อาหารหนึ่งมื้อทานอยู่นานมาก หลี่ซื่อทยอยเพิ่มอาหารร้อนๆ สองสามอย่างอีกนิดหน่อย แต่ละคนทานกันจนกระเพาะอิ่มท้องกลมจึงวางตะเกียบในมือลง
เก็บกวาดถ้วยและตะเกียบออกไป เปลี่ยนมาดื่มชาร้อนๆ เื่ราวกลับมาที่หัวข้อหลัก
เหนียนเสียงหลินพุ่งถลันมาครั้งนี้ เพื่ออะไร แน่นอนว่าเจินจูย่อมรู้ดี
แต่ตอนนี้นางยังมีความลังเลอยู่เล็กน้อย ดูเงื่อนไขที่เหนียนเสียงหลินเสนอมาว่าเป็อย่างไรก่อนแล้วกัน
เจินจูใช้สองมือยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างไม่รีบร้อน
เหนียนเสียงหลินคบค้าสมาคมกับครอบครัวสกุลหูมาระยะหนึ่งเช่นนี้ เข้าใจสกุลหูอยู่บ้างเล็กน้อย โดยปกติผู้ที่รับหน้าที่ตัดสินใจของสกุลหูควรเป็หวังซื่อ แต่ พี่น้องสกุลหูแยกบ้านกันนานแล้ว อำนาจคำพูดของบ้านหลังที่สองของสกุลหูดูเหมือนจะเป็แม่นางตัวน้อยตรงหน้าผู้นี้ที่ทำให้ตนคิดไม่ตกเล็กน้อย
มองดูเจินจูที่ดื่มชาอย่างสงบแวบหนึ่ง แล้วมองเฉินเผิงเฟยที่มีท่าทางไม่รีบร้อนจากไปอีกหนึ่งที เหนียนเสียงหลินรู้สึกมีเพียงตนเองที่กระดูกกรามปวดหนึบอ้างปากไม่ขึ้น
เขาไตร่ตรองเล็กน้อย ในที่สุดก็เปิดปากกล่าว “แม่นางหูตัวน้อย ท่านย่าเ้าเล่า?”
“เมื่อครู่ข้าให้ผิงอันไปเรียกแล้ว อีกเดี๋ยวท่านย่าข้าก็มาเ้าค่ะ” เจินจูยิ้มตอบ
“โอ้… เช่นนั้นก็รออีกเดี๋ยว” ถือโอกาสใช้เวลาว่างนี้ ขบคิดสักนิดว่าควรจะเริ่มพูดอย่างไร
ทันใดนั้น ในห้องโถงก็เงียบลง...
ยังดีที่ไม่นานหวังซื่อก็มา
หลังทักทายกันอยู่พักหนึ่ง เหนียนเสียงหลินจึงผ่อนคลายแล้วเริ่มพูดขึ้น “พี่สะใภ้หู ครั้งนี้บุ่มบ่ามมาหาก่อน ที่สำคัญคือเพราะพะโล้หนึ่งโถที่เมื่อเช้านี้น้องชายหูนำมาส่งให้”
เขาหยุดไปพักหนึ่ง อดถอนหายใจไม่ได้ “จะว่าไปแล้ว พี่สะใภ้หู อาหารการกินของครอบครัวท่านทำให้คนสนใจจริงๆ ไม่กลัวว่าท่านจะหัวเราะเยาะ ที่สือหลี่เซียงของพวกข้าเองก็มีเมนูพะโล้ ตอนที่ยังไม่เคยชิมพะโล้ของครอบครัวท่าน ข้ายังมีความมั่นใจในเนื้อพะโล้ของร้านตัวเองยิ่งนัก มิใช่เพราะเช่นนี้หรอกหรือ เมื่อเช้าพอลองชิมพะโล้ของพวกท่านเข้า ไอ๊หยา เปรียบเทียบระหว่างสองอัน ถึงเข้าใจว่าอะไรคือเหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ!”
