บนเบาะที่นั่งฝั่งคนขับมีถุงผ้าสักหลาดที่ทำขึ้นอย่างประณีตวางไว้อยู่ถุงหนึ่ง
ชวีเสี่ยวปอมองไปที่ถุงผ้าใบนั้น แล้วเงยหน้าขึ้นมามองเซี่ยเจิง จากนั้นเขาก็ถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น
“ลองเปิดดู” เซี่ยเจิงยิ้มออกมา พร้อมทั้งพูดเร่งเขาไป
ชวีเสี่ยวปอหยิบมันขึ้นมาดึงสายรัดออก จากนั้นก็เทสิ่งของที่อยู่ด้านในออกมา
เป็พวกกุญแจปักครอสติช โดยเป็รูปการ์ตูนเด็กผู้ชายที่กำลังขับรถ ชวีเสี่ยวปอพลิกไปดูที่ด้านหลัง แล้วก็พบว่ามันได้ปักชื่อย่อของตัวเองเอาไว้ด้วย
“นายทำเองเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกคาดไม่ถึงสุดๆ “นายปักครอสติชเป็ด้วยเหรอ คุณเพื่อนท่านนี้? ”
“จริงๆ แล้วมันง่ายมากเลยนะ” เซี่ยเจิงลูบๆ ที่จมูก “ก็ไม่มีอะไรจะให้นาย นายเพิ่งจะซื้อรถไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลย... ”
“ขอบคุณนะ” ชวีเสี่ยวปอพูดแทรกขึ้นมา “ฉันชอบมากๆ เลยล่ะ”
ในขณะนั้นเองจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็เข้าใจขึ้นมานิดนึงแล้วว่าเซี่ยเจิงกับซือจวิ้นไม่เหมือนกันตรงไหน หากกลับกันถ้าซือจวิ้นให้ของขวัญเขา ซือจวิ้นก็จะหยิบของขวัญออกมาจากกระเป๋ามาั้แ่ตอนที่พวกเขาทั้งสองคนจะออกจากบ้าน แล้วบอกเขาทันทีว่า “เปิดดูเร็วๆ ถ้ากล้าบอกว่าไม่ชอบนะ พวกเราก็ไม่ใช่ทูต์ของกันและกันแล้ว”
แต่เซี่ยเจิงเป็เช่นนี้
เขาเก็บทุกอย่างเอาไว้ในดวงตาของเขา ชวีเสี่ยวปอไม่เคยพูดถึงเื่วันเกิดของตัวเองกับเขาเลยสักครั้งเดียว แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเซี่ยเจิงไปรู้มาจากไหน แต่เขากลับปักครอสติชจนเสร็จอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ทำเพียงเฝ้ารอคอย
ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกซึ้งเลยก็คงจะเป็เื่โกหก
“ยังมีอีกอย่างนะ” เซี่ยเจิงชี้ไปยังถุงผ้าสักหลาด “ฉันเขียนการ์ดให้นายด้วยนะ”
“จริงเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอจับดูในถุง แล้วก็เห็นว่ามีการ์ดใบเล็กๆ ที่เทไม่ออกอยู่ด้วยจริงๆ จากนั้นเขาก็เปิดการ์ดขึ้นมา ด้านในนั้นมีลายมืออันประณีตของเซี่ยเจิงเขียนเอาไว้ว่า :
“ขอให้นายมีอิสระและมีความสุขตลอดไป”
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน หรืออาจจะเป็เพราะว่าไฟในรถมันสลัวเกินไป ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวอักษรที่เซี่ยเจิงเขียนลงไปทุกตัวอักษรถูกล้อมรอบไว้ด้วยขอบอันฟุ้งกระจายที่ดูอ่อนนุ่ม เขาเก็บการ์ดใบเล็กนั้นลงกระเป๋ากางเกงไว้อย่างดี จากนั้นก็หยิบพวงกุญแจปักครอสติชอันนั้นมาห้อยเอาไว้ด้วย
“สวยมาก” ชวีเสี่ยวปอใช้นิ้วมือเขี่ยมันไปสองที ยิ่งเขาดูการ์ตูนตัวนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากขำขึ้นมา จึงหันหน้าไปหาเซี่ยเจิงแล้วพูดว่า : “นี่นายปักมันให้เหมือนฉันใช่ไหม? ”
“นายก็ให้เกียรติฉันเกิน” เซี่ยเจิงขยับเข้าไปจับตัวการ์ตูนตัวนั้น “ฉันทำตามรูปแบบสำเร็จ แต่ว่าก็เลือกนานมากจนรู้สึกว่าตัวนี้เหมาะที่สุด”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอรู้สึกพอใจมากเลยทีเดียว
“ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงอะ? ” ชวีเสี่ยวปอยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ “ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้บอกนายนะว่าวันนี้วันเกิดฉัน”
“ฉันนับเอา” เซี่ยเจิงพูดพลางนับนิ้วไปด้วย “ตรงเปะเลยไหมล่ะ? ”
“บ้านนายสิ บอกความจริงมา” ชวีเสี่ยวปอจับนิ้วของเซี่ยเจิงเอาไว้ เพื่อหยุดการกระทำที่แกล้งทำเป็ไม่รู้เื่ของเขา
“ซือจวิ้นบอกฉันไง” เซี่ยเจิงถอนหายใจ
“ให้ตายเถอะ? ” ชวีเสี่ยวปอนึกไม่ถึงว่าจะเป็เช่นนี้
“ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ก็รู้มานิดนึงแล้วเหมือนกัน” เซี่ยเจิงยกมุมปากขึ้นมา “วันนั้นที่จัดงานวันเกิดของเซี่ยเจิง นายเกือบจะหลุดพูดออกมาแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ให้ตายสิ? ” ชวีเสี่ยวปอยังจำเื่ราวครั้งก่อนได้อยู่เลย ตอนนั้นคิดว่าเซี่ยเจิงคงจะไม่ได้ยิน แต่นึกไม่ถึงว่าเขาไม่เพียงแต่จะได้ยินเข้าแล้ว ทั้งยังจำได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
หลังจากที่สนุกสนานเฮฮากันอยู่ในรถอยู่พักใหญ่ ชวีเสี่ยวปอจึงขับรถไปส่งเซี่ยเจิงที่บ้านก่อน จากนั้นเมื่อทั้งสองคนร่ำลากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงขับรถออกไป แต่ขับออกไปได้ไม่ไกลเขาก็ต้องหยุดรถลงที่ปากทางแยก แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“ลูกกับชวีจิ่งมีเื่อะไรกัน? เมื่อกี้โทรไปหาลูกทำไมถึงไม่รับ? ”
เป็ข้อความที่เวินลี่ส่งมา ทั้งยังมีอีกสามสายที่ไม่ได้รับ
ก่อนทานข้าว ชวีเสี่ยวปอได้ทำการเปิดโทรศัพท์ให้อยู่ในโหมดเงียบอย่างฉลาดหลักแหลม
ดูท่าแล้วทันทีที่พวกเขาทั้งสองคนออกจากสนามบาสเกตบอลมา ชวีอี้เจี๋ยก็คงจะรู้เื่ราวทั้งหมดแล้ว
ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมา และเขาก็รู้ว่าการเงียบไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เสียงต่อสายดังขึ้นมาเพียงหนึ่งครั้ง เวินลี่ก็รับโทรศัพท์แล้ว ราวกับว่าเธอกำลังรอให้อีกฝ่ายติดต่อกลับมาโดยตลอด แต่ทันทีที่เสียงของชวีอี้เจี๋ยดังออกมาจากลำโพง ชวีเสี่ยวปอจึงได้กลืนคำพูดที่อยากจะพูดลงไปอีกครั้ง
“พ่อเอง แม่ของลูกไปล้างหน้า แล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก? ”
“กำลังกลับครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไป “เพิ่งจะกินข้าวกับเพื่อนเสร็จ”
“เพื่อน? ” ชวีอี้เจี๋ยทำเสียงไม่ค่อยพอใจออกมา “ใช่คนที่ต่อยกับชวีจิ่งคนนั้นไหม? ”
“แค่เข้าใจผิดครับ” ชวีเสี่ยวปอสูดหายใจลึกๆ จากนั้นจึงพูดแก้ต่างออกไป : “เดี๋ยวผมกลับไปพูดที่บ้านครับ”
“เข้าใจผิด? ” น้ำเสียงของชวีอี้เจี๋ยฟังดูโมโหเป็อย่างมาก “เข้าใจผิดถึงขนาดที่ต่อยชวีจิ่งจนเืตกยางออก? ลูกรู้ไหมว่าถ้าเขาใช้แรงเยอะกว่านี้อีกหน่อย จมูกของชวีจิ่งก็จะกระดูกหักได้เลยนะ? ”
ก็ชวีจิ่งหาเื่เจ็บตัวเอง
ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะคิดเช่นนั้น แต่ปากของเขากลับพูดอีกอย่าง : “ตอนนั้นผมกับชวีจิ่งทะเลาะกัน แล้วเพื่อนผมทนไม่ไหว ก็เลย... ”
อันที่จริงชวีเสี่ยวปอไม่อยากที่จะอธิบายให้ชวีอี้เจี๋ยฟังสักเท่าไหร่ เพราะว่าเขารู้ดีว่าชวีอี้เจี๋ยเป็คนที่สนใจแต่ผลลัพธ์มาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว ประเด็นสำคัญที่ชวีอี้เจี๋ยสนใจในตอนนี้ก็คือ “ลูกชายทั้งสองคนไปมีเื่ต่อยตีกันข้างนอกจนทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า” และต่อให้พูดอธิบายไปมากแค่ไหนเขาก็ไม่ฟังอยู่ดี
“ทำไมคนที่ลูกคบด้วยถึงได้มีแต่คนที่ไม่เป็โล้เป็พายแบบนี้ !” ชวีอี้เจี๋ยที่อยู่ปลายสายะโออกมา “สำคัญกว่าพี่ชายของลูกหรือยังไง !”
ไม่เป็โล้เป็พาย
ชวีเสี่ยวปอนึกไม่ถึงเลยว่าคำคำนี้จะถูกเอามาใช้กับคนอย่างเซี่ยเจิง
เขาติดเครื่องหมายเอาไว้ให้เซี่ยเจิงมากมายเต็มไปหมด ยกตัวอย่างเช่น ตอนรู้จักเขาแรกๆ “คนต่ำช้าไร้ยางอาย” “เลวทราม” แต่หลังจากนั้นก็ลบคำเหล่านี้ทิ้งไป และติดเครื่องหมายอันใหม่ลงไปว่า “เด็กเรียน” “มีคุณธรรม” แล้วก็ “เพื่อนสนิท”
แต่คำว่าไม่เป็โล้เป็พายห้าคำนี้กลับออกมาจากปากของชวีอี้เจี๋ย เพื่อมานิยามตัวตนของเซี่ยเจิง
เขารับไม่ได้
และยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่ชวีอี้เจี๋ยเอาชวีจิ่งมาเปรียบเทียบกับเซี่ยเจิง
ไม้คานตราชั่งในใจของชวีเสี่ยวปอรับรู้ได้อย่างชัดเจน และถึงแม้ว่าระหว่างตัวเขากับชวีจิ่งจะมีความสัมพันธ์ทางสายเืกันอยู่อย่างเบาบาง แต่ระหว่างเขาทั้งสองคนก็มีช่องวางที่ไม่มีวันจะเติมให้เต็มได้เช่นเดียวกัน
“ถ้างั้นพ่อก็ไปถามชวีจิ่งก่อนเถอะครับว่าเขาทำอะไรลงไป !”
หลังจากที่ะโประโยคนี้ออกไปจนจบ เขาก็รีบกดวางสายไปในทันที แล้วชวีเสี่ยวปอก็โยนโทรศัพท์ไปที่เบาะหลังอย่างกลัดกลุ้ม จากนั้นจึงหลับตาลง
ถ้าหากชวีอี้เจี๋ยรู้ว่าชวีจิ่งบีบคอเขา ทั้งยังกดตัวเขาไว้กับกำแพง จะยังถามคำถามนี้ออกมาอยู่อีกไหมนะ?
ทว่าคิดถึงเื่พวกนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรขึ้นมา
ตอนนี้เขาและชวีอี้เจี๋ยยังไม่เย็นใจลงด้วยกันทั้งคู่ ถ้าให้พูดในอีกแง่หนึ่งคือ ชวีอี้เจี๋ยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเื่ราวที่เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงเ็ปใจแทนลูกชายตัวเอง แต่ชวีเสี่ยวปอเองรู้ถึงต้นเหตุและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะฉะนั้นเขาเ็ปใจแทนเซี่ยเจิง
ใช่แล้ว เป็อย่างนี้นี่แหละ
ชวีเสี่ยวปอนั่งอยู่ในรถประมาณห้านาทีได้ แล้วเขาก็ดับเครื่องลง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในซอยบ้านของเซี่ยเจิง
เขาผลักประตูรั้วเบาๆ ไปสองครั้งและพบว่ามันได้ล็อกไปแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าเคาะประตูเพราะกลัวจะเสียงดังจนทำให้แม่ของเซี่ยเจิงตื่น เขาจึงยืนอยู่ด้านนอกพร้อมทั้งกดโทรศัพท์หาเซี่ยเจิง
ชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเซี่ยเจิงดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงรองเท้าแตะที่กำลังจะวิ่งจากลานบ้านเข้าไป ชวีเสี่ยวปอจึงรีบะโออกไปเสียงเบา : “ฉันเอง !”
หลายวินาทีต่อมา ประตูก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน
เซี่ยเจิงไม่ได้ใส่เสื้อ บนศีรษะเต็มไปด้วยฟอง เขายืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับมองมายังชวีเสี่ยวปอ
“ไฮ หวัดดีตอนกลางคืน” ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า เขาเดินลอดผ่านช่องว่างข้างๆ เข้าไปด้านใน ทั้งยังปิดประตูให้เสร็จสับเรียบร้อย
“เดี๋ยวฉันไปล้างหัวก่อน” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา “นายเข้าบ้านไปเถอะ”
ตอนจบของวันเกิดในวันนี้ไม่ค่อยจะสมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่
ชวีเสี่ยวปอนอนลงบนเตียงของเซี่ยเจิง ขณะนั้นก็ส่งข้อความไปหาเวินลี่ว่า :
“คืนนี้ผมไม่กลับบ้านนะครับ”