“พักหลังมานี้ เ้าเฉยเมยต่อซูเจียวเกินไปแล้วฤาไม่” พระาาซูเฟยเถาเดินเข้ามาในตำหนัก แล้วกล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว ในขณะที่พระชายานั่งนิ่งไม่ตอบคำถาม สีหน้าซีดเซียวบ่งบอกว่านางกำลังตรอมใจเพราะคิดถึงซูเจินเป็อันมาก
“ซูเจียวน้อยใจเ้า จนไม่เป็การฝึกดนตรี นางร้องไห้คร่ำครวญว่าเ้าไม่รัก”
“เหตุใดจึงน้อยใจข้า ตำหนักขาวที่ควรเก็บไว้ ท่านก็จัดการมอบให้ซือซิงไปแล้ว นานนมป่านนี้ข้าไม่เคยเห็นความเสียใจจากท่านพี่เลยสักนิด ซูเจียวได้ท่านให้ท้ายมีเหตุใดต้องน้อยใจอีก” ซูลี่พูดพลางเหม่อลอย คล้ายคนสิ้นหวัง ก่อนมือหนาของพระาาจะเข้ามาลูบปลอบ
“ตัดใจเสีย”
“ท่านพี่ตัดใจจากลูกได้ แต่ข้าไม่” พระาาซูเฟยเถาถอนหายใจ มองรูปร่างอันซูบผอมของชายาแล้วนึกใจหาย เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สภาพจิตใจของซูลี่ดีขึ้น ในทางกลับกันมันดูแย่ลงกว่าทุกวัน
“วันนี้พระชายาเสวยอะไรบ้างฤาไม่” เขาหันไปถามนางกำนัลที่ก้มหน้าอยู่ด้านข้าง ผลตอบรับคือการส่ายศีรษะเป็การปฏิเสธ
“ั้แ่เมื่อวานตอนเย็น พระชายายังมิได้เสวยเลยเพคะ หม่อมฉันพูดอย่างไรก็ไม่เป็ผล”
“ซูลี่ เ้าจะเป็แบบนี้อยู่ไม่ได้”
“ทุกลมหายใจของท่าน มีแต่ซูเจียว ข้ารู้ว่านางเป็ความหวังของท่าน เมื่อเป็เช่นนั้นแล้วข้ากับซูเจินอาจไม่มีความหมาย จะมีข้าอยู่ฤาไม่ ผลออกมาย่อมเท่ากัน” ซูลี่พูดในขณะที่น้ำตาไหลเป็ทาง นางยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับ เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น คราแรกตั้งใจจะเข้ามาต่อว่า หากแต่เมื่อเห็นสภาพชายาในตอนนี้แล้วควรเปลี่ยนความคิด
“เ้าพูดเช่นนี้หมายความอย่างไร”
“ชีวิตของข้าหาได้มีความหมายกับท่าน เพียงคำขอร้องในวันนั้นของข้า ท่านมิเคยใส่ใจดังนั้นแล้ว ท่านไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ ข้าจักเป็ตายอย่างไร ขออย่าใส่พระทัยอีกเลย”
“ซูลี่” พระาาเอ่ยเรียก ในขณะที่พระชายาเหม่อลอยคิดท้อใจ
“ข้ายอมเ้าแล้ว ข้าจักสั่งทหารออกตามหาซูเจินทันทีในวันรุ่งขึ้น” หลังจากสิ้นคำพูดของพระาา การตอบสนองของซูลี่เป็ผล นางหันศีรษะแล้วมองตรงมายังเขา
“จริงเหรอเพคะ” มือบางแม้ไม่มีแรง หากแต่ขยับมาจับแขนเขาไว้แน่น พระาาเห็นดังนั้นจึงส่งยิ้มกลับแล้วพยักหน้าตอบรับแทนคำสัญญา
“เช่นนั้นแล้วเ้าต้องกินอาหาร เข้าใจฤาไม่” พระชายาพยักหน้าเป็การตอบรับ
“เ้าออกไปนำอาหารมาตอนนี้เลย ข้าจะเป็คนป้อนนางเอง” นางกำนัลรับคำสั่งแล้วรีบออกไป พระาาหันกลับมามองชายาด้วยความเป็ห่วง ไม่นานนักอาหารหลายอย่างถูกนางกำนัลยกเข้ามาวาง เขาตักอาหารป้อนนางทีละคำช้าๆ เพื่อให้ชายารับอาหารมากที่สุด หลังจากดูแลชายาเสร็จสิ้น จึงเดินออกมารับลมด้านนอกเพียงครู่เดียว ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามา ก่อนปรากฏเป็รูปร่างของราชธิดาซูเจียว
“เหตุใดยังไม่นอน” เขาส่งยิ้มให้กับลูกสาว
“ข่าวว่าท่านพ่อสั่งให้ทหารออกตามหาซูเจินเหรอเพคะ” ซูเจียวเดินเข้ามาแล้วถามด้วยกิริยานอบน้อม
“ใช่” คำตอบของราชบิดากระตุกให้ไฟริษยาในตัว ก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้ง ทว่ายังแสร้งแกล้งทำเสียงอ่อนหวาน
“ตามกลับมาทำไม เหตุใดต้องทำเช่นนั้น ไหนว่าท่านพ่อจะดัดนิสัยนาง เช่นนั้นแล้วนางมิเหิมเกริมยิ่งกว่าเดิมเหรอเพคะ”
“หากไม่ทำเช่นนั้น แม่เ้าจะทรุดหนักไปอีก ถึงเพียงนี้แล้วไม่ว่าอย่างไรต้องตามใจนาง”
“แล้วตำหนักขาวล่ะเพคะ”
“หากซูเจินกลับมา ก็ต้องมอบคืนแก่นาง” คำตอบของราชบิดา เหมือนเข็มแหลมพุ่งทะลุกลางดวงใจ มือบางกำบดเบียดกันแน่น ด้วยความริษยาก่อกำเนิดอย่างเต็มตัว ใบหน้าสวยข่มความอัดอั้นไว้ภายใน แล้วหันมองราชบิดาเป็ครั้งสุดท้ายก่อนบอกลา ขณะที่สองเท้าเดินกลับไปยังตำหนัก ความเกลียดชังที่มีต่อซูเจินยังคงก่อกวนมิอาจวางได้
“ราชธิดาเพคะ เป็อย่างไรบ้าง” ซือซิงถามพร้อมกับสังเกตอาการของผู้เป็นาย
“ท่านพ่อสั่งให้ทหารออกไปตามซูเจินจริง หากนางกลับมาทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม ข้าควรทำอย่างไรดี” ซูเจียวเดินวนไปมาอยู่ในห้องอย่างใช้ความคิด ภาพความจำในอดีตพุ่งเข้ามาให้หวนระลึกนึกถึง ณ สวนเหมยเต็งนอกเขตพระราชฐาน ในเวลานั้นซูเจินและซูเจียวยังเด็ก พากันเดินเที่ยวเล่นพร้อมกับฝึกดนตรีไปตามประสา ขณะที่พระาานั่งทวนงานราชการอยู่ไม่ไกลมากนัก
“พรุ่งนี้ ท่านพ่อจะให้พวกเราเล่นเครื่องดนตรีที่ถนัด ซูเจินเ้าถนัดขลุ่ยหรือพิณมากกว่ากัน” เด็กหญิงตัวเล็กถามน้องสาวด้วยแววตาใคร่รู้
“พี่ลี่เซียนบอกว่า ข้าเป่าขลุ่ยดีกว่าดีดพิณ” ซูเจินพูดตามความเป็จริง แต่นั่นทำให้พี่สาวอย่างซูเจียวหลุดหัวเราะเยาะ
“ลี่เซียนจอมโกหก อย่างเ้าจะเป่าขลุ่ยสู้กับข้าได้อย่างไร” ว่าแล้วซูเจียวจึงยกขลุ่ยในมือเป่าเป็เพลงเพื่ออวดความสามารถ ซูเจินนั่งยกมือขึ้นเท้าคางมองพี่สาวด้วยดวงตาชื่นชม นอกจากเสียงจากขลุ่ยอันไพเราะแล้ว ซูเจียวมีลวดลายการเป่าอันน่าทึ่ง จนมิอาจละสายตาได้ ไม่นานนักเสียงเพลงจากขลุ่ยก็สงบลง เสียงปรบมือจากซูเจินดังขึ้นเป็การชมเชย
“ถึงตาเ้าแล้ว ไหนที่ลี่เซียนจอมโกหก บอกเ้าว่าเ้าเป่าขลุ่ยดีกว่าดีดพิณ ข้าอยากฟังว่าจะสู้ข้าได้ฤาไม่”
“ข้าสู้พี่ซูเจียวไม่ได้หรอก”
“อย่าพูดมาก เป่าออกมาให้ข้าฟัง ข้าจักเป็คนตัดสินว่าเ้าควรใช้เครื่องดนตรีชนิดใด” ซูเจินได้ฟังดังนั้นจึงยกขลุ่ยในมือขึ้นมาเป่า เพียงเสียงแรกที่เป่าออกมา จังหวะการปล่อยลมนุ่มนวลจนทำให้พระาาที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักถึงกับถูกสะกดไว้ แล้ววางมือจากงานราชการ หันมาตั้งใจฟังเสียงขลุ่ยอันไพเราะ ทุก่จังหวะลื่นไหลดังสายน้ำ เขาแย้มยิ้มออกมาอย่างพอใจ ซูเจียวหน้าซีดลงหลังจากได้ฟังเสียงขลุ่ยจากผู้เป็น้องสาว
“ไม่เห็นจะเก่งอย่างที่ลี่เซียนพูดเลยสักนิด หยุดเป่าได้แล้ว” นางเสียงดังใส่น้องสาวทันทีด้วยความหงุดหงิด ซูเจินวางขลุ่ยในมือตามคำสั่งอย่างว่าง่าย พร้อมหลุบตาต่ำลง
“นับจากนี้เ้าห้ามเป่าขลุ่ย เ้าควรหันไปเล่นพิณ”
“แต่ข้าชอบเป่าขลุ่ย”
“แต่เ้าเป่าขลุ่ยไม่เก่ง” ซูเจียวยืนขมึงแสดงอำนาจ ก่อนฝีเท้าของพระราชบิดาจะเสด็จเข้ามาแล้วถามทั้งสองด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแสนเมตตา
“เสียงขลุ่ยเมื่อครู่เป็ของผู้ใด” ซูเจินอึกอักมองตาพี่สาว ก่อนที่ซูเจียวจะยกมือขึ้น
“เป็ของลูกเพคะ เสียงขลุ่ยสุดท้ายเป็ของลูก เสียงขลุ่ยแรกเป็ของซูเจินเพคะ”
“เช่นนั้นเหรอ” ซูเจียวพยักหน้าตอบรับ ในตอนนั้นนางเห็นสายพระเนตรของราชบิดา เป็ประกายอย่างมีความหมาย พระหัตถ์ยกขึ้นลูบที่ศีรษะนางด้วยความเมตตา พระราชบิดาเริ่มตั้งความหวังทั้งหมดไว้ที่ซูเจียว นับจากนั้นเป็ต้นมา หลังจากราชบิดาเดินหายวับกลับไป ปล่อยให้สองพี่น้องอยู่เล่นกันตามประสา
“ที่ข้าทำเมื่อครู่เพื่อปกป้องเ้านะซูเจิน เสียงขลุ่ยของเ้ามันไม่ไพเราะ อาจถูกตำหนิจากท่านพ่อ ข้าจึงยอมออกรับแทน ไม่ว่าอย่างไรเสียก็ควรขอบคุณข้าบ้าง สำนึกไว้ว่าข้าเสียสละเพื่อเ้าสักเพียงใด”
“ข้าขอบคุณพี่ซูเจียว” เด็กหญิงหญิงตัวเล็กก้มหน้ายอมรับ เพราะคิดว่านั่นคือความหวังดีจากพี่สาวที่มอบให้ ซูเจินยอมละทิ้งการเป่าขลุ่ย และเริ่มจริงจังกับการดีดพิณนับจากนั้นเป็ต้นมา
ความคิดในอดีตย้อนกลับและหายวับไปในเวลาไม่นาน ซูเจียวเดินหน้าซีดเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ตัวโปรดอย่างใช้ความคิด ไม่ว่าอย่างไรนางจะไม่ยอมให้พระราชบิดาพาตัวซูเจินกลับมายังวังหลวงอีกเด็ดขาด
“ซือซิง” เสียงเรียกอันสุขุมจากราชธิดา ทำให้สาวใช้เดินเข้าไปใกล้
“พรุ่งนี้เ้าเตรียมอาหารเช้าให้ท่านแม่ได้ฤาไม่”
“ด้วยเหตุใดเหรอเพคะ” ดวงตากลมอันมีเลศนัยจากซูเจียว ส่องประกายวาววับอย่างไม่น่าไว้ใจนัก
“หากไม่มีท่านแม่แล้ว เ้าคิดว่าท่านพ่อจะพาซูเจินกลับมาฤาไม่” ซือซิงหน้าชาวาบ รีบทรุดลงนั่งในทันที ดวงตาหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
“ข้าๆ” ซือซิงอ้ำอึ้ง พร้อมเม็ดเหงื่อผุดขึ้นแซมใบหน้า ไม่กล้าตอบคำถาม
“อาหารของท่านแม่ เ้าจงใส่ยานี่ลงไปที่น้อยๆ ทุกครั้งสามเวลา ยานี้จะทำให้ท่านแม่หมดแรงลงไปวันละนิด ถึงครานั้นก็จักไม่มีแรงพูดถึงซูเจินอีก” นางหยิบยาในซอกเสื้อบาง แล้วยืนให้กับหญิงรับใช้คนสนิท
“ราชธิดาเพคะ” ซือซิงเบิกตากว้างพลางส่ายศีรษะไปมา ด้วยเกรงต่อราชอาญาอันหนักหนาสาหัส
“เ้าไม่พูด ข้าไม่พูด จักมีใครรู้” น้ำเสียงอันเยือกเย็นกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ความริษยากำลังบดบังความถูกผิดในใจ นางวาดสายตาจับจ้องไปยังสาวใช้ด้วยสายตาบังคับ
“เ้ามิมีทางเลือกนักหรอกซือซิง หากเ้าไม่ทำตามที่ข้าบอก จะเป็เ้าเองที่ไร้ลมหายใจ”
“ข้ายอมทำเพคะ” ซิงซิงรีบรับปากราชธิดาในทันทีด้วยความกลัว แม้ภายในจะต่อต้านสักเพียงใด หากแต่ไม่อาจทัดทานอำนาจของนางได้