หนีเจียเอ๋อร์ค่อยๆ เดินเข้าไปหากู่อวี่เสวียน ก่อนย่อตัวลง แล้วคว้ามือขวาของอีกฝ่ายมาตรวจชีพจร
“ฝ่าา ดูจากสภาพร่างกายแล้ว องค์หญิงมิได้ถูกวางยาเพคะ อาการที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากการเสวยจื่อซู[1]มากเกินไป เพราะเมื่อวานองค์หญิงตกน้ำจนเป็หวัด หมอหลวงจึงจัดยาให้มากเกินความจำเป็”
กู่หังจิ่นพูดอย่างประหลาดใจ “ไม่คิดเลย ว่าคุณหนูสกุลหนีจะเชี่ยวชาญเื่ยาด้วย”
หนีเจียเอ๋อร์ค้อมศีรษะ พร้อมเอ่ย “มิกล้าพูดว่าเชี่ยวชาญเพคะ เพียงแต่่นี้หม่อมฉันสนใจศึกษาตำราแพทย์ จึงพอจะรู้อยู่บ้าง”
นับจากสวีซื่อจับมือกับหมอ เพื่อโป้ปดว่าการถูกวางยาพิษเป็เพียงอาการอาหารเป็พิษธรรมดาๆ เท่านั้น ในยามว่าง นางจึงเริ่มศึกษาตำราแพทย์ และไปขอความรู้จากเ้าของร้านขายยาสมุนไพร จึงพลอยได้ทักษะบางอย่างติดตัวมา
ทันทีที่ได้ยิน ใบหน้าของโจวชิงหวาก็เปลี่ยนเป็เคร่งขรึม... เสี่ยวเอ๋อร์ยังมีความลับอีกกี่อย่างที่เขาไม่เคยล่วงรู้?
พอถูกเปิดโปง กู่อวี่เสวียนจึงต้องรับสารภาพว่าจงใจใส่ร้ายหนีเจียเอ๋อร์ หากแต่มิได้บอกเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนั้น
กู่หังจิ่นมองหนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวา แล้วขออภัยอย่างสุภาพ ทั้งยังออกปากรับผิด ว่าเป็เพราะตนมิได้ดูแลน้องสาวให้ดี ทำให้กู่อวี่เสวียนใช้อภิสิทธิ์ในฐานะที่มีพี่ชายเป็ฮ่องเต้ ทำการกลั่นแกล้งรังแกผู้ที่ต่ำชั้นกว่า เขาผู้เป็พี่ชายจึงรู้สึกละอายแก่ใจ จนไม่อาจไปพบหน้าเสด็จแม่ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
หนีเจียเอ๋อร์และโจวชิงหวานิ่งฟังอยู่เงียบๆ แต่ในใจก็อดสงสัยมิได้
บุคลิกของกู่หังจิ่นนั้น ช่างแตกต่างจากที่ได้ยินมา พระองค์ทั้งสำรวม สง่างาม เป็มิตร จริงใจ ไม่ใฝ่หาชื่อเสียงและความมั่งคั่ง เห็นได้ชัดว่าเป็ผู้มีสติปัญญาสูงส่ง
ด้วยเื่ของกู่อวี่เสวียน การซ้อมดนตรีในวันนี้จึงถูกยกเลิก
ส่วนฮ่องเต้ก็เสด็จกลับไป เพื่อหามาตรการลงโทษองค์หญิงใหญ่ ที่กลั่นแกล้งหนีเจียเอ๋อร์
หลังจากไปส่งหญิงสาวที่บ้านแล้ว โจวชิงหวาก็ย้อนกลับมายังตำหนักองค์หญิงอีกครั้ง
กู่อวี่เสวียนมองชายหนุ่มด้วยท่าทางได้ใจ “ที่เ้ามานี่ เพื่อเยาะเย้ยข้า หรือจะร้องขอให้ไว้ชีวิตหนีเจียเอ๋อร์เล่า?”
ดวงตาของโจวชิงหวามืดครึ้ม น้ำเสียงเ็าไร้ความอบอุ่น “มิใช่ทั้งคู่!”
ต่อหน้าคนผู้นี้ ท่าทีขององค์หญิงใหญ่ดูจะอ่อนลงอย่างยากอธิบาย “มิใช่ว่าเ้าชอบพอข้าจนทนไม่ไหว เลยมาสารภาพความในใจหรอกนะ? หากเป็เช่นนั้น ข้าขอบอกให้ไสหัวไปเสีย ทหาร โยนเขาออกไป อย่าให้มาทำเื่น่าอายต่อหน้าข้า”
โจวชิงหวานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย “กระหม่อมรู้ว่าท่านสนใจมู่หรงจิ่งหลี องค์ชายสามแห่งจิวอวี่ และที่จงใจกลั่นแกล้งคุณหนูรองสกุลหนี ก็เพราะเกรงว่าในงานเลี้ยงต้อนรับ นางจะโดดเด่นกว่า ใช่หรือไม่?”
เมื่อความลับในใจถูกเปิดโปง กู่อวี่เสวียนก็หน้าแดงจนลามไปถึงใบหูด้วยความขุ่นเคืองและอับอาย “เ้ารู้ได้อย่างไร!”
นางซุกซ่อนความขัดเขิน พลางหรี่ตาลงอย่างหวาดระแวง “นี่... เ้ากำลังไต่สวนข้าหรือ?”
ทว่า โจวชิงหวามิได้มีท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย “ข้าน้อยมิกล้า!”
เขาก้มลง หมุนแหวนหยกบนนิ้วหัวแม่มือเล่น “แต่ที่ย้อนกลับมา ก็แค่อยากจะเรียนให้องค์หญิงทรงทราบสักหน่อย ว่ากระหม่อมพอจะคุ้นเคยกับมู่หรงจิ่งหลีอยู่บ้าง หากท่านยังทรงยืนกราน ว่าจะสร้างความลำบากให้เสี่ยวเอ๋อร์ กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าจะตอบจิ่งหลีอย่างไร ตอนที่เขามาถึงเมืองหลวง แล้วถามเกี่ยวกับเื่ของพระองค์”
กู่อวี่เสวียนตบโต๊ะ “โจวชิงหวา เ้าขู่ข้าหรือ?”
โจวชิงหวาเลิกคิ้ว พลางแสยะยิ้ม “ใช่!”
ไม่เคยมีใครกล้าปฏิบัติกับนางเช่นนี้มาก่อน องค์หญิงใหญ่แค้นเคือง จนแทบอยากจะสั่งองครักษ์ให้มาลากตัวชายหนุ่มไปกักขัง และโบยเสียให้หลาบจำ
แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างอีกฝ่ายกับมู่หรงจิ่งหลี หญิงสาวก็หยุดชะงัก ก่อนเปลี่ยนคำพูดอย่างไม่เต็มใจ “ข้าสัญญา ว่าจะไม่ทำให้หนีเจียเอ๋อร์ต้องอับอายอีก ส่วนเ้า ก็ต้องสงบปากคำเช่นกัน”
โจวชิงหวาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนหันหลังจากไป โดยไม่เอ่ยแม้แต่คำร่ำลาตามมารยาท
...
เมื่อหนีเจียเอ๋อร์กลับมาซ้อมดนตรีในวันรุ่งขึ้น แม้ว่ากู่อวี่เสวียนยังคงแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็มิได้ลงมือกลั่นแกล้งให้นางอับอายอีก สองวันที่เหลือ หญิงสาวจึงบรรเลงเพลงได้อย่างสงบสุข
องค์ชายสามแห่งจิวอวี่มาถึงเมืองหลวงพร้อมคณะราชทูต และถูกจัดให้เข้าพักในตำหนักอวี้อวิ๋น ซึ่งอยู่ใกล้ตำหนักองค์หญิงใหญ่
โดยสถานที่แห่งนี้ เป็ตำหนักรับรองคณะทูตต่างแดนมาเนิ่นนาน นับแต่รัชกาลก่อน
กู่อวี่เสวียนผู้เป็ดั่งศาลาใกล้น้ำ[2] จึงถือโอกาสเชิญมู่หรงจิ่งหลีไปงานเลี้ยงต้อนรับในพระราชวังด้วยกัน
นางสงวนท่าที และชวนสนทนาอย่างสุภาพไปตลอดเส้นทาง ทว่าอีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีเ็า จนทำให้องค์หญิงใหญ่รู้สึกท้อแท้และ หงุดหงิด แต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้
แต่แล้วจู่ๆ มู่หรงจิ่งหลีก็เดินตรงไปหาชายหนุ่มในชุดผ้าทอ ผู้มีใบหน้าคุ้นเคย ที่กำลังกอดอกพิงบานไม้แกะสลักด้วยท่วงท่าสบายใจ
พอเข้าไปใกล้ องค์ชายสามก็ร้องทักอย่างดีใจ “พี่ชิงหวา เป็ท่านจริงๆ ด้วย”
โจวชิงหวาหันกลับมาคลี่ยิ้ม ก่อนเดินไปทักทาย “จิ่งหลี ไม่เจอกันครึ่งปี เ้าดูดีขึ้นมากทีเดียว”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างยินดี ปล่อยให้กู่อวี่เสวียนยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง
เมื่อเห็นว่าพวกเขาสนิทสนมกันจริงๆ องค์หญิงใหญ่จึงยกเลิกแผนการ ที่คิดจะลงมือกับหนีเจียเอ๋อร์หลังจากนี้ไปทันที
...
ในท้องพระโรง มีขุนนางหลายสิบคนกำลังรอเวลาเริ่มงานเลี้ยง รวมถึงเสนาบดีกรมพิธีการสกุลหนี และเสนาบดีกรมราชทัณฑ์อย่างสวีเพ่ยหรานด้วย
ขันทีรีบเข้ามารายงานกู่หังจิ่น ว่ามู่หรงจิ่งหลีมาถึงประตูท้องพระโรงแล้ว ขุนนางทุกคนจึงพากันคารวะองค์ชายสามและคณะราชทูต
หลังจากทักทายกันแล้ว ฮ่องเต้ก็พยักหน้าส่งสัญญาณไปยังขันทีคนสนิท
ไม่นาน งานเลี้ยงต้อนรับก็เปิดฉากขึ้นด้วยการร้องเพลงและเต้นรำ ความสงบสุขกลับมาเยือนท้องพระโรงอีกครั้ง
หลังจากเพลิดเพลินกับการแสดงชั้นหนึ่ง มู่หรงจิ่งหลีก็ลุกขึ้นพร้อมจอกสุราในมือ และเอ่ยกับฮ่องเต้ “ฝ่าา กระหม่อมขอดื่มสุราจอกนี้ เพื่อชื่นชมการแสดงอันน่าทึ่งของพวกท่าน”
กู่หังจิ่นยกจอกสุราขึ้นมา พลางกล่าวตอบ “องค์ชายสาม อย่าเพิ่งชม นี่เป็เพียงการโยนกระเบื้องล่อหยก[3]เท่านั้น”
ว่าแล้ว ฮ่องเต้ก็แย้มสรวลให้โจวชิงหวาและกู่อวี่เสวียน เพื่อให้พวกเขาเตรียมตัว
พอเห็นโจวชิงหวาลุกขึ้น สีหน้าของสวีเพ่ยหรานก็ยิ่งมืดครึ้ม ได้แต่ยกจอกสุราขึ้นดื่มด้วยความหงุดหงิด
นายท่านหนีมีท่าทีเบิกบาน รอคอยที่จะได้ชมการแสดงของบุตรสาวบนเวทีอันยิ่งใหญ่
ไม่นาน หนีเจียเอ๋อร์ โจวชิงหวา และกู่อวี่เสวียน ก็เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยกัน
นำขบวนโดยชายหนุ่ม ผู้สูงสง่าประหนึ่งต้นไม้หยก ซึ่งมีรูปลักษณ์ดั่ง์สรรสร้าง ตามมาด้วยกู่อวี่เสวียน ซึ่งในวันนี้ทั้งดูโดดเด่นและสง่างาม ปิดท้ายด้วยหนีเจียเอ๋อร์ ที่แม้จะมิได้งดงามเท่าองค์หญิงใหญ่ แต่ก็พิลาสล้ำจนมองได้ไม่รู้เบื่อ
สายตาของมู่หรงจิ่งหลี ตามติดร่างของหนีเจียเอ๋อร์ั้แ่ต้น ด้วยแววตาอันเปล่งประกายวาววับดุจไข่มุก
หญิงสาวขยับนิ้วดีดสายกู่ฉินอย่างลื่นไหลราวกับสายน้ำ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หากแต่ในบางครั้งที่สบตาโจวชิงหวาโดยมิได้ตั้งใจ กลับเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยน จนทำให้ผู้ที่ลอบสังเกตคนทั้งสองอยู่นาน อย่างสวีเพ่ยหราน เต็มไปด้วยความรู้สึกเ็ป จนต้องหันมาจดจ่อกับการยกจอกสุราขึ้นดื่ม หวังจะให้ตนเมามาย
พอสุราไหลเวียนไปทั่วร่าง เสนาบดีผู้สงบเสงี่ยมพลันเปลี่ยนไปเป็คนละคน เขาลุกขึ้นเดินไปกลางโถง พลางพูดว่า “ฝ่าา กระหม่อมขอรำกระบี่ถวายตามจังหวะดนตรี ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
กู่หังจิ่นมองดวงตาแดงก่ำ ที่กำลังสั่นไหวของอีกฝ่าย “คุณชายสวี...” เขาจงใจหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนหันไปเอ่ยกับมู่หรงจิ่งหลี “หวังว่าองค์ชายสามจะไม่ขัดข้อง”
มู่หรงจิ่งหลีจึงคลี่ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “แน่นอน คุณชายสวี เชิญ!”
หลังจากสวีเพ่ยหรานลงไปรับกระบี่แล้ว องค์ชายสามก็เอาแต่หันไปมองหนีเจียเอ๋อร์ แววตาฉายประกายชื่นชมอย่างปิดไม่มิด “ฝ่าา กระหม่อมขอถามได้หรือไม่ ว่าสตรีผู้นั้นเป็ใคร?”
---------------------------------
[1] จื่อซู (紫舒) แปลว่า ใบไม้สีม่วงที่ทำให้สบาย เนื่องจากสมุนไพรสีม่วงนี้ พบมากบริเวณเนินเขาแถวชายทะเล ในแถบท้องที่ซูเซียน (苏仙) คนจึงเรียกชื่อว่าจื่อซู (紫苏) (สีม่วงที่ซูเซียน)
มีสรรพคุณในการขับเหงื่อและความเย็น จากการได้รับลมหรือความเย็น มีฤทธิ์อุ่นกระเพาะ แก้อาเจียน
[2] คำว่า ‘ศาลาใกล้น้ำ’ มาจากสำนวน ‘ศาลาใกล้น้ำ ย่อมได้รับแสงจันทร์ก่อน’ (近水楼台先得月近水楼台先得月: จิ้นสุ่ยโหลวถายเซียนเต๋อเย่วจิ้น) ซึ่งเปรียบเปรยว่า การอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย จะได้ประโยชน์ก่อนผู้อื่น เช่นเดียวกับศาลาริมน้ำ ที่จะได้รับแสงสะท้อนจากเงาจันทร์ในน้ำ มากกว่าสิ่งปลูกสร้างอื่นที่อยู่ห่างออกไป
ที่มาของสำนวน มาจากบัณฑิตที่ชื่อ ‘ซูหลิน’ (苏麟) ในราชวงศ์ซ่ง ที่ทั้งชีวิตไม่เคยรุ่งเรือง เพราะมิได้เป็ผู้ใกล้ชิดขุนนางใหญ่โต เลยไม่ได้ดิบได้ดี ไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับราชการเสียที
อยู่มาวันหนึ่ง มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ประจำราชสำนัก ‘ซ่งฟ่านจ้งเยียน’ (范仲淹) มาตรวจราชการ จึงสงสัยว่าทำไมในรายชื่อที่เสนอมาจึงไม่มีซูหลิน
ซูหลินจึงกล่าวว่า “ศาลาใกล้น้ำ ย่อมได้รับแสงจันทร์ก่อน (近水楼台先得月) พฤกษาแมกไม้ที่หันหาดวงอาทิตย์ ย่อมผลิบานได้ง่าย (向阳花木易为春)”
เพื่อบอกเป็นัยๆ ว่า ที่ตนไม่ได้รับการเสนอชื่อ เพราะมิใช่ผู้ใกล้ชิดของขุนนางใหญ่อย่างฟ่านจ้งเยียน พอได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็เข้าใจ และเสนอชื่อซูหลินให้มารับราชการทันที
ภายหลังสำนวนเปรียบเปรยนี้ก็เป็ที่แพร่หลาย โดยประโยคท่อนหลัง ‘พฤกษาแมกไม้ที่หันหาดวงอาทิตย์ ย่อมผลิบานได้ง่าย’ มักจะถูกตัดทิ้ง คงเหลือแค่ ‘ศาลาใกล้น้ำ ย่อมได้แสงจันทร์ก่อน’
ต่อมาในยุคหลังๆ ยิ่งโดนตัดให้สั้นลงอีก กลายเป็แค่เอ่ยคำว่า ‘ศาลาใกล้น้ำ’ (近水楼台: จิ้นสุ่ยโหลวถาย) ชาวจีนก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร
ซึ่งสำนวนนี้ มักนิยมใช้ในสถานการณ์จีบสาวหรือจีบหนุ่ม โดยหากมีคนแย่งกันจีบหลายคน แต่มีหนึ่งในนั้นทำงานที่เดียวกัน ใครคนนั้นก็จะกลายเป็ ‘ศาลาใกล้น้ำ’ เป็ต้น
[3] โยนกระเบื้องล่อหยก เป็หนึ่งใน 36 กลยุทธ์ซุนวู หมายถึง การหลอกล่อให้ศัตรูหลงกล โดยการเอาผลประโยชน์ หรือสิ่งมีค่ามาล่อให้อีกฝ่ายติดกับ ประหนึ่งเอากระเบื้องหลากสีแต่ไร้ราคาออกมาโยน เพื่อหลอกให้ผู้อื่นคิดว่าเป็ของดี ก่อนจะดักตีศีรษะเพื่อปล้นหยกที่พกติดตัวไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้