“บุตรภรรยาเอกจวนเสนาบดีเ้ากรมกลาโหมเป็ชายหนุ่มเสเพลขึ้นชื่อคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่มักมากในกามตัณหา ยังนิยมชมชอบชายงามอีกด้วย เคยแต่งภรรยาเอกมาแล้วถึงสองครั้ง ทว่ากลับไม่มีใครอายุยืนสักคน ชาวบ้านต่างลือกันว่าเขาเป็คนโหดร้ายทารุณกับภรรยา ภรรยาคนก่อนทนความอัปยศไม่ไหวจึงฆ่าตัวตาย ทั้งเมืองหลวงไม่มีบ้านไหนกล้ายกบุตรสาวให้ กล่าวกันว่าคนผู้นี้กับโหยวเยวี่ยเฉิงรู้จักกันมาั้แ่เด็ก แม้ทั้งสองจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ส่วนตัวยังคงมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน”
เฟิงเจวี๋ยหร่านสะบัดแขนเสื้อนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับโม่เสวี่ยถง แล้วเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าเย็นเยียบ ความรังเกียจเดียดฉันท์แผ่ซ่านจากก้นบึ้งดวงตา
รังสีเ็าที่ฉาบฉายในดวงตาทรงเสน่ห์ มุมปากกระดกเยาะหยันให้ความรู้สึกถึงอันตราย ดูน่ากลัวภายใต้แสงตะเกียงไหวระริก
โม่เสวี่ยถงไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของเฟิงเจวี๋ยหร่าน นางกำลังจดจ่อใช้ความคิดอยู่กับข้อมูลที่ได้มาจากเขา
ที่แท้สิ่งที่โม่เสวี่ยิ่้าคือสิ่งนี้เอง มิน่าเล่าจึงมาขอความช่วยเหลือต่อหน้าโหยวเยวี่ยเฉิง ปากก็บอกว่าช่วยหาครอบครัวที่ดีให้ แต่ความจริง้าผลักนางสู่หายนะ หึ! บุรุษพรรค์นั้นใครจะอยากแต่งด้วย แสร้งทำพูดดี แต่เป็การบอกใบ้โหยวเยวี่ยเฉิงให้แนะนำชายเสเพลผู้นั้นให้มาสู่ขอ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบิดาจะยอมตกลงหรือไม่ แม้บิดาจะไม่ยินยอม โม่เสวี่ยิ่ก็จะไม่ยอมเลิกราอยู่ดี
และเมื่อถูกคนเสเพลผู้นั้นหมายตา จากนั้นก็ให้คนค่อยๆ ปล่อยข่าวลือออกไปว่าตนเองเป็คนร้ายที่ทำให้บุตรในครรภ์ของอนุภรรยาต้องตาย หากไม่แต่งให้คนผู้นั้นแล้วจะมีผู้ใดมาสู่ขอ
ถึงเวลานั้นบิดาไม่รับหมั้นหมายแล้วจะทำอย่างไรได้ โม่เสวี่ยิ่ยังถนัดในการใช้มีดแทงข้างหลังคนเหมือนชาติก่อนไม่มีผิด อำมหิตร้ายกาจนัก
ชาติก่อนโม่เสวี่ยิ่ผลักนางเข้าจวนเจิ้นกั๋วโหวอย่างออกหน้าออกตา แม้ชาตินี้โม่เสวี่ยฉงจะรับเคราะห์แทนไปแล้ว นางก็ยังไม่เลิกล้มความคิดที่จะลากตนเองไปเกลือกกลั้วกับโคลนตมให้ได้ ที่แสดงความ ‘ห่วงหาอาทร’ ต่อตนเองแบบนี้ก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ ‘พี่สาวแสนดี’ ในสายตาคนนอกอย่างไม่ต้องคาดเดา
ความเคียดแค้นฝังลึกแม้แต่โลหิตก็ระอุกรุ่น โม่เสวี่ยิ่... ชาตินี้ข้าจะไม่ให้เ้าได้สมหวังหรอก เืต้องชดใช้ด้วยเื ข้าจะให้เ้าได้ลิ้มรสผลของการหยิบเศษอิฐมาขว้างใส่เท้าของข้าดูบ้าง
“จะให้ข้าช่วยกำจัดพี่สาวแสนดีผู้นั้นของเ้าหรือไม่เล่า เมื่อนางชอบอยู่กับโหยวเยวี่ยเฉิงนักก็ส่งพวกเขาลงหลุมเดียวกันไปเลยเป็อย่างไร ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลิงจอมโอหังผู้นั้นก็อยากแต่งเข้าจวนิกั๋วกง บัดนี้แม้แต่ฮองเฮาก็มีเปรยๆ กับเหล่าไท่จวินจวนิกั๋วกงอยู่ หากพวกเขาพบว่าพี่สาวคนโตของเ้ากับโหยวเยวี่ยเฉิงข้าวสารกลายเป็ข้าวสุกไปแล้ว...” เฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวเสียงเนือยดั่งคนเกียจคร้าน แต่แสงเทียนสีเหลืองนวลกลับช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ
เมื่อหันศีรษะมองไปยังรูปภาพที่เพิ่งแขวนบนผนัง ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มเย็นะเื ดวงตาทอประกายวาววับ หากเป็คนที่คุ้นเคยกันเป็อย่างดี เมื่อเห็นเขาแสดงท่าทางเช่นนี้ย่อมทราบได้ว่าท่านอ๋องผู้นี้กำลังโกรธจัด
เมื่อนึกถึงชายหญิงที่กล้าบังอาจวางแผนร้ายกับโม่เสวี่ยถงที่ห้องข้างๆ โทสะในใจของเฟิงเจวี๋ยหร่านก็พลุ่งพล่าน แม้คำพูดจะฟังดูเรียบเรื่อยเหมือนไม่มีอะไร แต่แท้จริงแล้วเข่นเขี้ยวปานจะกินเืกินเนื้อ
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง เื่พี่สาวของข้าผู้นั้นยามนี้ยังไม่รีบ เมื่อนางคิดร้ายต่อข้าก็ย่อมวิตกว่าตนเองจะถูกคนเล่นงานด้วยไม่ใช่หรือ” โม่เสวี่ยถงโคลงศีรษะ กล่าวอย่างหนักแน่น
จัดการตอนนี้ยังเร็วไป นางยังต้องให้โม่เสวี่ยิ่ค่อยๆ เห็นว่าตัวเองไม่เหลืออะไรสักอย่างและความตายมิใช่จุดสิ้นสุด ความแค้นของชาติที่แล้วนางย่อมต้องชำระด้วยตนเอง
เฟิงเจวี๋ยหร่านเลิกคิ้ว “ไม่ต้องจริงๆ หรือ”
“ไม่ต้องเพคะ เพียงแต่อยากให้ท่านอ๋องช่วยเหลือบางอย่างเท่านั้น” โม่เสวี่ยถงซ่อนเร้นความขื่นขมและเคียดแค้นของตนไว้ในส่วนลึก ดวงตาพราวระยับสว่างวูบ เมื่อโม่เสวี่ยิ่คิดใช้วิธีนี้จัดการกับนาง ทั้งยังติดต่อผ่านทางโหยวเยวี่ยเฉิงเพื่อให้เขาได้เห็น ‘ความดีงาม’ ที่ยิ่งใหญ่ของตนเองและยอมช่วยเหลือในที่สุด เมื่อนางแสดงบทบาทพี่สาวแสนดีได้ หากตนเองไม่รับบทน้องสาวผู้แสนดีด้วยก็จะเป็การผิดต่อนางยิ่งนัก
พี่น้องรักกันปานจะกลืน หากไม่ทำอะไรให้กันเลยก็ดูจะขาดอะไรไปกระมัง
“เื่อะไร บอกมาเลย” เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากตนเองก่อน เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยิ้มร้ายหันกลับมา ถึงกับล้างหูรอฟังเลยทีเดียว ดูซิว่าสาวน้อยผู้นี้จะแก้แค้นอย่างไร นางช่างมีนิสัยเหมือนกับตนเองนัก มีหนี้แค้นก็ต้องชำระ มีเื่ผูกพยาบาทก็ต้องสะสาง นี่นับเป็เื่ปรกติวิสัยของใต้หล้ามิใช่หรือ
เมื่อก่อนโหยวเยวี่ยเฉิงก็ดูเป็คนเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะถูกคำพูดสองสามประโยคของสตรีจูงจมูกได้ เขาอยากเห็นว่าโหยวเยวี่ยเฉิงผู้เป็ทายาทสืบทอดของจวนิกั๋วกงที่มีอนาคตสดใสที่สุดจะจัดการกับเื่แบบนี้อย่างไร
การเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานระหว่างจวนติ้งกั๋วกงกับิกั๋วกงเป็เื่จำเป็ แม้ว่าโหยวเยวี่ยเฉิงไม่ยินยอมแล้วอย่างไร จวนติ้งกั๋วกงซึ่งเป็ตระกูลฝ่ายมารดาของฮองเฮาย่อมพยายามดึงิกั๋วกงมาเข้าพวกสุดชีวิต แต่ดูจากรูปการณ์จวนติ้งกั๋วกงคงยังไม่กระตือรือร้นมากพอกระมัง มิเช่นนั้นถึงตอนนี้ไฉนจึงยังไม่มีข่าวมงคลจากทั้งสองตระกูลเล็ดลอดออกมาเลยเล่า
ดูท่า... กลับไปครานี้ตนเองคงต้องช่วยกระทุ้งจวนติ้งกั๋วกงเสียหน่อย
“ท่านอ๋องโปรดช่วยตามหาคุณชายจวนเสนาบดีผู้นั้นได้หรือไม่ ถ้าเกิดว่าคุณชายผู้นี้ได้พบกับคุณหนูที่หน้าตาสะสวย จิตใจดีงาม ทั้งยังมากด้วยความสามารถแล้วล่ะก็...” ดวงตากระจ่างใสดุจน้ำพุของโม่เสวี่ยถงทอประกายวิบวับแฝงความเ้าเล่ห์
เฟิงเจวี๋ยหร่านกลอกตารอบหนึ่งก็เข้าใจความหมายของโม่เสวี่ยถงกระจ่างแจ้ง จึงปรบมือขึ้นหนึ่งครั้ง เฟิงเยวี่ยก็ผลักประตูเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
“ไปตามตัวคุณชายหลี่ผู้เลื่องชื่อคนนั้นมา อีกประเดี๋ยวไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ต้องให้เขามีโอกาสพบเจอกับคุณหนูใหญ่สกุลโม่ให้ได้”
ชายหนุ่มเ้าชู้เสเพลได้พบกับหญิงงาม ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น เป็เื่สนุกที่ชวนให้เฝ้าติดตามยิ่งนัก
“พ่ะย่ะค่ะ” แม้เฟิงเยวี่ยจะไม่กระจ่างว่าเ้านายของตนนึกถึงคุณชายหลี่ที่ชื่อกระฉ่อนเื่ความเ้าชู้เสเพลผู้นั้นได้อย่างไร แต่เมื่อัักับรังสีความงดงามอันแฝงด้วยเล่ห์ร้ายที่แผ่กำจายก็ถอยออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง เขารู้นิสัยเ้านายของตนเองดี กลิ่นอายแบบนั้นแสดงว่ากำลังโกรธจัด อยากหาใครสักคนมาลงมีดระบายอารมณ์
คุณหนูใหญ่สกุลโม่กับคุณชายหลี่ก็คงเป็นกน้อยสองตัวที่โผล่หัวออกมาพอดีกระมัง
ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนไปยั่วโทสะเ้านายตนเข้าหรือไม่ ดูท่าแม้แต่เ้าตัวก็คงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจั้แ่เมื่อไร แม้เขาจะอยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถาม ใครไปถามยามนี้ก็โง่แล้ว ท่านอ๋องกำลังเดือดดาลเยี่ยงนั้น จะไม่ให้ทรงระบายอารมณ์ได้อย่างไรกัน
อีกด้านหนึ่ง โม่เสวี่ยิ่ก็เผยสถานการณ์อันยากลำบากของตนเองในสกุลโม่ให้โหยวเยวี่ยเฉิงรับรู้ ว่าบิดาลำเอียงเข้าข้างโม่เสวี่ยถง บุตรของอี๋เหนียงที่แท้งไปก็ไม่โทษนาง กลับปล่อยข่าวลือออกไปว่าอี๋เหนียงทำร้ายบุตรในครรภ์ของตนเอง นางช่วยพูดให้อี๋เหนียงแค่สองสามประโยคก็ถูกกักบริเวณ ลงโทษให้คัดบัญญัติสตรี ส่วนโม่อวี่เฟิงก็ถูกสั่งให้ย้ายออกไปจากเรือนเพราะไปเยี่ยมฟางอี๋เหนียง
ทุกเื่ราวล้วนตอกย้ำความร้ายกาจของโม่เสวี่ยถง นางใช้น้ำเสียงอ่อนหวานและร้องไห้กล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ต่อให้คนที่มีหัวใจดั่งศิลาก็ยังอดใจอ่อนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นโหยวเยวี่ยเฉิงก็รู้สึกดีกับโม่เสวี่ยิ่อยู่แล้ว ย่อมปักใจเชื่อสิ่งที่นางกล่าวมาทั้งหมด
ยิ่งรู้สึกว่าสตรีที่ชั่วร้ายแบบนี้ไม่ควรจะมีจุดจบที่ดี คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมองคนผิดไป หน้าตางดงามดูสุภาพเรียบร้อยเยี่ยงนั้นไม่น่าเป็สตรีที่มีใจคออำมหิตเพียงนี้ จึงตัดสินใจเป็แม่นมั่นว่าจะยุให้หลี่โย่วโม่แต่งคุณหนูบุตรภรรยาเอกผู้นี้เป็ภรรยา
หลี่โย่วโม่เป็สหายของเขาั้แ่เด็กและเติบโตมาด้วยกันย่อมสนิมกันไม่น้อย แต่โหยวเยวี่ยเฉิงไม่ชอบพฤติกรรมของสหายผู้นี้ ดังนั้นการไปมาหาสู่กันจึงลดน้อยลงไปเรื่อยๆ งานแต่งงานครั้งแรกของหลี่โย่วโม่ก็เป็โหยวเยวี่ยเฉิงที่แนะนำ แต่ต่อมาเมื่อความคิดของทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน ความสัมพันธ์ก็ยิ่งจืดจาง
แต่นี่ไม่เป็อุปสรรคต่อการที่โหยวเยวี่ยเฉิงจะแนะนำคุณหนูสามสกุลโม่ให้อีกฝ่าย แม้จะไม่ค่อยได้ติดต่อกัน แต่ความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ยังคงอยู่ ตนเองพูดอะไรอีกฝ่ายย่อมคล้อยตาม นอกจากนี้แม้ว่าคุณหนูสามจะมีจิตใจโเี้อำมหิต แต่ก็กล่าวได้ว่าเป็หญิงงามคนหนึ่ง เขาไม่วิตกว่าจวนหลี่จะวุ่นวายเพราะโม่เสวี่ยถง เพราะหลี่โย่วโม่ไม่เคยปรานีต่อสตรีที่ไม่อยู่ในโอวาท ไม่แน่ว่าแค่ไม่กี่วันก็คงถูกบีบคั้นจนตาย
คุณหนูสามสกุลโม่แต่งเข้าจวนหลี่ก็เหมือนลูกนกในกำมือ ไม่มีทางออกลวดลายอันใดได้อีก
สตรีที่ชั่วร้ายแบบนั้นควรจะมีคนควบคุม หลี่โย่วโม่เป็ตัวเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสกุลหลี่และสกุลโม่ก็มีศักดิ์สมกัน แม้ว่าหลี่โย่วโม่จะเป็คนไม่ได้ความ แต่ก็เป็บุตรภรรยาเอกของสกุลหลี่ เหมาะสมกับธิดาภรรยาเอกสกุลโม่ทุกประการ โม่ฮว่าเหวินจะต้องตอบตกลงแน่
“ขอบคุณซื่อจื่อที่ออกหน้าช่วยดับไฟที่ลามคิ้วของจวนโม่ในขณะนี้ ข้าขอคารวะด้วยใจจริง ยามนี้เวลาไม่เช้าแล้ว คงต้องขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวต้องแอบไปเยี่ยมมารดาสักหน่อย ปลายฤดูเหมันต์เยี่ยงนี้ไม่รู้ว่าจะมีใครส่งผ้าห่มไปให้นางหรือไม่ ทุกคนต่างฉลองเทศกาลกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่คืนส่งท้ายของสกุลโม่ปีนี้กลับเงียบเหงายิ่ง...”
โม่เสวี่ยิ่ย่อกายคารวะอีกครั้ง ยิ้มกล่าวด้วยสีหน้าตรอมตรม วันนี้นางตั้งใจแต่งตัวและแต่งหน้ามาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ดูสอดรับกับสีหน้าระทมทุกข์ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ชวนให้คนรู้สึกสงสาร แม้แต่คนที่มีจิตใจเ็าแข็งกระด้างเช่นโหยวเยวี่ยเฉิงก็ยังรู้สึกดี เมื่อเห็นสตรีที่อ่อนโยนจิตใจดีงามที่แม้นได้รับความทุกข์แสนสาหัสก็ยังคงวางตัวสุขุม
“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ สิ่งใดที่พอช่วยได้ข้าย่อมยินดีช่วยเหลือ มิต้องเก็บมาใส่ใจ น้องสาวที่มีนิสัยร้ายกาจเพียงนั้น เป็ใครก็คงไม่อาจยอมรับ แต่คุณหนูใหญ่กลับเอาใจใส่ดูแลนางถึงเพียงนี้ ช่างน่าเลื่อมใสยิ่ง” โหยวเยวี่ยเฉิงกล่าวชื่นชมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เมื่อเห็นคนงามน้ำตานองหน้าภายใต้แสงเทียนเช่นนี้ แม้ในตอนแรกยังลังเลใจอยู่ แต่บัดนี้ตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรงานมงคลนี้จำเป็ต้องเกิดขึ้น!
…
นอกหน้าต่างเวลานี้
พลุไฟอลังการทะยานสู่ท้องฟ้า แสงสีตระการตาพราวพร่างอยู่กลางเวหา ดลแสงสว่างเจิดจ้าท่ามกลางความมืดมิด ลูกไฟเล็กๆ ที่ลอยละลิ่วดูคล้ายหยาดพิรุณสีทองโปรยปรายลงมา แต่งแต้มราตรีมืดมิดให้งามวิจิตรประหนึ่งแดนเซียน
โม่เสวี่ยถงถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่ออก เอนตัวพิงกรอบหน้าต่าง แสงสีทองจากภายนอกฉาบฉายบนใบหน้าขาวผ่อง งดงามสลักเสลาปานหยกแกะสลัก ยามนี้นางดูสงบนิ่งไม่มีความเ็าห่างเหิน และไร้ซึ่งความอ่อนโยนอันเสแสร้ง มีเพียงรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจระบายจางๆ อยู่บนใบหน้าพริ้มเพรา สายตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านเลื่อนจากท้องฟ้านอกหน้าต่างมาอยู่ที่ดวงหน้างามพิลาสของนางโดยไม่รู้ตัว
นี่เองกระมังที่เป็ตัวตนที่แท้จริงของนาง เห็นแล้วชวนให้หัวใจปั่นป่วนกว่ายามปรกติที่มักแสร้งวางตัวเรียบร้อยอ่อนหวานเปี่ยมไปด้วยมารยาท
ยามนี้โม่เสวี่ยถงรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง มองหมู่ดาราบนท้องฟ้า แล้วให้คิดถึงครั้งที่บิดาและมารดาพานางมาชมพลุไฟด้วยกัน ่เวลานั้นนางมีความสุขที่สุด เห็นเพียงความงดงามของพลุไฟที่พราวพร่างอยู่เหนือม่านฟ้า จำได้ว่าั์ตาของท่านพ่อมีท่านแม่ ั์ตาของท่านแม่มีนาง นั่นคือ่เวลาแห่งความสุขที่สุดแล้วในชีวิตของนางทั้งสองชาติภพ
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้ ก่อนกลับมาเกิด หรือหลังจากนั้น นางรู้สึกว่าเนิ่นนานจนตนเองก็นึกไม่ออก พลุไฟแม้จะงดงามตระการตาเพียงใดสุดท้ายก็ต้องมอดดับ ก็เหมือนกับคนเราที่ล้วนต้องมี่เวลาสุดท้ายของชีวิต ชาติที่แล้วตนเองถูกเผาอยู่ในกองเพลิง ทว่านั่นกลับไม่ใช่การสิ้นสุดทุกสิ่ง แต่เพิ่งเป็การเริ่มต้น...
“เป็อะไรไป หรือว่าไม่ชอบพลุไฟคืนนี้? ไว้ครั้งหน้าข้าจะหาที่งดงามกว่ามาจุดให้ดู รับรองว่าเ้าเห็นแล้วต้องตาโตแน่ๆ จะได้ไม่ต้องทำหน้าเหมือนไม่ได้ดั่งใจอย่างตอนนี้”
เฟิงเจวี๋ยหร่านเห็นนางสีหน้าเจื่อนลงก็นึกว่านางไม่ชอบพลุไฟวันนี้ จึงถามเสียงเนิบนาบ พลางคว้ามือเล็กขึ้นมาจับชีพจรดู แล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ
ยังดีมิได้าเ็หนัก พักผ่อนสักสองสามวันก็หายแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้