“หลังจากฟ่านเสี้ยวเหวินตายไป เวยเหวินชางก็อาศัย่ที่ทุกคนไม่ทันสังเกตค่อยๆ ไปเช็ดเกสรเ่าั้ออกโดยที่ไม่มีใครรู้ พอหมอหลวงกับศาลต้าหลี่เข้าตรวจสอบ ก็จะตรวจสอบพบแค่ฟ่านเสี้ยวเหวินอาการหอบหืดกำเริบ อีกอย่างตอนที่เขาอาการกำเริบคนมากมายก็เห็นกับตา เช่นนี้วิธีการตายก็สมเหตุสมผล ไม่มีทางมีคนสงสัยว่ามีการวางแผนลอบฆ่า”
หน้าตาของมู่หรงฉือมั่นใจ ก่อนจะวิเคราะห์รูปคดีออกมาอย่างชัดเจนสมเหตุสมผล
เสิ่นจือเหยียนปรบมือสมทบด้วยความนับถืออยู่ครู่หนึ่ง “การสันนิษฐานของเตี้ยนเซี่ยยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
ใบหน้าของมู่หรงอวี้เคร่งขรึมขึ้น คิดไม่ถึงว่าภายในเวลาสั้นๆ เตี้ยนเซี่ยก็อาศัยเบาะแสพวกนี้มาสันนิษฐานรูปคดีออกมาได้ ถึงแม้คดีนี้จะไม่ได้ยุ่งยากมาก แต่ว่าเกี่ยวข้องกับกรมพิธีการ ขันทีของตำหนักอู่อิงและหรงเฟย คนปกติคงไม่อาจนำคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยมาเชื่อมโยงกันได้ นอกเสียจากจะกล้าหาญ ละเอียดรอบคอบ ทั้งยังต้องมีสมองที่ชาญฉลาดอีกด้วย
เสี่ยวหยงจื่ออ้าปากน้อยๆ มองไปทางเตี้ยนเซี่ยอย่างตกตะลึงตาค้าง ดวงหน้าขาวซีดปกคลุมไปด้วยความตื่นตระหนก
เตี้ยนเซี่ยสามารถสันนิษฐานเื่นี้ออกมาได้อย่างแม่นยำ ช่างเก่งกาจจริงๆ
พริบตาต่อมา หัวใจที่หวาดกลัวต่อความตายของเขา ทำให้เห็นภาพการตายอย่างทรมานของผู้ตายฉายอยู่ตรงหน้า จู่ๆ เขาพลันหายใจไม่ออก รู้สึกราวิญญาจะหลุดลอยไป
เขาตายไปแล้วไม่ต้องเป็กังวล แต่ว่าเขาไม่อยากจะคิดเลยสักนิดว่าหากทำให้คนในครอบครัวต้องมาติดร่างแหไปด้วยจะเป็อย่างไร
ั์ตาของมู่หรงอวี้มืดดำเหมือนยามราตรี “พูดเช่นนี้ เป็หรงเฟยสั่งให้เสี่ยวหยงจื่อมาลอบฆ่าฟ่านเสี้ยวเหวิน แต่ว่าเหตุใดหรงเฟยถึงต้องทำเช่นนี้?”