“โธ่ เ้าของร้านเหนียนเกรงใจเกินไปแล้ว เก่งเพียงนั้นที่ไหนกัน พะโล้ของครอบครัวพวกเราเพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเครื่องในหมู จึงลองพะโล้ขึ้นมาเก็บไว้ จะเทียบเนื้อพะโล้ของสือหลี่เซียงพวกท่านได้อย่างไร” หวังซื่อไม่ได้คิดมากมาย หากไม่ใช่เพราะเครื่องในหมูที่บ้านเยอะเกินไป และกลัวสิ้นเปลืองที่ทานไม่หมด เจินจูจึงเค้นสมองพยายามคิดทุกวิถีทางที่จะพะโล้เครื่องในหมูขึ้นมา
เหนียนเสียงหลินฟังจบก็อดยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้ ดูเอาเถอะ คนเขาเพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเครื่องในหมูเลยพะโล้ออกมาอย่างไม่คิดอะไร รสชาติล้วนดีกว่าพะโล้ที่โรงเตี๊ยมพวกเขาตั้งใจทำออกมาอย่างดีที่สุดได้
“ท่านอาเหนียนคิดว่าพะโล้ของครอบครัวข้าไม่เลวใช่หรือไม่เ้าคะ?” เจินจูยิ้มแล้วเริ่มกล่าว
“แน่นอน!” เกินกว่าไม่เลว ดีเกินไปแล้วจริงๆ!
“เช่นนั้น… คือคิดจะซื้อสูตรหรือเ้าคะ?” เจินจูยังคงยิ้ม
ซื้อสูตร?? หวังซื่อฟังแล้วตกตะลึง สูตรพะโล้นี่ก็ขายได้?
“ฮ่าๆ แม่นางหูตัวน้อยฉลาดมากนัก!” เหนียนเสียงหลินไม่ปิดบัง ยอมรับออกมาตามตรง
“อืม… เช่นนั้น ท่านอาเหนียนคิดจะซื้ออย่างไรเ้าคะ?” เจินจูถามตามตรง
ในใจเหนียนเสียงหลินมีความสุข ดูท่าทางครอบครัวสกุลหูมีความคิดที่อยากจะขาย เขาพิจารณาเล็กน้อย กวาดสายตาไปที่เฉินเผิงเฟยที่กอบถ้วยชาและนั่งอย่างใจเย็น คาดว่าราคานี้คงจะต่ำไม่ได้แล้ว คิดเล็กน้อยแล้วจึงออกปาก “สูตรพะโล้นี้ย่อมมีราคามากกว่าลูกชิ้นปลาครั้งก่อน พวกเราต่างก็เป็มิตรกันมานานแล้ว ราคาล้วนหารือกันได้”
ในห้องโถงยามนี้ คนครอบครัวสกุลหูที่ล้อมโต๊ะนั่งอยู่มีเพียงหวังซื่อ เจินจูและหูฉางกุ้ยสามคน แม้บนใบหน้าหูฉางกุ้ยเต็มไปด้วยความแปลกใจทั่วใบหน้า กลับไม่พูดไม่จาออกเสียงตามปกติ
หวังซื่อมองไปทางเจินจู ในตาระงับความแปลกใจระคนดีใจไว้ไม่อยู่
“หากท่านอาเหนียนมีใจอยากได้ล่ะก็ เสนอราคาสมเหตุสมผลออกมา พวกข้าจะได้พิจารณาสักหน่อย” เจินจูหันไปยิ้มปลอบโยนทางหวังซื่อ คิดเล็กน้อยถึงตอบ
เหนียนเสียงหลินปรากฏรอยยิ้มที่สบายๆ ออกมาทันที ยื่นมือลูบหนวดเคราสั้นบนริมฝีปากตนเอง ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “เอาเช่นนี้ สูตรพะโล้นี้สือหลี่เซียงข้าเสนอซื้อสองร้อยเหลียง พวกเ้าเห็นว่าเป็อย่างไร?”
พะโล้ทำได้ดี ไม่เพียงแต่กำไรของตนเองจะมากมาย ยังสามารถขับเคลื่อนธุรกิจทั้งโรงเตี๊ยมให้ก้าวขึ้นอีกระดับหนึ่งได้ เหนียนเสียงหลินชิมสูตรพะโล้ของครอบครัวสกุลหูแล้วยิ่งมีความมั่นใจต่อสิ่งนี้มาก ขอแค่ราคาที่ครอบครัวสกุลหู้าอยู่ภายในขอบเขตที่รับได้ เขาก็ตัดสินใจจะคว้าสูตรมา
“สองร้อยเหลียง??” หวังซื่ออุทานเสียงใออกมา ยากที่จะปิดบังความตื่นเต้นที่เต็มหัวใจ
หูฉางกุ้ยใบหน้าตกตะลึงใจลอย สูตรพะโล้นี่มีค่าเช่นนี้เลยหรือ?
