ผู้ใหญ่บ้านเฉินขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ยามนี้ข้ากำลังคิดว่าถนนออกจากหมู่บ้านอยู่ในสภาพทรุดโทรมและมีหลุมโคลนมาเป็เวลานาน อีกทั้งหลังคาของโถงบรรพชนในหมู่บ้านก็รั่วซึมเช่นกัน จำเป็ต้องได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมด เมื่อมีเงินจำนวนนี้นับว่าประจวบเหมาะ...”
“เหอๆ!” ยังไม่ทันสิ้นคำกล่าวของผู้ใหญ่บ้านเฉิน ปู่รองสกุลเคอพลันเอ่ยด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ท่านอาเฉิน ข้าเคารพท่านในฐานะผู้าุโ ทั้งยังเป็ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน กลับนึกไม่ถึงว่าพูดคุยกันมาค่อนวัน ท่านก็ยังคิดจะเก็บเงินนี้เอาไว้แต่เพียงผู้เดียว”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อเป็เยี่ยงนี้ เช่นนั้นพวกเราก็รีบไปจ่ายเงินที่จวนว่าการเถิด จากนั้นเฉลี่ยเงินกัน สกุลเคอของพวกเ้ามีกี่คนก็แบ่งไปเท่านั้นเป็พอ”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินพลันหอบเงินขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง เคอโยวหรานจึงรีบยัดเงินห้าสิบตำลึงใส่อกของเขาพลางเอ่ยว่า
“ท่านผู้าุโเ้าคะ ในเมื่อท่านจะไปจวนว่าการ มิสู้ช่วยทำโฉนดประทับตราให้พวกเราด้วยได้หรือไม่เ้าคะ?”
ผู้ใหญ่บ้านเผยสีหน้าโอนอ่อนลง ยอมรับเงินเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ย่อมได้”
ปู่รองสกุลเคอหรี่ดวงตาเมื่อเห็นการใช้จ่ายอย่างใจกว้างของเคอโยวหราน จากนั้นลอบส่งสายตาให้ปู่สามสกุลเคอ
ยามนี้คนสกุลเฉินในหมู่บ้านเถาหยวนมิได้พากันต่อแถวรอซื้อที่ดินแล้ว ต่างส่งเสียงร้องะโเพื่อปกป้องผู้ใหญ่บ้านเฉิน จากนั้นเดินทางไปยังจวนว่าการพร้อมกับกลุ่มคนสกุลเคอ เหลือไว้เพียงบุตรชายคนรองสกุลเฉินที่คอยดูแลภรรยาและเด็กในจวน
ครั้นทุกคนออกไปจนหมด เคอโยวหรานจึงดึงตัวต้วนเหลยถิงเอาไว้พลางเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าหมู่บ้านใกล้เคียงมีช่างหินโม่สกุลหวัง เชี่ยวชาญการทำหินโม่มากทีเดียว ข้าอยากสั่งทำสักก้อนหนึ่ง สามารถใช้โอกาสนี้แวะไปสอบถามได้หรือไม่เ้าคะ?”
ต้วนเหลยถิงไร้ความเห็นอื่นใด เขาโอบเอวบางของเคอโยวหรานขณะบอกลาบุตรชายคนรองสกุลเฉินแล้วเดินออกมาจากจวน
ระหว่างทาง เคอโยวหรานเห็นว่าทางสายเล็กในหมู่บ้านเงียบสงัด ไร้ซึ่งผู้คนสัญจร ท้ายที่สุดนางก็เอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจออกมา
“ซานหลาง ท่านเคยบอกว่าท่านมีศัตรู ศัตรูของท่านคือผู้ใด? เมื่อก่อนครอบครัวของพวกท่านทำอาชีพใดหรือเ้าคะ?”
ต้วนเหลยถิงเอ่ยพลางหันมองนาง “โยวหราน ยามนี้หากรู้มากเกินไปจะกลายเป็ภาระที่เ้าต้องแบกรับ ข้าบอกเ้าได้เพียงว่าเมื่อสองปีก่อนครอบครัวของพวกเรามีฐานะมั่งคั่งยิ่งนัก
ท่านแม่เกิดในสกุลขุนนาง พี่ใหญ่ชอบเรียนหนังสือ เชี่ยวชาญวรรณกรรมทุกประเภท พี่สะใภ้ใหญ่ถูกพวกข้าทำให้พลอยลำบากจนถูกครอบครัวทอดทิ้ง
พี่รองชื่นชอบงานไม้ ถนัดงานฝีมือทุกชนิด พี่สะใภ้รองเกิดที่เจียงหนาน มีฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อยเป็อันดับหนึ่ง
เมื่อสองปีก่อนท่านพ่อของข้าถูกศัตรูให้ร้าย สูญเสียทุกสิ่งไปภายในชั่วข้ามคืน ท่านแม่พาพวกเราหลบหนีมาจนถึงที่นี่จึงสามารถสลัดศัตรูทิ้งไปได้และตั้งหลักปักฐาน ณ ที่แห่งนี้
ในยามยากลำบากที่สุด พวกเราเคยกินแม้กระทั่งรากหญ้าและเปลือกไม้ จนเมื่อมาถึงเชิงเขาต้าชิงจึงได้อาศัยความสามารถในการล่าสัตว์ของข้าขายสัตว์ป่าแลกเงิน จากนั้นก็ซื้อที่ดินสร้างจวน”
เคอโยวหรานเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่มิอาจขายลายพู่กันกับภาพวาด พี่รองมิอาจขายงานฝีมือ และพี่สะใภ้รองมิอาจขายงานเย็บปัก ไม่เช่นนั้นจะถูกศัตรูพบตัวเอาได้ใช่หรือไม่?”
“อืม ถูกต้อง ดังนั้นหลังจากที่ข้าได้รับาเ็ คนทั้งครอบครัวจึงจมดิ่งอยู่ในความสิ้นหวัง”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ ต้วนเหลยถิงก็กดจูบลงบนศีรษะของเคอโยวหราน ก่อนกล่าวต่อว่า “ยังดีที่มีเ้า ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้แต่งงานกับเ้า!”
เคอโยวหรานเอ่ยปลอบ “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ นับจากนี้ไปข้าจะขยันหาเงินให้มาก ส่วนท่านสั่งสมพละกำลัง พวกเราจะต้องโต้ตอบกลับไป นำสิ่งที่เคยสูญเสียไปของบิดาท่านกลับคืนมา ดูเถิดว่ายังจะมีผู้ใดกล้ารังแกพวกเราอีก”
“หึๆ ได้!” ต้วนเหลยถิงหัวเราะด้วยความชอบใจ ท่อนแขนแกร่งกระชับกอดเคอโยวหรานให้แแ่ยิ่งกว่าเดิม
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม คนทั้งสองก็สอบถามทางจนมาถึงจวนสกุลหวัง
เคอโยวหรานเอาแผ่นภาพที่เตรียมไว้ั้แ่ต้นออกมาให้ช่างหินหวัง เขาพลันเอ่ยด้วยความดีใจว่า
“หินโม่นี้ของเ้าไม่คล้ายกับหินโม่ข้าว ตรงกลางมีรู ด้านล่างมีร่องเว้าลงไป นับได้ว่าเป็เอกลักษณ์ทีเดียว
เมื่อวานข้าบังเอิญทุบหินก้อนหนึ่งจนเป็รู เดิมทียังคิดว่าต้องสูญเปล่าเสียแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่ายามนี้จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
โดยปกติหินก้อนใหญ่ประมาณนี้ราคาสิบตำลึง แต่หากใช้หินเสียก้อนนี้ ข้าคิดเงินพวกเ้าห้าตำลึงเป็อย่างไร?”
เคอโยวหรานเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ย่อมได้เ้าค่ะ หลังท่านทำเสร็จสามารถส่งไปยังจวนสกุลต้วนตรงเชิงเขาต้าชิงของหมู่บ้านเถาหยวนที่อยู่ใกล้ๆ ได้หรือไม่เ้าคะ?”
ช่างหินหวังคลี่ยิ้มเอ่ย “ได้ ในจวนของข้ามีวัว เชิงเขาต้าชิงก็ไม่นับว่าไกลอันใด ข้าจะประกอบหินโม่เสียก่อน อีกสักสองชั่วยามค่อยส่งไปยังจวนของพวกเ้าได้หรือไม่?”
“ได้เ้าค่ะ ขอบคุณเป็อย่างยิ่ง!”
เคอโยวหรานจ่ายเงินมัดจำสองตำลึง จากนั้นดึงต้วนเหลยถิงเข้ามาเอ่ยด้วยความยินดีว่า “รีบกลับจวนไปแช่ถั่วเหลืองกันเถิดเ้าค่ะ ข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้ท่านกิน!”
ต้วนเหลยถิงปล่อยให้นางลากวิ่งไปมาตามใจชอบ ทั้งยังไม่รู้ว่าของอร่อยอันใดที่ต้องใช้ถั่วเหลืองแช่ แต่เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของเคอโยวหราน เขาเองก็พลอยอารมณ์ดีไปด้วยเช่นกัน
คนทั้งสองเพิ่งก้าวเข้าประตูจวนก็พบบิดาทึ่มนั่งอยู่ในลานเรือน กำลังใช้กิ่งไม้ฝึกเขียน 《คุณธรรมเยาวชน》 ที่เคอโยวหรานสอน เขียนๆ ลบๆ โดยไม่นึกเกียจคร้านเลยสักนิด
ต้วนต้าหลางย่อกายคอยชี้แนะอยู่ข้างๆ สีหน้าฉายแววเป็มิตรยิ่งนัก
ครั้นเห็นคนทั้งสองกลับมา ต้วนต้าหลางก็หยัดกายลุกขึ้นเอ่ยว่า “น้องสะใภ้ บิดาสกุลเกี่ยวดองจิตใจจดจ่อและเรียนรู้ไวเป็อย่างยิ่ง นอกจากการเรียนหนังสือ พี่ใหญ่ก็ไม่รู้ว่ายังจะทำอันใดได้อีก มิสู้ให้ข้าสอนหนังสือขั้นพื้นฐานให้เขาดีหรือไม่?”
เคอโยวหรานรีบตอบด้วยความยินดี “ขอบพระคุณพี่ใหญ่เ้าค่ะ นับว่าท่านได้ช่วยเหลือข้าครั้งใหญ่อย่างแท้จริง ทำให้พี่ใหญ่ต้องลำบากแล้วเ้าค่ะ”
ต้วนต้าหลางทำเพียงโบกมือ “น้องสะใภ้เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนเ้าเช่นไรมาโดยตลอด แค่ทำสิ่งที่พอจะทำได้อยู่บ้างเท่านั้น”
เคอโยวหรานพลันล้วงหยิบเงินยี่สิบตำลึงออกมามอบให้ต้วนต้าหลางและเอ่ยว่า “ท่านพ่อของข้าจะเรียนหนังสือ ย่อมต้องมีกระดาษ พู่กัน น้ำหมึก และจานฝนหมึก ภายในจวนก็ควรจะจัดเตรียมเอาไว้สักหน่อยเช่นกัน
ข้าไม่เข้าใจเื่พู่กันกับน้ำหมึก คงต้องรบกวนพี่ใหญ่ให้ไปซื้อจากในตัวเมืองยามมีเวลาว่างแล้วเ้าค่ะ”
ต้วนต้าหลางประสานมือคารวะรับเงินเอาไว้ “พี่ใหญ่ขอบคุณน้องสะใภ้เป็อย่างยิ่ง พู่กันและน้ำหมึกภายในจวนล้วนสูญหายไปจนหมดระหว่างการระหกระเหินเร่ร่อน เงินค่าพู่กันนี้ช่างเปรียบดั่งฝนตกได้ทันเวลาของพี่ใหญ่จริงๆ!”
เคอโยวหรานทำความเคารพอย่างสุภาพ เอ่ยว่า “พี่ใหญ่กล่าวเกินจริงแล้วเ้าค่ะ ท่านช่วยสอนหนังสือขั้นพื้นฐานให้บิดาของข้า ทำให้ข้าประหยัดค่าครูไปได้จำนวนหนึ่งด้วยซ้ำนะเ้าคะ!”
“มิอาจมัวรอช้า วันนี้ยังไม่ถึงเวลาค่ำ ข้าจะออกไปซื้อพู่กันกับแท่งหมึกเสียก่อน” กล่าวจบ ต้วนต้าหลางพลันรีบร้อนออกจากจวนอย่างไม่รีรอ
ต้วนเหลยถิงมองแผ่นหลังที่กำลังจากไปอย่างรีบร้อนของพี่ชายตนแล้วส่ายศีรษะทั้งรอยยิ้ม จากนั้นกลับเข้าห้องพร้อมเคอโยวหรานเพื่อไปป้อนนมลูกหมาป่า
ครั้นคิดว่าสกุลหวังจะส่งหินโม่มาในยามบ่าย เคอโยวหรานก็จัดการเอาถั่วเหลืองออกมาอ่างใหญ่
ทันใดนั้นเอง ภายในหัวเกิดประกายความคิดหนึ่งวูบผ่าน ตนอยากหาเงินมิใช่หรือ?
ถั่วแตกหน่อที่ขายไม่ออกนับว่ากำลังดี ยามนี้คือเดือนสอง เป็่รอยต่อของการทำนา สามารถค้าขายสักเดือนสองเดือนเพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ไว้ใช้สอยได้มิใช่หรือ
ครั้นคิดเช่นนี้ นางจึงเดินออกจากห้องครัว พบว่านอกจากหยวนซื่อที่ออกไปหาบน้ำ ทุกคนล้วนแต่กำลังงานยุ่งอยู่ในลานเรือน เคอโยวหรานพลันเอ่ยออกไปว่า
“ท่านแม่สกุลต้วน ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่รอง และพี่สะใภ้เ้าคะ ข้ามีเื่อยากจะหารือกับพวกท่านทุกคนเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงของนาง ทุกคนต่างวางงานในมือลง ขยับเข้าไปใกล้เคอโยวหรานแล้วเอ่ยเป็เสียงเดียวกันว่า “เ้ามีเื่อันใดก็พูดออกมาเถิด”
เคอโยวหรานไม่คิดปิดบัง บอกออกไปตามตรงว่าอยากจะขายถั่วงอก ทั้งยังอธิบายวิธีการ ขั้นตอน และระยะเวลาการงอกของถั่วงอกโดยละเอียดให้คนทั้งหมดฟังคราหนึ่ง
มารดาสกุลต้วนพยักหน้าเอ่ย “ภายในมือของพวกเรามีเงินไม่มากนัก ควรจะทำการค้าขายสักอย่าง นับว่าโยวหรานช่วยแก้ปัญหาใหญ่ให้พวกเราจริงๆ”
ครั้นบอกว่าจะทำก็ลงมือทำทันที ต้วนเอ้อร์หลางผู้มีวาจาน้อยนิดพลันแบกขวานเดินขึ้นเขาไปก่อนผู้ใด
ประจวบเหมาะกับห้องครัวของสกุลต้วนกว้างขวาง ทั้งยังมีเตาไฟที่สามารถปรับอุณหภูมิภายในห้องได้ ดังนั้นตำแหน่งปลูกถั่วงอกจึงอยู่ข้างเตาไฟนี้
เคอโยวหรานวาดภาพชั้นปลูกถั่วงอกสูงแปดชั้นออกมา ไม่เพียงช่วยประหยัดพื้นที่ แต่ยังสะดวกในการตรวจสอบการเจริญเติบโตของถั่วงอกอีกด้วย
นึกไม่ถึงว่าหลังจากมองดูภาพวาดและฟังเคอโยวหรานอธิบายไม่กี่ประโยค ต้วนเอ้อร์หลางก็เดาทางได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว จึงจัดการสร้างชั้นวางเจ็ดถึงแปดตัวออกมา
เคอโยวหรานทำการใส่ถั่วเหลือง ถั่วเขียว และถั่วลันเตาต่างๆ ลงบนชั้นวางทันที จากนั้นรดน้ำในปริมาณที่เหมาะสมก่อนจะคลุมด้วยผ้าฝ้ายขาว...