มู่หรงฉือหัวเราะ “หรงเฟยเป็บุตรสาวภรรยาเอกของตระกูลหรงกั๋วกงสกุลหรง แน่นอนว่าอยากจะช่วยหรงชิงถิง ครั้งนี้หรงชิงถิงเองก็เข้าร่วมการสอบ อีกทั้งยังมีความหวังว่าจะได้อันดับสาม”
เสิ่นจือเหยียนพูดต่อ “ลำดับของหรงชิงถิงเป็รองเพียงฟ่านเสี้ยวเหวิน เขาเป็คนอ่อนโยนราวกับหยก รูปร่างสูงใหญ่ราวต้นไผ่ บวกกับชาติกำเนิดและชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่ว สตรีจากตระกูลชั้นสูงมากมายต้องตาเขา หรงชิงถิงทำงานอยู่ที่กรมการคลัง ถึงแม้ตำแหน่งจะต่ำ แต่ว่าอนาคตกลับยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด”
หากจะพูดถึงคุณชายในตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เขาก็ถือว่าเป็ของล้ำค่าที่มีอยู่ไม่มาก
“ขอแค่ฟ่านเสี้ยวเหวินที่เป็อันดับหนึ่งของแคว้นเยี่ยนตายจากไป เช่นนั้นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจะไม่ใช่หรงชิงถิงหรือ?” นางหัวเราะเสียงใส “อีกอย่าง หรงชิงถิงฝึกวิชาการต่อสู้มาหลายปี นับได้ว่าเป็คนที่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ มีโอกาสที่จะได้รับเลือกสูงมาก”
“เพื่อหลานชาย หรงเฟยจึงลงมืออย่างไม่เลือกวิธีการ ลอบวางแผนสังหารฟ่านเสี้ยวเหวิน” หางตาของมู่หรงอวี้มีความดูแคลนแล่นผ่าน “นางเองก็ถือว่าทำเพื่อสกุลหรง เป็ของขวัญให้กับสกุลหรง”
“หรงเฟยคิดว่าการฆ่าคนในครั้งนี้ไม่มีใครรู้ใครเห็น คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้จะถูกเตี้ยนเซี่ยมองออกจนหมด” เสิ่นจือเหยียนพูดพลางยิ้มตายิบหยี ก่อนจะมองไปทางเสี่ยวหยงจื่อ “เ้ายังมีอะไรอยากจะพูดอีกหรือไม่?”
“เตี้ยนเซี่ยเฉลียวฉลาด สิ่งที่เตี้ยนเซี่ยพูดมาทั้งหมดไม่ผิดเลยพ่ะย่ะค่ะ หนูฉายยอมรับผิด หนูฉายยอมให้ลงโทษ ขอเพียงเตี้ยนเซี่ยกับท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตคนในครอบครัวของหนูฉายด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวหยงจื่อหวาดผวา หวาดกลัวจริงๆโขกศีรษะลงกับพื้นไม่หยุดจนเืไหล
“หากเ้าทำตามที่เปิ่นกงบอก เปิ่นกงจะไว้ชีวิตคนในครอบครัวของเ้า” มู่หรงฉือหัวเราะเสียงเย็นอย่างมีเลศนัย
...
เมื่อเหล่าบุรุษหนุ่มได้รับคำสั่งให้ออกจากวังได้ ต่างพากันกลับจวนไปด้วยความรวดเร็ว
โถงใหญ่ของตำหนักอู่อิงได้เก็บโต๊ะเตี้ยไปแล้ว เหลือแต่โต๊ะที่ฟ่านเสี้ยวเหวินเคยใช้ ตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว ราวกับกำลังะโถึงการสิ้นใจอันไร้ความเป็ธรรมของผู้ตาย
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สลักสองตัวทางทิศเหนือคือมู่หรงฉือกับมู่หรงอวี้ เสิ่นจือเหยียนยืนอยู่ฝั่งมู่หรงฉือ คนของกรมพิธีการยืนอยู่ฝั่งมู่หรงอวี้
พอเทียบกันเช่นนี้แล้ว จึงเห็นจำนวนคนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อำนาจก็แบ่งอย่างชัดเจน
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนมองตากัน มู่หรงอวี้เองก็เห็นทั้งสองส่งสายตา จู่ๆ ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
พวกเขาสามคนต่างรู้ดีว่า หรงเฟยสามารถผลักความผิดนี้ออกไปได้อย่างหมดจด หากจะให้นางยอมรับผิดนั้นยากมาก
“หรงเฟยเสด็จ!”
ด้านนอกมีเสียงรายงานของขันทีดังขึ้น
เสียงหยุดลง สตรีอายุราวสามสิบคนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว ฝีเท้าเดินอย่างฉับไว ไม่เหมือนกับท่าทางของสตรีงามทั่วไป
หน้าตาของนางงดงามมีราศี แต่เมื่ออยู่ในวังหลังที่เต็มไปด้วยหญิงงามกลับไม่นับว่าโดดเด่น เพียงแต่ชาติกำเนิดของนางคือสกุลหรงที่เป็หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ นางจึงกลายเป็บุคคลที่มีอำนาจมากคนหนึ่งในบรรดาเฟยผินแห่งวังหลัง
ฮ่องเต้ให้ความเอ็นดูบุตรสาวของสี่ตระกูลใหญ่ เป็การสร้างความสมดุลของตระกูลต่างๆ และถ่วงดุลอำนาจของฮ่องเต้ สำหรับตระกูลใหญ่ทั้งสี่แล้ว การมีบุตรสาวอยู่ที่วังหลังเป็ประหนึ่งเครื่องรางป้องกันตำแหน่งในราชสำนักให้มั่นคง
อายุของหรงเฟยน้อยกว่าเฉียวเฟยเล็กน้อย แต่ก็นับว่าอายุมากแล้ว อีกทั้งนางมีเรือนรูปร่างอยู่เพียงระดับกลางค่อนไปทางดี ดังนั้นในคราแรกจึงไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานเท่าไหร่ ยิ่งหลังจากที่เซียวกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานแล้ว เป็ครึ่งปีนางก็ยังไม่ได้เจอหน้าฝ่าา หลายปีมานี้นางจึงมีเพียงองค์หญิงจิ้นหยางเป็ธิดาหนึ่งพระองค์
นางมีตำแหน่งเป็เฟย แต่ว่าเนื่องจากไม่ได้รับความโปรดปราน ลำดับความสำคัญยังสู้องค์รัชทายาทผู้ไม่ได้เื่ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวี้หวางที่มีอำนาจล้นมือ
แต่ว่านางก็ไม่ได้ทำความเคารพพวกเขา เพียงทักทายอย่างเรียบง่ายเท่านั้น
มู่หรงฉือเชิญให้นางนั่งลง พูดเสียงใสแล้วยิ้ม “ให้หรงเฟยต้องเดินทางมาถึงตำหนักอู่อิงที่อยู่ไกลเพียงนี้ ขอหรงเฟยอย่าได้ตำหนิไป”
หรงเฟยดึงเก้าอี้ออกมานั่ง ก่อนจะยิ้มเอ่ย “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? องค์รัชทายาท ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่ามีเื่อะไรหรือ?”
หรงกั๋วกงเป็ตระกูลแม่ทัพ หลายสิบปีก่อนตระกูลหรงผลิตแม่ทัพใหญ่ออกมาได้สามคน จึงเป็ที่เลื่องลือขึ้นมา่หนึ่ง ชื่อเสียงรุ่งเรือง หรงเฟยเกิดจากตระกูลแม่ทัพ ถึงแม้จะเข้ามาอยู่ในวังแล้วหลายปีแต่ก็ยังคงเห็นลักษณะนิสัยประจำตระกูลหรงได้อย่างชัดเจน คือคล่องแคล่วปราดเปรียว
เพียงแต่ ใครก็คิดไม่ถึงว่าตระกูลหรงที่เป็ตระกูลนักรบจะมีหรงชิงถิงที่เป็คนชาญฉลาดออกมาคนหนึ่ง
“เปิ่นกงกับอวี้หวางมีข้อสงสัยบางอย่าง ต้องรบกวนหรงเฟยให้มาตอบคำถามเสียแล้ว” มู่หรงฉือยิ้มแล้วโบกมือไปด้านนอก
“รบกวนเตี้ยนเซี่ยถามมาเถิด เปิ่นกงจะตอบทุกอย่าง” หรงเฟยตอบอย่างรวดเร็ว
“ได้ยินมาว่าเมื่อสามปีก่อนเสี่ยวหยงจื่อถูกหรงเฟยขับไล่ออกจากตำหนัก มีเื่อะไรหรือ?”
“มีเื่นี้อยู่จริงๆ เสี่ยวหยงจื่อทำความผิดอยู่บ่อยครั้ง เปิ่นกงจึงไล่เขาออกไป ต่อมาได้ยินว่าเขาถูกส่งมาทำงานที่ตำหนักอู่อิง”
“ไม่ทราบว่าเขาทำผิดอะไรหรือ?”
“เสี่ยวหยงจื่อติดตามเปิ่นกงมาหลายปี เป็หัวหน้าขันทีในตำหนักบรรทมของเปิ่นกง ความสัมพันธ์นายบ่าวก็มิได้ตื้นเขิน ตอนนั้นมือเท้าทำอะไรก็คล่องแคล่ว ทั้งยังฉลาดเฉลียวทำอะไรรอบคอบ เปิ่นกงจึงเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็หัวหน้า ให้เขาดูแลตำหนักบรรทมของเปิ่นกงดีๆ คิดไม่ถึงว่าหลายปีหลังจากนั้นเขากลับติดการพนัน ทั้งยังแอบเอาตำหนักบรรทมของเปิ่นกงเป็ที่เล่นการพนัน หลังจากเปิ่นกงรู้เข้าจึงเรียกเขามาต่อว่าอย่างรุนแรง ทั้งยังโบยเขาไปยี่สิบไม้” หรงเฟยถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย “เปิ่นกงเห็นเขาสำนึกผิดจริงๆ จึงให้โอกาสเขาอีกครั้ง ใครจะไปคิดว่าเขายังจะไม่เปลี่ยนนิสัย ยังคงแอบเล่นการพนันในวัง ทำเอาตำหนักของเปิ่นกงมัวหมอง เปิ่นกงจึงต้องใจแข็งไล่เขาออกไป”
“ที่แท้เื่ก็เป็เช่นนี้นี่เอง” มู่หรงฉือมองไปทางเสิ่นจือเหยียน ยกยิ้มเอ่ย “สามปีมานี้หรงเฟยได้พบเขาอีกหรือไม่?”
“ไม่ได้พบอีกเลย เปิ่นกงอยู่แต่ในตำหนักไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกเท่าไหร่ สวนดอกไม้ก็ยังยากที่จะออกไปสักครั้ง จะไปพบเขาได้อย่างไร?” ครั้นตอบคำถามแล้วหรงเฟยพลันรู้สึกเสียใจภายหลังทันที เตี้ยนเซี่ยถามคำถามเหล่านี้ออกมา แปลว่าจะต้องพบอะไรแล้ว นางจึงรีบกล่าวต่อ “เปิ่นกงคิดออกแล้ว หลายวันก่อนได้พบกันที่ทางเดินในวังครั้งหนึ่ง”
ตอนนี้เองที่เสี่ยวหยงจื่อถูกพาเข้ามา คุกเข่าคำนับเ้านาย สายตาสบเข้ากับหรงเฟย เขาก็หลบสายตาตามสัญชาตญาณ เหมือนรู้สึกผิด แต่หรงเฟยไม่แสดงสีหน้าใดเช่นเดิม
มู่หรงฉือกล่าว “เสี่ยวหยงจื่อ หรงเฟยอยู่ที่นี่ เ้ามีอะไรที่ถูกใส่ร้ายก็พูดออกมาให้ชัดเจน”
เสี่ยวหยงจื่อเดิมก้มหน้าอยู่ ครั้นคิดถึงว่าตนจะทำให้บิดามารดากับพี่ชายในครอบครัวต้องติดร่างแหไปด้วย จึงทำใจแข็งกัดฟันพูด “เตี้ยนเซี่ย หนูฉายยอมรับผิด แต่ว่าหนูฉายกับคุณชายฟ่านไม่ได้มีความแค้นต่อกัน จะสังหารเขาอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร? ถึงหนูฉายจะมีความกล้าล้นฟ้าก็ไม่อาจกล้าพอที่จะไปทำร้ายเขา เป็หรงเฟยที่สั่งให้หนูฉายทำร้ายคุณชายฟ่านพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของหรงเฟยเปลี่ยนเล็กน้อย แพขนตายาวสั่นไหว แต่สีหน้ายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “เสี่ยวหยงจื่อ เ้าพูดว่าร้ายเปิ่นกงได้อย่างไร? เหตุใดเปิ่นกงจะต้องสั่งให้เ้าไปสังหารคนด้วย? เมื่อสามปีก่อนเปิ่นกงไม่ได้ส่งเ้าไปที่กรมข้าหลวง ไล่เ้าที่ไร้ความซื่อสัตย์ออกไปก็ดีเพียงใดแล้ว เ้ากลับบังอาจใส่ร้ายเปิ่นกงอย่างนั้นหรือ? เปิ่นกงตาบอดแล้วจริงๆ ถึงได้เลี้ยงคนไม่รู้จักบุญคุณเอาไว้...”