เจินจูมองเฉินเผิงเฟยที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง เห็นเขาเพียงใช้สองมือยกถ้วยชาไม่ออกเสียง แต่ภายในใจแอบตัดสินไปแล้ว ท่าทางของเขาสงบเยือกเย็น ใช้สองมือยกถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยความไม่ใส่ใจ
“เจิน เจินจู? นี่…” หวังซื่อหันศีรษะไปมองเจินจู เห็นว่านางไม่ออกเสียง ในใจอดร้อนรนไม่ได้ สองร้อยเหลียงเลยนะ นั่นเป็เงินหนึ่งจำนวนที่มากขนาดไหนกัน
เจินจูวางถ้วยชาลง แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หวังซื่อ “ท่านย่าเ้าคะ อย่าเพิ่งรีบร้อน ท่านอาเหนียนมิใช่กล่าวแล้วหรือ ว่าพวกเรายังหารือกันได้ แม้ราคาที่เสนอมานี้จะต่ำไปสักหน่อย”
“ตะ ต่ำไป??” หวังซื่ออดตกตะลึงไม่ได้
“ใช่สิเ้าคะ เนื้อพะโล้ในตลาดราคาค่อนข้างแพง เพราะซื้อเนื้อกลับมาแล้วยังต้องผ่านการทำพะโล้อีก ราคาขายก็เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเท่าตัว รสชาติพะโล้ของครอบครัวเราไม่เลว แต่ไหนแต่ไรมาท่านอาเหนียนมีหนทางทำเงิน มีวิธีวางแผนจัดการ ส่วนเงินซื้อสูตรนี่หรือ คิดๆ ดูแล้วไม่นานก็หากลับมาได้” เจินจูมองเหนียนเสียงหลินอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วกล่าว
มองใบหน้าของแม่นางตัวน้อยที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจเหนียนเสียงหลินอดหัวเราะขื่นขมไม่ได้ ดูท่าการซื้อขายครั้งนี้ไม่น่าจะพูดคุยให้สำเร็จได้ง่ายเช่นนั้นแล้ว
ในใจเขาค่อนข้างวิตกกังวลเล็กน้อย แต่บนใบหน้ากลับสงบเยือกเย็น ฉีกยิ้มขึ้นกล่าวว่า “แม่นางหูตัวน้อย เ้าไม่ได้ทำการค้าไม่เข้าใจความลำบากของการทำมาค้าขายหรอก แม้ราคาพะโล้นี้จะขายได้ราคาดี แต่ในระหว่างนั้นยังต้องนับแต่ละต้นทุนและแรงงานคนด้วย ความเป็จริงเงินที่หามาได้ไม่ได้มากเพียงนั้นหรอก”
เหนียนเสียงหลินกล่าวไปพลางสังเกตสีหน้าท่าทางของเจินจูอย่างละเอียดไปพลาง เห็นว่านางฟังจบแล้วได้แต่ยิ้มไม่กล่าวอะไร ส่วนหวังซื่อกับหูฉางกุ้ยที่อยู่ด้านข้างต่างก็จ้องเพียงหูเจินจู ไม่มีแนวโน้มที่จะออกเสียง เขาทำได้เพียงยิ้มแล้วกล่าวต่อ “งั้นเอาเช่นนี้ พวกเ้าตั้งใจจะขายราคาเท่าไร พวกเราปรึกษาหารือกันดีๆ ได้?”
