมทิวทัศน์ด้วยกันหรือไม่?"
หรงจ้านอมยิ้ม "เคารพมิสู้น้อมทำตามคำสั่ง"
พูดตามตรง เฉียวเยว่ไม่เคยเห็นหรงจ้านเล่นใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เห็นเช่นนี้ เื่กางร่มเดินมาส่งเทียบไม่ติดจริงๆ ต้องนี่สิถึงจะเยี่ยมยอด โอ...ไม่ อาจมีที่เยี่ยมยอดกว่านี้ ไม่มีใครรู้ว่าหรงจ้านทำอะไรได้อีกบ้าง
หรงจ้านก็วนเรือสำราญกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็หิ้วตะกร้าใบใหญ่มาสองใบ ดูเหมือนว่าจะเป็ผลไม้หนึ่งตะกร้า ขนมหนึ่งตะกร้า
เฉียวเยว่น้ำลายไหลอีกครา ควรรู้ว่าปากของหรงจ้านผู้นี้ค่อนข้างพิถีพิถัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอาหารด้วยเอง แต่ของที่นำมาต้องดีที่สุดแน่นอน
มีช่องว่างระหว่างเรือสองลำ แต่อาจารย์ฉีกลับไม่กังวล หรงจ้านดึงผ้าม่านบนเรือสะบัดมือออกไปพันกับเรือทางนี้ แล้วเดินบนผ้าม่านราวกับพื้นราบ
"เ้าแตงน้อยเลื่อมใสข้าหรือ?" เขาอมยิ้ม ข้ามมาทางนี้
ตอนนี้เฉียวเยว่ย่อมไม่กลัวเขา เื่หมาป่าอาศัยบารมีพยัคฆ์ทำนองนี้นางรู้ดีที่สุด
เฉียวเยว่หัวเราะหึๆ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า "หามิได้ แค่คิดว่าดัดจริตเกินไป"
หรงจ้านก้มศีรษะ เริ่มเปิดกล่องอาหาร "อ้อ ดัดจริตรึ?" หางเสียงลากสูง
"ข้าว่าตนเองต่างหาก ท่านจะดัดจริตได้อย่างไร หล่อสุด เทพสุด เจ๋งสุด ถึงจะเป็ท่าน"
นางอมยิ้มเดินเข้าไป กลายร่างเป็กระต่ายน้อยจะกละ
"วันนี้มีของอร่อยอันใดบ้างหรือเ้าคะ?"
หรงจ้านยิ้มมุมปาก หันมามองนาง "ล้างมือแล้วหรือ?"
แต่ว่าตามตรง เห็นอาหารกล่องนี้ของผู้อื่นแล้ว เฉียวเยว่พลันรู้สึกว่าของทั้งหมดที่ตนเองเตรียมมาดูไม่น่าอร่อยเลยสักนิด ไม่กินก็ได้
นางวิ่งเข้าไปล้างมือในเรือ หลังจากนั้นก็เป็ฝ่ายเข้าไปผลักอาจารย์ฉี "ท่านตาไปล้างมือเ้าค่ะ เขารักความสะอาดมาก ท่านจะถูกรังเกียจเอาได้"
อาจารย์ฉีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขามักคิดเสมอว่าเฉียวเยว่ของพวกเขาเป็แม่นางโตแล้ว แต่เห็นท่าทางตะกละตะกลามของนางแล้ว กลับรู้สึกว่านางเป็เด็กน้อยที่ยังไม่รู้จักโต
เขายิ้มพลางส่ายหน้าเดินไปล้างมือ เฉียวเยว่ก้มตัวลงมาเอามือเท้าคางอย่างมีความสุข
ชั่วขณะนั้นหรงจ้านได้กลิ่นหอมอ่อนจางคล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายและจิตใจสงบ ดูเหมือนว่าจะได้กลิ่นนี้คราแรกในวัง ตอนนั้น... ตอนนั้นมีเพียงกระต่ายอ้วนน้อยตัวนี้อยู่ข้างกายเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่เหมือนกลิ่นหอมของดอกไม้หรือผลไม้ แต่เป็กลิ่นสะอาดของทะเล ทำให้สดชื่นและจิตใจสงบ
เขาก้มหน้า มือยังเคลื่อนไหวไม่หยุด แต่กลับถามว่า "เ้าใช้แป้งหอมอันใด?"
"ไม่ได้ใช้แป้งหอม"
หรงจ้านรู้ว่านางไม่ใช่เด็กโกหก เขาเงยหน้าคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็เห็นลำคอขาวกระจ่างของนาง
เฉียวเยว่ผอมบาง เนื่องจากอายุยังน้อย ยังไม่ค่อยเติบโตมากนัก ลำคอขาวจึงดูราวกับหงส์น้อย
เขาหลุบสายตาลง กุมมือห่อกำปั้นแล้วเอ่ยว่า "วันนี้ข้าทำน้ำแกงปลา"
เฉียวเยว่พบว่าตนเองประเมินขนาดของกล่องอาหารสองกล่องนี้ต่ำไป มิน่าเล่าถึงใหญ่ขนาดนี้
"ข้าชอบน้ำแกงปลา" เฉียวเยว่ยิ้มสดใส
"มีอะไรที่เ้าไม่ชอบบ้าง?" หรงจ้านเงยหน้า
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก "ข้าเชื่อฝีมือของพี่จ้านที่สุด"
เป็ไปตามคาด เมื่อหรงจ้านเปิดโถออก เฉียวเยว่กลืนน้ำลาย แค่มองก็รู้ว่าน้ำแกงปลาโถนี้ต้องดีที่สุด น้ำแกงกลายเป็สีน้ำนม ้ามีผักชีโรยหน้าอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่กลบความเป็น้ำแกง เฉียวเยว่ยื่นมือไปแล้วโบกเข้ามา หลังจากนั้นก็ชะโงกศีรษะเข้าไปสูดกลิ่น กลิ่นหอมน่ากิน
นางเงยหน้ายิ้ม "ท่านพี่จ้าน ไยท่านถึงเก่งกาจเช่นนี้"
ยามเอ่ยชื่นชม ดวงตาของเฉียวเยว่สุกสกาวดุจดารา หรงจ้านมองเข้าไปในดวงตาของนาง ไม่อาจละสายตาไปได้
...
[1] หลงบุปผา หมายถึง ผู้หญิงที่บ้าผู้ชาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้