“ตอนที่นายชมฉันว่าสุดยอดน่ะ” เซี่ยเจิงตอบ
“ฉันชมนายว่าสุดยอด...” ชวีเสี่ยวปอพูดอยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้มันดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้ ห้ามคิดลึกเด็ดขาด เขาคิดลึกเหมือนว่าทั้งสองคนกำลังมีอะไรกัน ดังนั้นจึงรีบพูดเสริมออกไปว่า : “ฉันบอกว่าเล่นได้สุดยอด !”
“อย่างอื่นก็สุดยอดเหมือนกัน” เซี่ยเจิงที่ขาแข็งแรงตามชวีเสี่ยวปอออกมาด้านนอก “ขาเป็ยังไงบ้าง? เมื่อกี้เห็นนายลุกขึ้นมาด้วย”
“ยังะโขาเดียวได้เลย” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้น “ไม่เป็ไรแล้ว แค่รอตัดเฝือก”
พูดตามตรง ตอนนี้ชวีเสี่ยวปออยากจะหาที่ที่ไม่มีคน เพื่อประทับจูบให้เซี่ยเจิงทีหนึ่ง แต่เมื่อมองไปรอบแล้วดูเหมือนว่าจะไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมเช่นนั้น ทั้งสองคนที่อยู่ปลายสุดของแถวจึงต้องเดินตามกลุ่มคนออกไปอย่างช้าๆ แต่ชวีเสี่ยวปอก็ยังแอบยื่นมือไปด้านหลัง พร้อมทั้งลูบไล่ไปบนแขนของเซี่ยเจิง
“อยู่นิ่งๆ ” คำพูดของเซี่ยเจิงแฝงไปด้วยความหมายของการเตือน
“ฉันแค่ลูบแขนหน่อยเดียวเอง” ชวีเสี่ยวปอทำน้ำเสียงงอน แล้วจึงดึงมือกลับเข้ามาอย่างเดิม “แล้วเจียงอี้หยางล่ะ? ”
“ไปตามคนที่อยู่ในทีมของห้องเรา” เซี่ยเจิงมือหนึ่งเข็นรถ ส่วนอีกมือก็บีบๆ นวดๆ บนไหล่ของชวีเสี่ยวปอ ที่จริงเขาก็อดกลั้นอย่างลำบากเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาตรงๆ เหมือนกับชวีเสี่ยวปอ
“แล้วนักกีฬาในทีมบาสคนอื่นล่ะ? ซือจวิ้นด้วย? ”
“นักกีฬาในทีมบาสยังต้องอยู่ฟังคำแนะนำของโค้ชหลัวน่ะ” เซี่ยเจิงอธิบาย “ฉันไม่ได้อยู่ในทีมโรงเรียน ก็เลยไม่ต้องฟัง”
ชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้นมามองด้านหลังอย่างมีความสุข “ก็เลยรีบมาหาฉันทันทีเลยใช่รึเปล่า”
“ใช่” เซี่ยเจิงพยักหน้ายืนยัน จากนั้นจึงลดเสียงพูดให้เบาลง แล้วกระซิบไปที่ข้างหูให้ได้ยินเพียงแค่สองคนว่า : “อยากเจอนาย”
“ฉัน...” ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็สูดหายใจเข้าไปทันที เมื่อเซี่ยเจิงเข้ามาใกล้จนทำให้ลมหายใจพ่นลงมาที่ข้างใบหูของเขา สายตาของชวีเสี่ยวปอจึงกวาดมองไปซ้ายทีขวาทีอย่างลุกลี้ลุกลน “เซี่ยเจิง !”
“ครับ”
“ไม่มีอะไร” ชวีเสี่ยวปอจับต้นขาของตัวเอาไว้อย่างแรง ไล่ภาพความคิดที่ไม่สามารถบรรยายได้ในหัวไปออกไปทันที เพราะเมื่อเขาเห็นประตูทางออก โหยวเจียก็ยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งยังมองมาที่พวกเขาสองคนอย่างเงียบๆ
ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะหันไปมองเซี่ยเจิงครั้งหนึ่ง ทั้งสองคนสบตากัน และก็เป็เช่นนั้นพวกเขารู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่สามารถจะอธิบายได้
“เก่งมาก !” โหยวเจียชูสองนิ้วให้เขาทั้งสองคน ทั้งยังยิ้มจนตาหยี เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็รู้สึกราวกับว่าโหยวเจียเป็เป็เด็กมหาวิทยาลัยที่อายุห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่ปี อีกทั้งรอยยิ้มนี้ยังทำให้ความกังวลภายในใจของชวีเสี่ยวปอสลายหายไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“เซี่ยเจิงเป็ม้ามืดจริงๆ ” โหยวเจียทอดถอนใจขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจึงมองประเมินเซี่ยเจิงั้แ่หัวจรดเท้าหนึ่งรอบ : “ครูดูการแข่งขันจนเืในตัวพลุ่งพล่านขึ้นมาเลยทีเดียวล่ะ”
“พอไหวครับ” เซี่ยเจิงถูกชมจนรู้สึกเขิน เขาจึงขยุ้มผมพร้อมทั้งหัวเราะน้อยขึ้นมา “เป็เพราะโค้ชหลัวสอนมาดีครับ”
“ถ้าเหล่าหลัวได้ยินคำนี้เขาต้องดีใจจนตัวลอยแน่ๆ ” โหยวเจียพูดขึ้นพลางหัวเราะ จากนั้นก็ก้มหน้าลงมามองชวีเสี่ยวปอ “ครูต้องชมเธอด้วยเหมือนกันนะ”
“ของผมช่างมันเถอะครับ” ชวีเสี่ยวปอเองก็ทำท่าขยุ้มผมเหมือนกับเซี่ยเจิงเช่นกัน แต่ตัวเองมีแค่ตอผมแข็งๆ ทั้งศีรษะ จึงทำได้เพียงยกมือขึ้นมาลูบไปในกลางอากาศแล้ววางมือลงมาเช่นเดิม : “ผมสร้างปัญหาให้ทีมบาสด้วยซ้ำ”
อันที่จริงชวีเสี่ยวปอรู้สึกเสียดายมากที่ไม่สามารถลงเล่นได้เนื่องจากเขาขาหัก ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะเป็หนึ่งในผู้เล่นที่อยู่ในสนามท่ามกลางเสียงเชียร์ในวันนี้
“ไม่” โหยวเจียกำหมัดขึ้นมาอย่างหนักแน่น ท่าทางเช่นนั้นชวีเสี่ยวปอเกือบนึกว่าโหยวเจียจะกล่าวคำสาบานออกมาแล้ว “ครูชมเธอ เพราะเธอตั้งใจฝึกซ้อม เพราะเธอทำตามที่สัญญาไว้กับครู แล้วก็เพราะเธอไม่ได้รู้สึกผิดหวังในตัวเอง”
ชวีเสี่ยวปอ : “ ...... ” ฉันทำอะไรที่ไหน ทำให้ใครผิดหวังเข้าเหรอ?
“คนที่ไม่ได้รู้สึกผิดหวังในตัวเองนี่แหละเก่งที่สุดเลย” โหยวเจียตบไปบนไหล่ของชวีเสี่ยวปอเบาๆ สองที “ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะสำคัญ แต่ระหว่างทางก็สำคัญไม่แพ้กัน ครูหวังว่าในระหว่างทางที่เธอสนุกสนานกับชีวิตในเวลาเดียวกันนี้เธอจะมีเป้าหมายของตัวเองด้วยเช่นกัน”
หลังจากที่โหยวเจียงพูดจบเธอจึงเดินจากไป นักเรียนไม่ต้องกลับเข้าโรงเรียนแล้ว ส่วนเซี่ยเจิงเองก็ไม่อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของทีมบาสเกตบอลด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะรับปากกับเวินลี่ว่าจะปกป้องขาของตัวเองเป็อย่างดี และจะกลับบ้านให้เร็วขึ้นอีกหน่อย แต่ทว่าในตอนนี้เขายังอยากใช้เวลาอยู่กับเซี่ยเจิงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความตั้งใจเดิมของเซี่ยเจิงเป็ไปตามเช่นทุกที คือกลับบ้าน เนื่องจากหลังจากจบการแข่งขันก็ไม่ต้องกลับไปโรงเรียนแล้ว และดูท่าหลายคนก็เตรียมจะเดินเล่นกันอยู่แถวนี้ จึงทำให้มีเพียงที่บ้านเท่านั้นถึงจะสามารถพักผ่อนได้อย่างสงบ
แต่ชวีเสี่ยวปอกลับบอกว่าไม่เอา ทั้งสองคนเรียกรถแท็กซี่มาคันหนึ่ง หลังจากขึ้นรถชวีเสี่ยวปอก็บอกว่าชื่อหมู่บ้านหนึ่งไป
เซี่ยเจิงไม่ได้ถามอะไรออกมา จนกระทั่งหลังจากลงจากรถแท็กซี่มา เขาอุ้มชวีเสี่ยวปอไปนั่งบนรถเข็นอีกครั้งหนึ่ง และในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอถึงชี้ไปยังตึกสูงที่อยู่ด้านหน้า พร้อมทั้งอธิบายว่า : “บ้านฉันเอง”
“ตึกที่พ่อฉันเป็คนสร้างมันขึ้นมา เขาบอกว่าที่นี่ทำเลดี เลยให้ฉันกับชวีจิ่งคนละห้อง” ชวีเสี่ยวปอชี้ทางให้เซี่ยเจิงพลางพูดขึ้นมา : “เมื่อก่อนแม่ของชวีจิ่งยังเคยทะเลาะเพราะเื่นี้ด้วยนะ ยังไงซะก็คงจะรู้สึกว่าไม่ควรให้ฉันละมั้ง ที่จริงฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่วันนี้อยู่ใกล้กลับที่นี่พอดีไม่ใช่เหรอ อีกอย่างฉันเองก็ไม่ได้มานานแล้วด้วย”
“ฉันควรพูดว่าอะไรดี” เซี่ยเจิงดีดนิ้วขึ้นมา “คุณแฟนมีบ้านอยู่ทุกทีสะดวกมากเลยจริงๆ !”
ชั้นที่ยี่สิบสาม
ชั้นนี้ั้แ่หลังจากที่ชวีอี้เจี๋ยเอากุญแจให้ชวีเสี่ยวปอ เขาก็เคยมาที่นี่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็ตอนที่ชวีอี้เจี๋ยลากชวีจิ่งให้มาด้วยกัน ในตอนนั้นคงจะเป็เพราะว่าไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก ดังนั้นชวีเสี่ยวปอจึงกวาดสายตามองการตกแต่งของห้องนี้ไปอย่างผ่านๆ แทบจะไม่ได้ดูอย่างละเอียดเลยว่าภายในห้องมีอะไรบ้าง
ทำให้อันดับแรกเขาจึงหมุนรถเข็นไปรอบห้องครั้งหนึ่ง และพบว่ามันตกแต่งได้ไม่เลวเลย อีกทั้งยังอดไม่ได้ที่จะทำเสียงจิ๊ปากออกมาสองครั้ง : “คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าพ่อฉันจะมีรสนิยมกับเขาด้วย”
เซี่ยเจิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานใหญ่ที่ยาวลงมาจรดพื้นในห้องรับแขก แสงแดดในตอนเที่ยงค่อนข้างทำให้แสบตาเล็กน้อย แต่ชวีเสี่ยวปอก็มองตรงไปยังเขาที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา จนทำให้แม้แต่โครงร่างของเขาก็ดูเหมือนเป็เส้นละมุน
“คุณแฟน”
ชวีเสี่ยวปอพูดยังไม่ทันจบ เซี่ยเจิงก็เดินเข้ามาหาเขาแล้ว
“เดี๋ยวก่อน” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันอยากลุกขึ้นยืน” จะใช้ท่าที่ไม่ถนัดแบบนี้ในการจูบทุกครั้งได้ยังไงกัน !
“ขาไหวเหรอ? ” เซี่ยเจิงกุมใบหน้าของเขาเอาไว้
“ไหว ไหวมาก” ชวีเสี่ยวปอไม่ฟังพร้อมทั้งยันตัว้าของตัวเองขึ้นมา ความจริงเขาฟื้นตัวดีขึ้นมากแล้ว ต่อให้ไม่มีคนอื่นเข้ามาช่วย เขาก็สามารถค่อยๆ ประคองตัวลุกขึ้นมาได้ แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวแต่มาชักช้าอยู่ได้ เพราะเขารอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ฉัน้าจูบ โดยด่วนที่สุด
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกตลกกับตัวเอง แต่เซี่ยเจิงก็รีบเข้าไปช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้นมาทันที กลัวว่าชวีเสี่ยวปอจะไม่ระวังไปโดนขาข้างที่เจ็บเข้า ในตอนนี้เซี่ยเจิงกลับดูมีความอดทนเป็อย่างมาก พยายามให้ชวีเสี่ยวปอทิ้งแรงทั้งหมดลงมาที่ตัวเอง ซึ่งมันก็ทำให้ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะใช้ทั้งตัวของเขาเข้าไปแนบชิด พร้อมทั้งขยับใบหน้าเข้าไปกดจูบลงบนริมฝีปากของเซี่ยเจิงอย่างโหยหา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเขาสองคนที่ทำเื่เช่นนนี้ เพราะถึงยังไงพวกเขาก็คุ้นเคยกับมันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าชวีเสี่ยวปอยังไม่กล้าวางขาลงไปเต็มแรงเท่าไหร่นัก ดังนั้นแขนของเซี่ยเจิงจึงกอดเขาเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม ราวกับกลัวว่าเขาจะลื่นล้มไปอย่างไรอย่างนั้น
แต่ทว่าการกระทำเช่นนี้กลับเป็เหตุให้เกิดเื่สำคัญมากเื่หนึ่งขึ้น
เซี่ยเจิง : “นายแข็งแล้ว”
ชวีเสี่ยวปอ : “นายยังมีหน้ามาพูดถึงฉันอีก? ถูกันไปมาแบบนี้ใครบ้างจะไม่แข็ง !”