ราคาเท่าไร? เจินจูลังเลใจเล็กน้อย นางเพียงรู้สึกว่าสองร้อยเหลียงน้อยไปหน่อย ถึงอย่างไรมูลค่าทางการเงินของการทำพะโล้ย่อมต้องสูงกว่าลูกชิ้นแน่นอน บวกกับการซื้อขาดสูตรครั้งเดียว อย่างไรก็ต้องขายให้มีราคาสักหน่อย อีกอย่างดูท่าทางที่เหนียนเสียงหลินรีบเร่งด่วนมา ราคาของสูตรพะโล้นี้เกรงว่าน่าจะมีราคามากกว่าที่นางคิดไว้
นิ้วมือเจินจูถูผิวโต๊ะเบาๆ ลังเลใจที่จะเตรียมพูดออกไป
“เ้าของร้านเหนียน ราคานี้ของท่านไม่ยุติธรรมเลย ถึงแม้จวนสกุลกู้พวกข้าจะอยู่ในเมืองไท่ผิงและไม่ได้ประกอบกิจการโรงเตี๊ยมร้านอาหาร แต่ในนามจวนสกุลกู้ยังมีโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่อยู่สองสามร้าน ข้าเคยได้ยินว่าซื้อเพียงสูตรอาหารหนึ่งจานไม่ใช่แค่สองสามร้อยเหลียงกระมัง ยิ่งไปกว่านั้นสูตรพะโล้นี้ ที่สามารถทำได้ไม่ใช่แค่อาหารกับข้าวหนึ่งจานด้วย” เฉินเผิงเฟยยิ้มแล้วเริ่มเอ่ย ปัจจุบันนี้ครอบครัวสกุลหูสำคัญและมีความหมายต่อคุณชาย ย่อมต้องช่วยเหลือเป็ธรรมดา
“โอ๊ะ น้องชายเฉิน เ้าก็รู้ ที่ตั้งของจวนสกุลกู้พวกเ้านั่นเป็ราคาของเมืองหลวง พวกเราพื้นที่ชนบทเล็กๆ นี้จะสามารถเปรียบเทียบกับครอบครัวใหญ่โตสูงศักดิ์ของพวกเ้าได้อย่างไร เงินสองร้อยเหลียงพวกข้าล้วนต้องรัดเข็มขัดให้แน่น [1] ประหยัดอยู่นานถึงจะสามารถหาเงินกลับมาได้” เหนียนเสียงหลินมุ่ยหน้าแสร้งร้องว่าจน
“ฮ่าๆ เ้าของร้านเหนียน พวกเราล้วนรู้อยู่แก่ใจ ท่านก็อย่าแสร้งว่าจนที่นี่เลย พะโล้หนึ่งสูตรสามารถพะโล้อาหารได้หลายอย่าง รสชาติยังอร่อยเช่นนี้อีก หากท่านเห็นว่าแพงแล้วไม่อยากได้ รอข้ากลับไปกล่าวกับคุณชายหนึ่งที ให้คุณชายซื้อไว้ นำกลับไปให้ร้านในนามจวนสกุลกู้เพื่อทำไมตรีก็ดีเหมือนกัน” เฉินเผิงเฟยกล่าวอย่างยิ้มตาหยี
โรงเตี๊ยมสองสามร้านในนามของจวนสกุลกู้ล้วนดำเนินการโดยอนุของจวนสกุลกู้ เกี่ยวพันกับจวนสกุลกู้ไม่มาก ดังนั้นพวกเขาไม่ได้คิดอยากจะกระตือรือร้นซื้อสูตรลักษณะพิเศษของครอบครัวสกุลหูอย่างแน่นอน
“อ่า… อย่าสิ! น้องชายเฉิน นี่มิใช่ว่าพวกเรากำลังปรึกษาหารือกันอยู่หรือ” เหนียนเสียงหลินฉีกยิ้มขึ้น รีบหันศีรษะกลับมากล่าวกับเจินจู “แม่นางหูตัวน้อย ราคานี่หารือกันได้ เื่พวกเราสองครอบครัวร่วมมือกันก็ไม่ใช่วันสองวันแล้ว การวางตัวติดต่อทางสังคมและความน่าเชื่อถือของพวกข้าพวกเ้าก็รู้ ขอเพียงอยู่ในขอบเขตเหมาะสม พวกเราล้วนสามารถเจรจาหารือกันเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ที่แท้จริงได้”
เจินจูยิ้มบางๆ พยักหน้ากล่าวชม “การปฏิบัติตัวท่านอาเหนียนมีเหตุมีผล ซื่อสัตย์รักษาคำพูด พวกเราย่อมรู้กระจ่างแจ้งเ้าค่ะ แต่ราคานี้… พะโล้ทุกอย่างที่พะโล้อย่างดีของครอบครัวข้า เชื่อว่าหลังจากท่านอาเหนียนชิมแล้วน่าจะรู้รสชาติในนั้น อีกอย่างไม่ใช่แค่พะโล้เนื้อได้ เครื่องในหมูที่ราคาถูกหลังได้พะโล้ไปแล้วรสชาติจะยิ่งมีเอกลักษณ์ แค่กำไรในนั้นคิดว่าสือหลี่เซียงน่าจะได้กำไรไปมากมายเลยนะเ้าคะ”