ยิ่งพูดนางก็ยิ่งโกรธจนหน้าเขียว พูดด้วยความเ็ป ราวกับรู้สึกเสียใจภายหลังที่ครั้งนั้นตัดสินใจเช่นนั้น
“หรงเฟยไม่จำเป็ต้องมีโทสะ ดื่มชาให้ใจเย็นลงก่อนเถิด” มู่หรงฉือยิ้มอ่อน “หรงเฟยยังไม่รู้หรือ? ฟ่านเสี้ยวเหวินตายไปแล้วด้วยโรคหอบหืดกำเริบ”
“ฟ่านเสี้ยวเหวิน? ลูกชายคนโตของบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน?” หรงเฟยตกตะลึง “ชีวิตคนเราช่างยากจะคาดเดานัก เฮ้อ...”
“หรงเฟย หากท่านยอมรับผิด เปิ่นหวางจะนับเพียงความผิดของท่าน หากท่านไม่ยอมรับ เปิ่นหวางมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าท่านกับหรงกั๋วกงร่วมมือกันสังหารฟ่านเสี้ยวเหวิน ครั้งนี้ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนัก จวนหรงกั๋วกงจะมีจุดจบอย่างไร ท่านน่าจะรู้ดีกว่าใคร” น้ำเสียงของมู่หรงอวี้นิ่งเรียบ ทว่าคำพูดกลับหนักเป็พันชั่ง ให้คนรู้สึกหวาดกลัว
สีหน้าของหรงเฟยพลันซีดขาว แพขนตายาวบัดนี้สั่นระริก ชัดเจนว่ากำลังครุ่นคิดว่าพวกเขาตรวจสอบได้มากน้อยเพียงใดแล้ว
ตอนนี้เอง องครักษ์คนหนึ่งก็เข้ามา ตอนที่กำลังจะรายงาน มู่หรงอวี้กลับยกมือขึ้น ั์ตามีประกายเย็นวาบทิ่มแทงแล่นออกมา “หรงเฟย เปิ่นหวางจะให้โอกาสสุดท้ายกับท่าน”
ใบหน้างดงามที่ปรากฎความกล้าหาญของหรงเฟยทำหน้าเป็เชิงยอมรับ สีหน้าแสดงการตัดสินใจออกมา “ใช่ เป็เปิ่นกงที่สั่งให้เสี่ยวหยงจื่อสังหารฟ่านเสี้ยวเหวิน”
เื่นี้ถูกจับได้แล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปกป้องจวนหรงกั๋วกงให้ปลอดภัย
อวี้หวางที่เป็ผู้เคร่งครัดเื่ตัวบทกฎหมาย ลงมือโเี้ไร้เมตตาเป็ผู้ตรวจสอบเื่นี้ด้วยตนเอง หากนางไม่ยอมรับผิดก็จะให้โอกาสในการโจมตีตระกูลหรงที่หาได้ยากแก่เขา เกรงว่าตระกูลหรงจะต้องเผชิญกับภัยร้ายอันน่ากลัว
ส่วนนางเองก็อยู่ในวังนี้มานานพอแล้ว
สงสารเพียงบุตรสาวที่อายุยังน้อยของนาง องค์หญิงจิ้นหยาง
นางเพียงแค่เกลียดตัวเอง จะคิดคำนวณมากมายเพียงใดกลับไม่ได้นึกไปถึงองค์รัชทายาทกับอวี้หวาง นางประเมินสมองของพวกเขาต่ำไป
องครักษ์ที่มารายงานคนนั้นพูด “องค์รัชทายาท ท่านอ๋อง กระหม่อมเจอกล่องกำมะหยี่ในลิ้นชักเล็กที่เตียงของหรงเฟยพ่ะย่ะค่ะ
หรงเฟยเห็นกล่องกำมะหยี่นั้นดวงตาทั้งสองข้างที่ปิดอยู่ก็ลืมขึ้นอีกครั้ง น้ำในตาสั่นไหวพร้อมแสดงสีหน้าเ็ป
ชีวิตของนางจบสิ้นแล้ว...
เสิ่นจือเหยียนรับมา เปิดออกมาก็ยื่นหน้าไปดม ก่อนจะพูดอย่างยินดี “เตี้ยนเซี่ย เป็เกสรดอกอวี๋เหม่ยเหรินพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉือประกาศเสียงดัง “ทหาร จับตัวหรงเฟยไปคุมขัง”
ส่วนเวยเหวินชางที่เป็ผู้ติดตามของกรมพิธีการนั้นได้ถูกจับเอาไว้ก่อนแล้ว
นางคิดไม่ถึงว่ามู่หรงอวี้พูดแค่ไม่กี่คำก็สามารถทำให้หรงเฟยยอมรับผิด มีอำนาจล้นเหลืออย่างที่คิดจริงๆ
...
ฟ่านเสี้ยวเหวินตายไปแล้ว จวนบัณฑิตสกุลฟ่านตกอยู่ในความโศกเศร้าและจัดงานศพขึ้น
หรงเฟยที่สั่งให้ขันทีใช้เกสรดอกอวี๋เหม่ยเหรินทำให้อาการหอบหืดของฟ่านเสี้ยวเหวินกำเริบ ทำให้เขาขาดใจตาย ตอนนี้ถูกคุมขังอยู่ในคุกภายในวัง แล้วส่งให้ฮ่องเต้เป็ผู้ตัดสิน
จวนหรงกั๋วกงเมื่อได้รู้ข่าวนี้ก็วุ่นวายกันไปหมด
สกุลหรงเป็หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเป่ยเยี่ยน ตำแหน่งเกียรติยศในวังหลังของหรงเฟยก็เป็ข้อต่อรองที่ทำให้สกุลหรงมีตำแหน่งอยู่ในราชสำนัก หากนางถูกตัดสินปะา เช่นนั้นชื่อเสียงของสกุลหรงก็จะถูกโจมตีไปด้วย ตำแหน่งในราชสำนักก็ย่อมไม่เหมือนกับแต่ก่อน ดังนั้น จวนหรงกั๋วกงจึงร้อนใจยิ่งนัก เขาไม่มีทางยอมมองน้องสาวแท้ๆ อย่างหรงเฟยถูกปะา ไม่มีทางที่จะไม่ทำอะไรเลย
คืนวันนั้น เขาเดินทางไปขอร้องอวี้หวางถึงจวน
ทว่า ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูขวางทางไม่ให้เขาเข้าไป บอกว่าอวี้หวางไม่อยู่ที่จวน
หรงกั๋วกงถามว่าอวี้หวางอยู่ในวังหรือไม่ คนเฝ้าประตูบอกเพียงว่าไม่รู้ เมื่อเป็เช่นนี้หรงกั๋วกงจึงทำได้เพียงกลับไป
ภายในเวลาหนึ่งคืน เื่ที่หรงเฟยลอบสังหารฟ่านเสี้ยวเหวินในการสอบคัดเลือกราชบุตรเขยได้ถูกพูดต่อกันไปจนทั่วท่ามกลางตระกูลชั้นสูงของแคว้นเป่ยเยี่ยน คนจำนวนไม่น้อยพูดคุยเื่นี้กันอย่างสนุกสนาน ที่คอยทับถมตอนล้มก็มี พูดจาถากถางไม่พอใจก็มี ที่ถอนหายใจออกมาก็มี
เช้าวันต่อมา เื่นี้ก็ได้แผ่กระจายเป็วงกว้างราวกับโรคระบาด ประชาชนทุกคนในเมืองต่างพูดคุยกันถึงเื่นี้
ทว่าการสอบก็ยังคงดำเนินการต่อไปตามเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้