หนานกงิเป็ลูกผู้ลากมากดีเหมือนเซียวเจี๋ยในตอนนั้น ตอนที่เย่เฟิงอยู่ในตระกูลหนานกงยังเคยถูกคนผู้นี้ข่มเหงรังแกนับครั้งไม่ถ้วน
“เ้าทรยศตระกูล แล้วกลับมาทำไมอีก? หรือไม่กลัวตระกูลหนานกงจับตัวเ้า?” หนานกงิกล่าวเสียงเย็นขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย้ยหยัน แม้เขารู้ว่าเย่เฟิงในตอนนี้แตกต่างไปจากเดิม แต่ที่นี่คือตระกูลหนานกง เขาย่อมไม่มีทางหวั่นเกรงเย่เฟิง
ขณะเดียวกันหนานกงิเหลือบมองไปที่จ้าวซินอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ เย่เฟิง ก่อนจะตะลึงอย่างอดไม่ได้และมิอาจละสายตาไปไหนได้ ช่างสวยงดงามเหลือเกิน หญิงผู้นี้สวยประหนึ่งเทพธิดาก็ไม่ปาน กระทั่งสวยยิ่งกว่าหนานกงหลิงซวงผู้เป็ลูกผู้น้องของเขา ทั้งสองคนแตกต่างราวฟ้ากับเหว
เมื่อจ้าวซินอี๋ััได้ถึงสายตาของหนานกงิก็เผยสีหน้ารังเกียจ
“ข้าน่ะหรือทรยศตระกูล?”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เหยียดยิ้มเ็า “ตระกูลหนานกงเ้าต่างหากที่้าฆ่าข้า หรือหลงคิดว่าข้ายังมีความรู้สึกต่อตระกูลพวกเ้าอีก เ้าไม่รู้หรือคำว่าละอายใจมันสะกดว่าอย่างไร?”
“ตอนนั้นเ้าเป็แค่สวะ แล้วมีสิทธิ์ทวงความยุติธรรมด้วยหรือ?”
หนานกงิแสยะยิ้ม “ตระกูลหนานกงไม่ต้อนรับคนทรยศ หากเ้ายืนกรานที่จะไม่ออกไป ระวังผู้ฝึกยุทธ์ของตระกูลหนานกงจะมาจัดการแล้วจับเ้าเสีย!”
“ไปให้พ้น!” เย่เฟิงกล่าวด้วยโทสะเมื่อเห็นว่าหนานกงิไม่ยอมฟังดี ๆ พร้อมพลังปราณปะทุออกจากร่าง ก่อนจะทำให้หนานกงิรู้สึกกดดันในพริบตา จนที่หน้าผากเหงื่อไหลออกมาและอดถอยหลังไปไม่ได้
“หึ!”
จากนั้นเย่เฟิงเดินเข้าไปข้างในตระกูลหนานกงโดยไม่สนใจหนานกงิ นี่ทำให้หนานกงิเผยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา เศษสวะผู้ที่เขาเคยข่มเหงรังแก บัดนี้ข้ามหน้าข้ามตาเขาอย่างไม่แยแส กระทั่งพลังปราณของอีกฝ่ายก็ทนรับไม่ไหว ทำให้หนานกงิรู้สึกอับอายเป็ที่สุด
ดวงตาของหนานกงิเผยประกายแห่งความชั่วร้าย จากนั้นมีแสงจ้าที่แขนเสื้อของเขาครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งไปหาเย่เฟิงด้วยความรวดเร็ว
“สวะ เ้าต้องตาย!” หนานนกงิแผดเสียงะโ จากนั้นใช้กริชที่อยู่ในมือแทงไปที่ด้านหลังตำแหน่งหัวใจของเย่เฟิง เขาอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 จึงคิดว่าสามารถใช้วิธีลอบโจมตีกำจัดเย่เฟิงได้
ทว่าเย่เฟิงมีประสาทััเฉียบไว นาทีที่หนานกงิเผยจิตสังหาร เขาก็รับรู้แล้ว จากนั้นเย่เฟิงหันหลังไปอย่างฉับพลัน ก่อนจะโบกสะบัดมือโดยไม่สนใจกริชนั่น ตามมาด้วยเสียงดังเพียะ ฝ่ามือของเย่เฟิงตบไปที่หน้าของหนานกงิเต็มแรงจนอีกฝ่ายกระเด็นไปกองกับพื้น
“ครั้งนี้ข้าจะไม่ฆ่าเ้า หวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไป!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองหนานกงิ ด้วยนิสัยของเย่เฟิง การไว้ชีวิตหนานกงิ ถือว่าเป็บุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว
หนานกงิที่นอนอยู่บนพื้นเผยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา ทั้งยังมีเืไหลออกจากมุมปาก แต่เขากลับไม่พูดอะไรออกไป เพราะหากเขาเอ่ยปาก เช่นนั้นเย่เฟิงต้องฆ่าเขาเป็แน่
“พวกเราไปกันเถอะ” เย่เฟิงกล่าวกับจ้าวซินอี๋
“อืม!” จ้าวซินอี๋พยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนเดินออกไป ระหว่างนั้นจ้าวซินอี๋เอ่ยถามเย่เฟิงว่า “เย่เฟิง ที่นี่ก็คือที่ที่เ้าอาศัยอยู่มานานสิบปีใช่ไหม?”
เมื่อกล่าวจบ จ้าวซินอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูจากท่าทีของหนานกงิที่มีต่อเย่เฟิง นางก็คาดการณ์ได้ว่าเย่เฟิงใช้ชีวิตที่นี่อย่างไร ดังนั้นนางจึงเกลียดชังตระกูลหนานกง
“ใช่” เย่เฟิงกล่าว เขาอาศัยอยู่ที่ตระกูลหนานกงั้แ่ห้าขวบ คุ้นเคยกับบรรยากาศที่นี่ ดังนั้นเย่เฟิงจึงรู้สึกปกติต่อท่าทีของหนานกงิ
หลังจากพวกเย่เฟิงออกไป หนานกงิก็ลุกขึ้นจากพื้นและมุ่งหน้าไปยังลานประลองตระกูลหนานกงด้วยความเร็วสุดขีด แต่เนื่องจากเขาใช้ทางลัดจึงถึงลานประลองก่อนพวกเย่เฟิง
“ิเอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป?” ปู่ใหญ่หนานกงเห็นหนานกงิวิ่งพรวดพราดเข้ามาในลานประลองจึงเอ่ยถามเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นครึ่งใบหน้าของหนานกงิบวมเปล่ง สีหน้าของเขาก็ฉายอย่างเย็นเยียบ
“ท่านพ่อแย่แล้ว!” หนานกงิกล่าวด้วยท่าทีร้อนรน
“เกิดอะไรขึ้น รีบพูดมา!” ปู่ใหญ่หนานกงเผยสีหน้าจริงจัง คล้ายรู้สึกไม่ชอบมาพากล หนานกงิคือบุตรชายของเขา มีฐานะสูงในตระกูลหนานกง แล้วจะถูกทำร้ายได้อย่างไร
“เย่เฟิง เขากลับมาแล้ว!” หนานกงิกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
“อะไรนะ?”
ผู้คนรอบข้างได้ยินเช่นนั้นต่างก็อุทานด้วยความใ แม้แต่คนตระกูลหนานกงที่อยู่บนอัฒจันทร์หลักต่างก็นิ่งอึ้ง
“เ้าแน่ใจหรือ?” หนานกงเฉินลุกพรวดจากที่นั่ง ก่อนจะเอ่ยถามหนานกงิเช่นนั้น
“จริงแท้แน่นอน เขายังทำร้ายข้าอยู่เลย” หนานกงิตอบกลับ
“กล้าบุกรุกตระกูลหนานกง เด็กคนนี้นับวันยิ่งเหิมเกริม มิสู้พวกเราไปจับเด็กคนนี้มาซะ!” ปู่ใหญ่หนานกงกล่าวด้วยโทสะพร้อมกับทุบโต๊ะข้าง ๆ จนเป็ผุยผง แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา ช่างกล้านักที่ทำร้ายบุตรเขา
ปู่ใหญ่หนานกงมีอายุ 50 กว่าปี ตบะอยู่ขั้นรวมชี่สูงสุด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ทั่วไปจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แม้แต่ผู้นำหนานกงเฉินก็ยังอ่อนกว่าเขาสามส่วน มีหรือเขาจะหวั่นเกรงเ้าเด็กนั่น? ในสายตาของเขา แม้เย่เฟิงจะชิงอันดับที่หนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งมาได้ แต่ก็ไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของเขา
“ท่านลุงอย่าวู่วาม เย่เฟิงในตอนนี้ต่างจากเดิมมาก ท่านไม่ใช่คู่มือของเขาแน่ หากหุนหันพลันแล่น ท่านอาจมีโอกาสเสียเปรียบเอาได้” หนานกงหลิงซวงเห็นปู่ใหญ่หนานกงวู่วามจึงรีบเตือนในทันที ก่อนหน้านี้นางฝึกอยู่ที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน่หนึ่ง จึงรู้ดีว่าพลังของเย่เฟิงเป็อย่างไร
แม้แต่อัจฉริยะอย่างตู๋กูหลงและเฉินอ้าวเทียนก็ไม่ใช่คู่มือของเย่เฟิง ยิ่งมีข่าวลือว่า ในงานชุมนุมหวงปั่งเย่เฟิงยังเอาชนะได้แม้กระทั่งจ้าวซิง โอวหยางเจิน ฉวนเถี่ยจู้ จ่านเฉิน พลเหล็กกล้า และคนรุ่นเยาว์อีกจำนวนหนึ่ง นี่ทำให้เขาชิงอันดับที่หนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งไป กลายเป็อัจฉริยะผู้เฉิดฉายที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีของอาณาจักรจ้าว
ยิ่งกว่านั้นเย่เฟิงสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ถึง 6 ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเื่เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนี้เย่เฟิงจะแข็งแกร่งมากเพียงใดแล้ว หนานกงหลิงซวงก็มิอาจคาดเดาได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ท่านลุงของนางจะใช่คู่มือของเย่เฟิงได้อย่างไร?
ในตระกูลหนานกง นางหนานกงหลิงซวงรู้จักเย่เฟิงดีที่สุด รู้ว่าเย่เฟิงไม่ใช่สวะคนนั้นอีกแล้ว แต่กลายเป็อัจฉริยะชั้นยอดแห่งอาณาจักรจ้าว ดังนั้นนางได้ยินข่าวการมาของเย่เฟิงก็รู้สึกสับสนอย่างมาก และเริ่มเป็ห่วงตระกูลหนานกง
“เกิดอะไรขึ้นกับเ้าหลิงซวง? เหตุใดจึงชมผู้อื่น แต่ท่านกลับดูถูกตนเอง? เย่เฟิงนั่นจะแข็งแกร่งสักเท่าไรกันเชียว ตอนนี้อย่างมากก็อยู่ขั้นยุทธ์แท้ ลุงเ้าจัดการได้ไม่มีปัญหาแน่นอน” ปู่ใหญ่หนานกงได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าดูแคลน ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น
“ท่านลุงใจเย็น พวกเรารอเ้าเย่เฟิงนั่นมาถึงก่อนแล้วค่อยจัดการไม่ดีกว่าหรือ?” เซียวเลี่ยงกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความผันผวนใด ๆ เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 ย่อมไม่เห็นเย่เฟิงอยู่ในสายตา
“ใช่แล้วพี่ใหญ่ เย่เฟิงนั่นฆ่าลูกข้า ข้าย่อม้าฆ่าเขา แต่ไม่คิดว่าเขาจะเสนอตัวมาเอง ไว้เย่เฟิงมาถึงเมื่อไร พวกเราค่อยทวงคืนความยุติธรรมก็ยังไม่สาย!” หนานกงเจียวกล่าวด้วยดวงตาเผยประกายจิตสังหาร การตายของเซียวเจี๋ยบุตรชายของนางคือความเ็ปที่นางมิอาจลืมเลือน ดังนั้นนางจึง้าแก้แค้นแทนเซียวเจี๋ย และดูเหมือนว่าตอนนี้โอกาสจะมาถึงแล้ว
“ดี ข้าฟังพวกเ้า!” ปู่ใหญ่หนานกงพยักหน้า เมื่อมีเซียวจิ้นพ่อลูกอยู่ด้วย ต่อให้เย่เฟิงมีปีกก็ยากที่จะบินหนี
ขณะนั้นหนานกงหลิงยวี่และคนรุ่นเยาว์ของตระกูลหนานกงต่างก็เปิดประตูิญญาของตนเองแล้ว ซึ่งหนานกงหลิงยวี่ใช้โอกาสนี้ปลุกิญญาาขั้นเขียว
แต่ท่ามกลางความยินดีกลับได้ยินข่าวการมาของเย่เฟิง
“เย่เฟิง เขากลับมาแล้วจริง ๆ!” ตอนนั้นเองมีคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับมองไปที่ทางเข้าลานประลอง ทุกคนจึงพากันหันไปมองทางนั้น ก่อนจะเห็นสองเงาร่างปรากฏตัวตรงนั้น นั่นก็คือเย่เฟิงและจ้าวซินอี๋
“เย่เฟิงจริง ๆ ด้วย สวะที่ตระกูลหนานกงเคยเลี้ยงดู เขากลับมาแล้ว!” นาทีนี้ผู้คนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา
“ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ คือใคร? นางช่างงดงามราวกับเทพธิดา ข้ายังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยเท่านี้มาก่อนเลย แม้แต่คุณหนูหลิงซวงก็ดูด้อยลงถนัดตา!”
ขณะเดียวกันผู้คนสังเกตเห็นจ้าวซินอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ เย่เฟิง และอดไม่ได้ที่จะตาค้างมองอยู่เช่นนั้น
บนอัฒจันทร์ หนานกงเฉินและคนตระกูลหนานกงต่างตาแข็งทื่อ เพราะถูกความสวยของจ้าวซินอี๋ดึงดูด แม้แต่หนานกงหลิงซวงที่เป็ผู้หญิงเหมือนกันก็อดประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นความสวยของจ้าวซินอี๋ นางไม่รู้ว่ามีผู้หญิงที่สวยงดงามเช่นนี้อยู่ในโลกใบนี้ด้วย
นี่เป็ครั้งแรกที่หนานกงหลิงซวงรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนอื่น เทียบกับจ้าวซินอี๋ ความสวยของนางกลายเป็เื่น่าขันไปทันที
ส่วนเย่เฟิงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่เหมือนเด็กหนุ่มที่เคยอยู่ในตระกูลหนานกง แต่เปลี่ยนไปสง่าผ่าเผย ทั้งยังมีรัศมีอันทรงพลังแผ่ออกจากร่างเขา ทำให้หลาย ๆ คนเกิดปฏิกิริยาอยากจะหมอบกราบเพื่อทำความเคารพ