เสียงไพเราะดังสะท้อนภายในห้องอย่างสงบเยือกเย็น นิ้วมือเจินจูยังคงถูโต๊ะเบาๆ ความมั่นใจอย่างเยือกเย็นสุขุมบนใบหน้าทำให้ทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกันขึ้น
หวังซื่อมองเจินจูที่นิ่งมาก ในใจทั้งดีใจทั้งทอดถอนใจ
“ดังนั้น… ท่านอาเหนียน ขอเพียงเสนอราคาที่เหมาะสมซื้อสูตรกลับไป ไม่นานพวกท่านก็สามารถหาเงินทุนกลับมาได้แล้ว” เจินจูหันมาทางเขาและยิ้มด้วยความซุกซน
“…” ใบหน้าเหนียนเสียงหลินยิ้มเจื่อนๆ ก้นบึ้งหัวใจคำนวณด้วยความเร็วสูง อันที่จริงพอพะโล้เครื่องในหมูชนิดต่างๆ ออกมาแล้ว รสชาติก็เป็เอกลักษณ์เฉพาะ และเมื่อนำมาผ่านการแปรรูปวัตถุดิบ อาหารที่ได้นั้นต้นทุนก็ไม่สูง แต่กำไรค่อนข้างมาก หลังจากคำนวณเป็ระยะเวลานาน ราคาที่ซื้อสูตรสูงหน่อยก็ยังคุ้มค่า
มองเฉินเผิงเฟยด้านข้างที่ถมึงทึงแวบหนึ่ง เหนียนเสียงหลินกัดฟันทำการตัดสินใจ
“เอาเช่นนี้ แม่นางน้อยสกุลหู ข้าก็จะไม่ให้ครอบครัวพวกเ้าเสียเปรียบ กำไรของเนื้อพะโล้ไม่ต่ำจริงๆ อีกอย่างทำให้พวกข้ามีสินค้าอาหารใหม่ได้ไม่น้อย ใช้ความบริสุทธิ์ใจที่ใหญ่ยิ่งของสือหลี่เซียงพวกข้า ห้าร้อยเหลียงซื้อสูตรของพวกเ้า พวกเ้าเห็นว่าเป็อย่างไร?”
พอคำพูดเหนียนเสียงหลินออกไป หวังซื่อประหลาดใจจนอ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว ทั่วดวงตาล้วนเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
หูฉางกุ้ยยิ่งสองตาเบิกกว้าง เอาแต่มองเหนียนเสียงหลินอย่างตกตะลึง
เฉินเผิงเฟยด้านข้างแบะปาก เหมือนกับว่าราคาเช่นนี้ ยังไม่น่าพึงพอใจสำหรับเขา
มือเล็กของเจินจูที่ถูโต๊ะได้หยุดลง ราคานี้น่าจะพอประมาณแล้ว นางหันศีรษะมองไปทางหวังซื่อ ถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่า ราคานี้ที่ท่านอาเหนียนเสนอออกมาเหมาะสมหรือไม่เ้าคะ?”
“อ่า… เจินจู… เ้าคิดว่าเหมาะสมก็ตกลง” หวังซื่อยังคงอยู่ในสภาพไม่อยากจะเชื่อ สูตรนี่คุ้มกับเงินห้าร้อยเหลียงเชียวหรือ? อย่างไรนางก็ไม่เคยคาดคิด เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเครื่องในหมูกลับซื้อขายสูตรพะโล้ออกมาได้ ไม่คิดเลยว่าจะมีราคาได้เช่นนี้
“เช่นนั้น สูตรนี่พวกเราจะขายให้ท่านอาเหนียนใช่หรือไม่เ้าคะ?” เจินจูถามต่อ
“เอ่อ… เ้าของร้านเหนียนมีใจ้า ย่อมขายได้แน่นอน” ศีรษะของหวังซื่อสับสนอยู่ กว่าจะได้สติขึ้นมาไม่ง่ายเลย ขายสิ จะไม่ขายได้อย่างไร เงินห้าร้อยเหลียงเกรงว่าพวกเราครอบครัวสกุลหูชาติหน้าต่างก็หาเงินมากมายเช่นนี้ไม่ได้
การตอบสนองของหวังซื่อเป็ไปตามที่เจินจูคาดไว้ ครอบครัวยากจนมามากกว่าครึ่งชีวิต จู่ๆ ก็มีเงินมากมายเช่นนี้ปรากฏออกมาต่อหน้า จะไม่ทำให้คนไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
“ท่านพ่อ ท่านคิดอย่างไรเ้าคะ?” เจินจูมองไปทางหูฉางกุ้ยที่ตกตะลึงเล็กน้อยอยู่ตลอด
เชิงอรรถ
[1] รัดเข็มขัดให้แน่น หมายความว่า ต้องประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย