หลังจากเหตุการณ์หน้าลิฟต์สุดระทึกขวัญหยางเฉินพบว่าตัวเขาไม่ได้เจอกับมรสุม พายุหิมะถล่ม แต่อย่างใด เหตุผลง่ายๆ คือ่นี้อวี้เหล่ยกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมตัวสำหรับงานเปิดตัวแฟชั่นฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ดังนั้นแล้ว
หลินรั่วซีจึงไม่มีเวลาที่จะมาใส่ใจกับหยางเฉินในเวลานี้!
ทั่วทั้งศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติเต็มไปด้วยโฆษณาแฟชั่นที่โดดเด่น ภาพของใบหน้าหญิงสาวในเครื่องแต่งกายหรูหรา ทำให้เหล่าสาวๆ ต่างอิจฉากันถ้วนหน้า
หยางเฉินอยู่ในแผนกประชาสัมพันธ์งานส่วนใหญ่ของเขาจึงเป็การให้คำแนะนำ หญิงสาวที่มาเยี่ยมชมงานและนอกจากนั้นเขาก็จะว่างเป็ส่วนใหญ่
หลินรั่วซีในตอนนี้รับตำแหน่งประธานนิทรรศการ เธอดูโดดเด่นด้วยชุดกระโปรงสีดำเสื้อเชิ้ตสีขาว มีลายปักรูปดอกไม้สีชมพูอยู่ตรงหน้าอกทันทีที่หลินรั่วซีขึ้นมาอยู่บนเวทีก็เรียกเสียงปรบมือของผู้ชมได้อย่างล้นหลาม
ในความเป็จริงแม้หลินรั่วซีจะเป็ประธานกรรมการบริษัทแฟชั่นแต่เนื่องจากบุคลิกที่ค่อนข้างเ็า ทำให้ชื่อของประธานบริษัทแฟชั่นคนนี้ไม่ค่อยเป็ที่รู้จักแพร่หลายนัก แม้ที่ผ่านมาจะมีสำนักข่าวบันเทิงรายงานเื่ราวชีวิตส่วนตัวของหลินรั่วซีไปบางส่วน และทรัพย์สินมูลค่ากว่าหมื่นล้านที่เธอมี แต่นั่นก็ทำให้หลายคนต่างพากันไม่เชื่อและยังบอกอีกว่าบริษัทสื่อที่มาทำข่าวร่วมมือกับอวี้เหล่ยเผยแพร่ข่าวลวงออกไปเพื่อโปรโมทบริษัท
หลังจากนั้นสำนักข่าวต่างๆก็ไม่กล้าเผยแพร่ข่าวของหลินรั่วซีอีก แน่นอนว่าขนาดสำนักข่าวเล็กๆ ไม่กล้าทำข่าวใดๆ เกี่ยวกับหลินรั่วซีส่วนด้านสำนักข่าวใหญ่ๆ ก็ยิ่งไม่กล้าทำข่าวนักธุรกิจสาวที่ไม่มีที่มาชัดเจนเช่นกัน
ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่มางานจึงเห็นหลินรั่วซีปรากฏตัวต่อที่สาธารณะเป็ครั้งแรก
หลินรั่วซีในตอนนี้ไม่มีท่าทีของความเ็าเลยแม้แต่น้อยเพราะว่าแขกที่มาในวันนี้มีทั้งลูกค้าและนักลงทุนต่างๆ
"วันนี้เป็ครั้งแรกที่ดิฉันจะกล่าวเปิดงานในฐานะประธานคณะกรรมการของบริษัทอวี้เหล่ย..."
ทั่วทั้งฮอลล์เงียบกริบแขกที่มาชมงานต่างตั้งใจฟังหลินรั่วซีอย่างตั้งใจ
"ดิฉันไม่ใช่คนพูดเก่งนักแต่ก็ไม่ชอบอ่านสคริปต์ที่คนอื่นเขียนไว้ให้ ดังนั้นจึงจะขอพูดสั้นๆ ก็แล้วกันนะคะ"
"บริษัทอวี้เหล่ย ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการร่วมมือทางธุรกิจมากมายแต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของดิฉันอาจทำให้ทุกคนคิดว่าดิฉันฉันมีทัศนคติที่ไม่ดีและไม่เคารพผู้อื่น ในวันนี้ดิฉันจึงถือโอกาสอธิบายเื่เข้าใจผิดนี้โดยเฉพาะที่ดิฉันไม่เข้าร่วมในกิจกรรมหรือการประชุมเ่าั้เป็เพราะนิสัยที่ไม่ชอบเข้าสังคม และพูดไม่เก่งของดิฉันเองแต่แน่นอนว่าดิฉันไม่ได้ละเลยต่อเป้าหมายของพวกเราดิฉันยังคงมุ่งมั่นที่จะทำทุกวิถีทางให้พวกเราได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างต่อเนื่องฉันอยากให้ทุกคนเข้าใจในจุดนี้
ถ้าทุกท่านไม่อาจเข้าใจในเื่นี้ได้ก็สามารถยกเลิกสัญญาความร่วมมือได้ทุกเมื่อแต่ถ้าเป็เพราะเหตุผลส่วนตัวของดิฉันบริษัทอาจเป็อันตรายต่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ดิฉันคิดว่าตัดสินใจด้วยเหตุผลเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของทุกท่านอย่างแน่นอน
ตอนนี้ฉันขอประกาศว่า นิทรรศการนี้รวมถึงโครงการความร่วมมือของพวกเรายังเป็ปกติดีโดยบริษัทอวี้เหล่ยของเราจะรับผิดชอบในด้านของการตลาด และรองประธานคณะกรรมการของเราคุณโม่เชี่ยนนีจะรับหน้าที่ในส่วนนี้ต่อ ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ด้วยค่ะ”
หลินรั่วซีกล่าวจบก็เดินหายลับออกไปด้านหลังไปในทันที
คำพูดสั้นๆ ของหลินรั่วซีทำให้ทุกคนตกอยู่อาการเหม่อลอยอีกทั้งยังไม่มีโอกาสได้ปรบมือเสียด้วยซ้ำ
จนกระทั่งโม่เชี่ยนนีก้าวขึ้นมาบนเวทีทุกคนจึงได้รู้ว่าหลินรั่วซีนั้นพูดจบไปเรียบร้อยแล้ว!
หยางเฉินมองดู สาวๆ ในแผนกประชาสัมพันธ์ข้างๆที่อยู่ในอาการลุ่มหลงมัวเมา
และเมื่อมองไปยังผู้ร่วมงานภายในฮอลล์ เขาก็สังเกตเห็นทุกคนต่างปรบมือสรรเสริญเยินยอกันยกใหญ่
เขาสงสัยจนต้องหันไปถามจางไช่ว่า
"อะแฮ่มคุณเข้าใจคำพูดของประธานหลินเหรอครับ พวกคุณชอบประธานที่อะไรกันแน่?"
จางไช่ตอบทันควันว่า
"นายไม่เข้าใจความสามารถพิเศษของบอสหลินงั้นเหรอซีอีโอของพวกเราสุดยอดที่สุด!"
"ฉันเคยได้ยินมาว่าครั้งแรกที่ซีอีโอเข้ามารับตำแหน่งเธอถูกซุบซิบนินทากันใหญ่เลย"หญิงสาวคนอื่นเริ่มซุบซิบกันบ้าง
"ฉันเคยได้ยินรุ่นพี่บอกว่า พวกคณะกรรมบริหาราุโต่างไม่เชื่อมั่นว่าซีอีโอหลินของเรามีความสามารถมากแค่ไหนแต่หลังจากนั้น เธอก็ได้รับการยอมรับในที่ประชุมด้วยการกล่าวว่าประโยคที่ว่า ''อยากจะอยู่ก็อยู่แต่ถ้าจะไปก็ไม่ส่งนะ''" เหล่าหญิงสาวต่างจับกลุ่มนินทากันอย่างออกรส
หยางเฉินรับรู้แล้วว่าแม้แต่วิธีการบริหารของหลินรั่วซีก็ไม่ธรรมดาจริงๆ
ในขณะที่โม่เชี่ยนนีกำลังบรรยายถึงกลยุทธ์ทางการตลาดต่างๆพนักงานคนอื่นก็เริ่มไม่ว่างกันแล้ว
หยางเฉินวางแผนที่จะแอบชิ่งออกไปกินอาหารกลางวันแต่ทันใดนั้นเองหลินรั่วซีก็ส่งข้อความบอกให้เขาไปหาที่โรงแรมใกล้ๆ
นี่เป็ครั้งแรกที่หลินรั่วซีใช้วิธีส่งข้อความแทนการโทรนั่นทำให้หยางเฉินคำนวณได้ว่าหลินรั่วซียังคงโกรธเขาอยู่
หลังจากที่ขับรถไปถึงโรงแรมแล้วหยางเฉินก็ตรงเข้าไปในโรงแรมทันที
ภายในห้องโถงของที่นี่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราหลังจากกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วหยางเฉินก็พบหลินรั่วซีกำลังนั่งอยู่บนโซฟาที่มุมหนึ่งและกำลังลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเดินมาหาเขา
"ซูจื้อหง ได้เชิญเราไปงานเลี้ยงดินเนอร์ส่วนตัวเพื่อเฉลิมฉลองที่สามารถจัดนิทรรศการนี้ขึ้นมาจนสำเร็จฉันไม่อาจปฏิเสธได้ จึงได้เรียกนายมาที่นี่" หลินรั่วซีกล่าว
หยางเฉินเกือบจะลืมชื่อ ซูจื้อหงไปแล้ว ถ้าไม่เพราะผู้ชายคนนี้ส่งนักฆ่ามือดีมาจัดการเขาที่ฮ่องกงอีกทั้งยังชวนเขาไปทานอาหารด้วยกันอีก!
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่หยางเฉินก็ยื่นแขนออกมาและหันไปมองหลินรั่วซีด้วยรอยยิ้ม
หลินรั่วซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ยอมควงแขนหยางเฉินแต่โดยดี แต่ก็ยังก้มหน้าไม่ยอมหันมาสบตาหยางเฉิน
ในขณะที่ทั้งสองเดินผ่านชั้นหนังสือที่ตกแต่งตามทางเดินหยางเฉินก็ถามขึ้นว่า
"รั่วซีที่รักคุณรวยเป็หมื่นล้านทำไมถึงไม่จ้างบอดี้การ์ดบ้างล่ะ คุณจะได้ไม่โดนลักพาตัวอีกไง"
"ตราบใดที่ฉันยังไม่เป็ที่รู้จักก็ไม่เป็ไรคุณย่าของฉันไม่มีบอดี้การ์ด ฉันก็จะไม่ขอมีเหมือนกัน" หลินรั่วซีกล่าว
หยางเฉินตบหน้าอก แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางขึงขังว่า
"มั่นใจได้เลยหากคุณถูกลักพาตัว ผมคนนี้จะเป็คนช่วยคุณออกมาเอง"
หลินรั่วซีเหลือบมองหยางเฉินตัวสายตาเ็า
"นายออกไปช่วยผู้หญิงหลายคนเลยใช่มั้ยล่ะ?"
ได้ยินดังนั้นหยางเฉินถึงกับสะอึกไปในทันที!
เขายิ้มด้วยท่าทางเอียงอายและกลับมาเป็ผู้ฟังที่ดีแทน
เมื่อไปถึงห้องห้องหนึ่งพวกเขาเห็นเหมาฉิวที่มีผมหยิกหยอยเหมือนรังนกหนวดเครารุงรังสวมสูท กำลังยืนหัวเราะรอพวกเขาอยู่
"คุณหลินและคุณหยางคุณชายของเรารอพวกคุณอยู่นานแล้วครับ" เหมาฉิวพูดพลางใช้สายตากวาดมองไปที่หยางเฉินด้วยความสนใจ
หยางเฉินรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ฮ่องกงต้องไม่มีทางรอดหูตาของตระกูลซูไปได้ดังนั้นเหมาฉิวจะให้ความสนใจหยางเฉินก็เป็เื่ปกติ
เมื่อหยางเฉินและหลินรั่วซีเดินเข้ามาในห้องเขาก็เห็นจอทีวีขนาดใหญ่ ที่กำลังฉายภาพของนิทรรศการ และซูจื้อหงอยู่ข้างๆ
"รั่วซี คุณหยางยินดีต้อนรับครับ " ซูจื้อหงต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้มและไม่ได้รู้สึกใกับการปรากฏตัวของหยางเฉินในครั้งนี้เลย
หลินรั่วซีพยักหน้าเล็กน้อยก่อนนั่งลงบนเก้าอี้จ้องมองภาพในจออย่างเงียบงัน เห็นได้ชัดว่าเธอค่อนข้างกังวลกับสถานการณ์ภายในงานอยู่บ้าง
ซูจื้อหงไม่ได้รีบเร่งให้บริกรเสิร์ฟอาหารเขาและหลินรั่วซีพูดคุยหารือเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการในครั้งนี้ซึ่งหยางเฉินไม่ได้รู้เื่อะไรเลย เขาทำได้เพียงนั่งมองสถานการณ์ตรงหน้าแต่แล้วจู่ๆ หยางเฉินก็ยิ้มขึ้นตบโต๊ะกล่าวว่า
"คุณซู ผมขอสั่งของกินเล่นซักเล็กน้อยได้หรือไม่ ให้มานั่งรอเฉยๆ เช่นนี้ ผมเริ่มจะเบื่อซะแล้ว"
ซูจื้อหงหันไปมองหยางเฉินอย่างระมัดระวังพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพว่า
“ไม่ทราบว่าคุณหยางจะรับอะไรดีครับ?"
"ขอไวน์แดงโฮมเมดกับไข่ปลาคาเวียร์เป็ของว่างก่อน หลังจากพวกคุณพูดคุยกันจบแล้วเราค่อยมาสั่งอาหารจานหลักอีกทีเป็ไงครับ?"
ถ้าเป็ไวน์แดงธรรมดาราคาของมันย่อมไม่สูงนักแต่ถ้ามีไข่ปลาคาเวียร์รวมอยู่ด้วย มันถูกจัดให้เป็ของระดับไฮเอนด์เลยทีเดียว
"ตามสบายเลยครับคุณหยาง" ซูจื้อหงยังคงใจกว้างอีกเช่นเคย
หลินรั่วซีรู้สึกผิดหวังกับหยางเฉินเธออยากจะใช้การสนทนานี้ กระตุ้นหยางเฉินให้มีส่วนร่วม หรือตระหนักถึงความบกพร่องเพื่อที่จะเรียนรู้เื่ธุรกิจในอนาคตแต่เธอไม่คิดว่าประสบการณ์ที่เธออยากให้หยางเฉินัักลับแพ้ไวน์แดง และจานไข่ปลา...
หยางเฉินนำขวดไวน์แดงและจานไข่ปลามาจากบริกร และนั่งลงเพลิดเพลินไปกับของว่างเหล่านี้
ในระหว่างที่ซูจื้อหงกำลังพูดคุยกับหลินรั่วซีอยู่นั้นเขาก็หันหลังกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติไป...