“วางไว้ที่นี่เถิด!” ซ่งอี้เฉินชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลนักพลางมองฮวารั่วซีพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า “วางขนมอบของพระสนมไว้ที่นี่เถิด กิจการในตำหนักหลังนั้นยุ่งยากซับซ้อนนัก เ้าต้องใช้เวลาให้มากสักหน่อย”
ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเป็การปฏิเสธคำเชิญของฮวารั่วซีอย่างสิ้นเชิง ทว่ายังเป็การออกคำสั่งไล่นางกลับไปอีกด้วย
หากเป็ในอดีตนั้นแทบจะเป็ไปไม่ได้ที่จะเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นได้เลย!
หรือว่าอารมณ์ความโปรดปรานของฮ่องเต้จะเปลี่ยนไป? หรือว่าเป็เพราะมีสนมเหยียนอยู่ด้วยกัน?
ภายในใจของทุกคนต่างมีแนวโน้มที่จะคิดไปในทางหลังเสียมากกว่า
……
ฮวารั่วซีเดินออกไปจากตำหนักอย่างไม่เต็มใจนัก พร้อมกับองครักษ์ที่วางฎีกาลงบนโต๊ะและทยอยออกไปจากห้องอย่างนอบน้อม ตำหนักอีหลวนที่ใหญ่โตยามนี้เหลือเพียงเหยียนอู๋อวี้กับซ่งอี้เฉินสองคนเท่านั้น
“เ้าว่าเ้ามีความรู้เกี่ยวกับการเล่นพิณ การเล่นหมากรุก การเขียนอักษร และการวาดภาพอยู่บ้าง เช่นนั้นดีดพิณได้หรือไม่?” เสียงของซ่งอี้เฉินดังก้องภายในตำหนักอันโอ่อ่า
“ดีดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เกรงว่าจะไม่น่าฟังเพคะ” เหยียนอู๋อวี้ก้มหน้าลง หลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี นางไม่เคยปล่อยให้ตนเองมีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย ในเมื่อนาง้าเป็นางสนมที่นำพาหายนะมาสู่บ้านเมือง นางจะไม่ชำนาญเื่ดนตรี หมากรุก อักษร และวาดภาพได้อย่างไร?
นางจะไม่รู้มาก่อนได้อย่างไรว่าเวลาที่บุรุษอยู่กับนาง เขาคงไม่ชอบฟังเื่ราวเช่นการจัดการกองทหาร านองเื ซึ่งเป็การทำลายบรรยากาศดีๆ ให้หมดไป ทว่าการร้องเพลงและการเต้นรำเพื่อหาความสุข ใช้ชีวิตใน่เวลาที่ดีนั้น เขาไม่มีทางปฏิเสธนางอย่างแน่นอน!
“เช่นนั้นหรือ? ข้าอยากลองฟังดูว่ามันไม่น่าฟังอย่างไร?” ขณะที่เอ่ย เขาพลันปรบมือเรียก
ไม่นานนางกำนัลและขันทีที่รออยู่นอกประตูพลันเดินถือพิณเข้ามา
รูปลักษณ์ของพิณที่เรียบง่ายนี้ ราวกับมีดอกเหมยลอยอยู่อย่างมีชีวิตชีวาเสมือนจริง
“พิณนี้มีนามว่าพิณหานเหมย เสียงพิณไพเราะเรียบง่าย ทำให้ผู้ฟังรู้สึกคล้อยตามจนลืมไม่ลง” ซ่งอี้เฉินยืนขึ้นพร้อมกับเดินไปที่พิณ นิ้วเรียวยาวประหนึ่งหยกขาวของเขาวางลงบนสายพิณก่อเกิดเป็บทเพลงที่ไพเราะออกมา
เหยียนอู๋อวี้กล่าวชื่นชมทันทีว่า “ยามไม่เป็บทเพลงยังไพเราะถึง เพียงนี้ หากดีดเป็บทเพลงออกมาคงยิ่งทำให้รู้สึกหลงใหลเคลิบเคลิ้มอย่างแน่นอนเพคะ”
นางเอ่ยพลางก้มศีรษะลงด้วยท่าทางระมัดระวังพร้อมกล่าวต่อไปว่า “เพียงแต่ทักษะการดีดพิณของหม่อมฉันมิได้ดีมากจริงๆ เกรงว่าแม้ใช้พิณหานเหมยนี้ก็อาจดีดออกมาไม่ไพเราะเพคะ”
“ไม่เป็ไร ลองดูเถิด!”
แววตาของซ่งอี้เฉินแสดงออกถึงความสับสนเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก เฉกเช่นเดียวกับเมื่อนานมาแล้ว ยามที่เขานำพิณหานเหมยมาแสดงให้อู๋เหยียนดู ยามนั้นนางทั้งกังวลและเขินอายเช่นกัน ทว่าน่าเสียดายที่นางบอกว่า นางดีพิณไม่เป็
ซ่งอี้เฉินจมดิ่งอยู่กับความคิดของตนเอง กระทั่งเสียงพิณดังขึ้นราวกับสายน้ำไหลจากปลายนิ้วของเหยียนอู๋อวี้
ูเาและสายน้ำไหล ยากที่จะหาเพื่อนรู้ใจได้
ดีดพิณได้ไพเราะเช่นนี้ช่างไม่ธรรมดา ซ่งอี้เฉินเผยรอยยิ้มพึงพอใจพลางยื่นมือไปััมือเล็กบอบบางซึ่งยังคงดีดพิณอยู่ “ดูเหมือนสนมที่รักของเจิ้นจะถ่อมตัวมากเกินไปสักหน่อย!”
“หม่อมฉันเกรงว่าจะทำให้พิณล้ำค่าต้องอับอาย” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงต่ำ ทว่าเมื่อมองลงไปยังมือที่มีเส้นเืของซ่งอี้เฉิน แววตาคู่นั้นพลันอดอึมครึมไม่ได้
ในวันนั้น ก็เป็มือนี้เองที่ถือกระบี่แทงเข้าสู่หัวใจของนางโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
สำหรับเขาแล้ว มีเพียงแผ่นดินของเขาและยังมีฮวารั่วซีซึ่งเป็ที่รักของเขาเท่านั้น ภายในใจของเขา ไม่เคยมีนางในอดีตแม้แต่น้อย
ยามนั้นนางยอมทำเพื่อเขาทุกสิ่งอย่าง ทว่าเขากลับตอบแทนสิ่งที่นางทุ่มเททำให้ด้วยกระบี่ที่แทงทะลุหัวใจนาง!
ความเ็ปเกิดขึ้นจากส่วนลึกในหัวใจ ทำให้เหยียนอู๋อวี้ที่อยู่ในท่าทางสับสนกลับมามีสติอีกครั้งในทันที
นางรวบรวมความคิดพลางเอ่ยอย่างไร้เดียงสาว่า “หม่อมฉันได้ยินว่าพี่หญิงซูเฟยดีดพิณได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ดังนั้นนางจึงคู่ควรกับพิณที่ล้ำค่าเช่นนี้เพคะ”
“นางดีดได้พอๆ กับเ้า” ซ่งอี้เฉินตอบโดยไม่ลังเลราวกับว่าฮวารั่วซีไม่มีความสำคัญกับเขามานานแล้ว
เพียงแต่หากเป็ผู้อื่น หากมีโทษกักบริเวณแล้วออกมาตามอำเภอใจ อย่างน้อยก็ควรจะถูกลงโทษโดยมีข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งฮ่องเต้
ทว่าฮวารั่วซีในวันนี้กลับมิได้ถูกกล่าวโทษจากซ่งอี้เฉินเลยด้วยซ้ำ
เหยียนอู๋อวี้หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่นางถูกกักบริเวณ คราไหนที่หนีออกไปข้างนอก นางจะต้องโดนโบย
นี่เป็คนคนเดียวกันหรือ
“ฝ่าา...…” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยพลางแย้มยิ้ม แก้มนางแดงระเรื่อ น้ำเสียงแกมอิจฉาเล็กๆ “วันนี้ซูเฟยดูไม่ค่อยมีความสุขเลยนะเพคะ!”
“นางชอบทำตัวยุ่ง ก็ปล่อยให้นางยุ่งไป มีอวี้เอ๋อร์อยู่เป็เพื่อนเจิ้น”
เหยียนอู๋อวี้ยิ้มเย้ยหยันอยู่ภายในใจ ทว่าใบหน้ากลับยิ่งฉายแววมีความสุขมากขึ้น “ฝ่าาทรงชื่นชมเกินไปแล้ว อวี้เอ๋อร์มิบังอาจ......”
เมื่อซ่งอี้เฉินเห็นท่าทางของนางเช่นนี้ ทำให้เขาหวนนึกถึงอวี๋นอู๋เหยียนในยามนั้น
ทั้งๆ ที่เป็คนละคนกันอย่างชัดเจน ทว่าเหตุใดจึงทำให้เขารู้สึกราวกับเคยพบเจอกันมาก่อนเสมอ?
เขาจับมือนางแล้วพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด
เขาจำได้ว่าที่ฝ่ามือของอวิ๋นอู๋เหยียนมีรอยแผลเป็เล็กๆ ซึ่งเป็รอยที่เกิดจากการช่วยปกป้องเขา ขณะที่มือซึ่งอยู่เบื้องหน้านั้นขาวนวลละเอียด นุ่มราวกับไม่มีกระดูก อีกทั้งยังไร้ซึ่งรอยแผลเป็อีกด้วย
มือเรียวเล็กที่บอบบางคู่นี้ บางทีแม้กระทั่งดาบก็ยังไม่สามารถยกขึ้นได้เลยเสียด้วยซ้ำ
บางทีนางอาจมีเงาของอวี๋นอู๋เหยียนบางส่วนอย่างไม่ตั้งใจ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่คนเดียวกัน
เป็เขาที่คิดมากเกินไป
……
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้