“เมื่องานกวีมาถึงครึ่งทางบ่าวรับใช้ของคุณชายสามหนิงก็มาเรียกคุณชายรองออกไปเขามาบอกว่าคุณหนูหนิงอยากคุยกับคุณชายรองที่ด้านหลังูเาจําลองตอนที่คุณชายรองไป ก็พบว่าสาวใช้คนสนิทของคุณหนูหนิง ‘หงชุ่ย’ อยู่ในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยคุณชายรองแค่มองก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงคิดจะรีบออกมาทว่านังเด็กคนนั้นกลับเข้ามากอดคุณชายรองไว้พอดีกับที่ตอนนั้นมีคนมากมายเดินผ่านมา ก็เลย...” แม่เฒ่าซุนก้มหน้าไม่พูดต่ออีก
ไม่ต้องพูดต่อก็เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกู้เจิงอ้าปากค้างก่อนจะมองน้องรองอย่างขุ่นเคือง ปกติน้องรองยึดถือในหลี่เจี้ยว* เหมือนกับตาเฒ่าน้อย เหตุใดพอเป็เื่นี้ถึงได้เลอะเลือนขนาดนี้แค่คนอื่นเชิญชวนก็ตามไปคุยในที่ลับตาอย่างนั้นน่ะหรือ?
(*หมายถึงจริยธรรมของขงจื่อในยุคศักดินาเป็การรักศักดิ์ศรีชื่อเสียงอย่างบัณฑิตที่มากเกินกว่าเหตุ)
กู้เจิ้งชินเห็นพี่สาวมองอย่างตำหนิ ก็รู้สึกอับอายขึ้นมา “ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมาก คือ ข้าก็แค่อยากเจอนาง” นางในที่นี้ย่อมหมายถึงบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ตระกูลหนิง
เว่ยซื่อฟาดมือลงบนโต๊ะอย่างแรงนางมองบุตรชายผู้ไม่เอาไหนที่ลืมสิ่งที่นางสอนสั่งไปจนหมดสิ้น
กู้เจิงงุนงง แต่ถึงอย่างไรเื่พวกนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลยแต่ทำไมทุกคนถึงต้องลากนางไปเกี่ยวข้องกับเื่นี้
“ฟู่ผิงเซียงรังแกกันมากเกินไปแล้ว ตัวนางมีชีวิตทุกข์ทนก็เลยไม่ยอมให้พวกเราได้ใช้ชีวิตที่ดีเหมือนกัน” กู้เหยาพูดด้วยความโกรธ
“ฟู่ผิงเซียง?” กู้เจิงเกือบลืมคนผู้นี้ไปแล้ว “นางก็ไปด้วยหรือ?”
“นางไม่ใช่แค่ไปร่วมงานเท่านั้นแต่นางกับคุณชายรองหนิงเป็คนเสนอเื่งานกวีนี้ขึ้นมา” กู้อิ๋งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนนางเกือบจะมองผู้หญิงคนนี้ว่าเป็เพื่อนรักกัน “นางเป็คนเสนอให้จัดงานนี้ขึ้นมาทั้งยังเกิดเื่บังเอิญเช่นนี้ขึ้นอีกนอกจากนางยังจะมีใครที่พยายามเล่นงานพวกเราอย่างถึงที่สุดเช่นนี้อีก”
“ดูบุตรสาวแสนดีที่ตระกูลฟู่สั่งสอนมาสิทำให้ตระกูลกู้ของข้าต้องขายหน้าเช่นนี้” เว่ยซื่อโกรธเกรี้ยวเป็อย่างมาก “ไม่รู้ว่าคนจะอาไปนินทากันอย่างไรบ้าง”
“ท่านแม่โปรดระงับโทสะ เื่นี้ขอเพียงตระกูลหนิงไม่เชื่อก็พอแล้วหากลองคิดดูให้ดีก็จะต้องรู้ว่าคนอย่างกู้เจิ้งชินจะไปสนใจสาวใช้ได้อย่างไรกันเ้าคะ?” กู้อิ๋งรีบปลอบใจมารดา
“นี่ไม่เกี่ยวว่าตระกูลหนิงจะเชื่อหรือไม่เชื่อเจิ้งชินเพิ่งจะมีชื่อเสียงก็เกิดเื่แบบนี้ขึ้น จะต้องส่งผลกระทบกับเส้นทางในวันข้างหน้าของเขาอย่างมาก” เว่ยซื่อมองลูกชายที่นางภูมิใจมาตลอดเื่เมื่อวานทำให้นางผิดหวังมากจริงๆ “แต่หากไม่ใช่เ้ามีความคิดเช่นนั้น คนอื่นก็คงคิดล่อลวงเ้าไม่ได้”
“ลูกรู้ผิดแล้วขอรับ” กู้เจิ้งชินกำหมัดแน่น
“ทั้งหมดเป็เพราะเื่ที่เ้าเคยก่อ กู้เจิง” เว่ยซื่อหันมาชี้หน้ากู้เจิง นางโมโหจนนิ้วมือสั่นระริก
กู้เจิงกำลังคิดถึงสิ่งที่ฟู่ผิงเซียงเคยพูดในโรงน้ำชาอวิ๋นเซียงการกล่าวหาอย่างกะทันหันของเว่ยซื่อ แม้จะทำให้นางรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่สิ่งที่ควรพูดก็ยังต้องพูด “ท่านแม่จะโทษข้าได้อย่างไรเ้าคะก่อนหน้านี้ฟู่ผิงเซียงก็ป่าวประกาศเื่ของน้องสามกับคุณหนูใหญ่หนิงมาโดยตลอดก่อนที่จะเกิดเื่ที่ข้าบังเอิญไปดึงกระโปรงของฟู่ผิงเซียงเข้าด้วยซ้ำ”
“เ้าว่าอะไรนะ?” เว่ยซื่อผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเดือดดาลนางยังคิดจะผลักความรับผิดชอบให้อิ๋งเอ๋อร์อีก
กู้เจิงก้มหน้าลงอย่างเจ็บใจหวังซู่เหนียงยังต้องอาศัยอยู่ในจวนกู้ นางจะต้องไม่แข็งข้อกับนายหญิง “ในใจของท่านแม่ลำเอียงอยู่เสมอแต่สำหรับเื่นี้ข้ารู้ว่าท่านแม่ไม่พอใจข้าเองก็ไม่สบายใจเช่นกันเพราะน้องรองถูกรังแก แต่ข้าก็ไม่ได้ผิดเช่นกัน”
“เ้าไม่ผิดหรือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เกิดมาจากปัญหาระหว่างเ้ากับฟู่ผิงเซียงเ้ายังจะไม่ผิดอยู่อีกหรือ?”
“แล้วท่านแม่้าอะไรเ้าคะ? ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ข้าก็ไม่อยากให้เกิดเื่แบบนี้ขึ้นก่อนหน้านี้ข้ากับฟู่ผิงเซียงไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ท่านแม่เองก็รู้นี่เ้าคะ” กู้เจิงรู้สึกขอบคุณมากที่เสียงของร่างเดิมนี้อ่อนโยนและนุ่มนวล “ข้าออกเรือนไปแล้ว และจวนกู้ก็ถือเป็กำลังหนุนของข้าข้าย่อมต้องคิดดีต่อทุกคนอยู่แล้ว”
กู้เหยาแค่นเสียงเ็านางไม่ได้ถือเป็จริงเป็จังกับคำพูดของพี่ใหญ่ แต่กู้อิ๋งกลับไม่คิดแบบนางเนื่องจากนางจะต้องแต่งงาน และต้องออกจากบ้านสกุลกู้ที่นางอยู่มาั้แ่เด็กนางจึงรู้สึกแบบเดียวกับที่พี่สาวคนนี้พูด เมื่อผู้หญิงแต่งงานออกไปนอกจากบ้านฝั่งมารดาแล้วยังจะพึ่งพาใครได้อีก?
แม่เฒ่าฉินกับแม่เฒ่าซุนบ่าวรับใช้ของเว่ยซื่อพอได้ยินคุณหนูใหญ่พูดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ช่างเป็คนมีหลักการมีเหตุผลจริงๆ
แต่ความโกรธของเว่ยซื่อไหนเลยจะสงบลงได้ด้วยพูดไม่กี่คํา
“ท่านแม่เ้าคะ” กู้อิ๋งเรียกมารดาเสียงเบานางไม่อยากทะเลาะกับพี่ใหญ่ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเสิ่นเยี่ยนกับตวนอ๋องนั้นไม่เลวทีเดียว
ความคิดของบุตรสาว เว่ยซื่อย่อมรู้ดี
“ท่านแม่” กู้เจิงกัดฟันพูดออกไป “ลืมเื่ที่เกิดขึ้นระหว่างข้ากับฟู่ผิงเซียงไปซะเถอะเ้าค่ะ”
“อะไรนะ?” สายตาของทุกคนในห้องล้วนจับจ้องไปที่กู้เจิง
กู้เจิงมองสบสายตาคมกริบของเว่ยซื่อน้ำเสียงอ่อนโยนของนางแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อเกิดเื่ขึ้นแล้ว ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้แต่เื่ในอนาคตเรายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้เ้าค่ะ ข้าคิดว่าต่อไป
ฟู่ผิงเซียงคงไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วแต่นางน่าจะทำสิ่งที่ยิ่งกว่านี้ ทำไมพวกเราไม่ช่วยกันคิดหาวิธีหยุดนางล่ะเ้าคะ?”
“นี่ยังต้องให้เ้าพูดอีกหรือ?" เว่ยซื่อแค่นเสียงหนัก
“ท่านแม่มีวิธีหรือเ้าคะ?” กู้เจิงกับกู้อิ๋งถามพร้อมกัน
เว่ยซื่อกวาดสายตามาหยุดอยู่ที่กู้เจิง นางนึกถึงคืนแต่งงานของกู้เจิงเพื่อกันไม่ให้คนนินทานางถึงกับเตรียมโฉนดหมู่บ้านไว้มอบให้กู้เจิงเพื่อเป็สินเดิมแต่นางคิดไม่ถึงว่าสามีของนางกู้หงหย่งก็ได้เตรียมการไว้แล้วเหมือนกันเขาถึงกับมอบร้านหนังสือให้กู้เจิง ทำเอานางรู้สึกปวดแปลบในใจ นางนึกถึงคำพูดที่สามีเคยพูดกับนาง
กู้หงหย่งเคยกล่าวว่า “เ้าไม่คิดว่ากู้อวี๋กับอิ๋งเอ๋อร์ เหยาเอ๋อร์และเจิ้งชินหน้าตาคล้ายกันมากหรือ? พวกเขาล้วนราวกับถอดแบบกันมา แค่เห็นข้าก็หัวใจก็อ่อนยวบแล้ว”
เสแสร้งอ่อนแอคือมุมมองของนางที่มีต่อกู้เจิงนางพินิจพิเคราะห์บุตรีอนุผู้นี้อย่างละเอียดนางรู้สึกเพียงแต่ว่าใบหน้าของกู้เจิงนี้ช่างขัดหูขัดตานางเหลือเกินแต่ถ้ามองให้ลึกลงไปสามีของนางก็พูดถูก แม้กู้เจิงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนางแต่กู้เจิงกับลูกๆ ของนางก็ล้วนมีความคล้ายคลึงกันสี่ห้าส่วน
กู้เจิงถูกเว่ยซื่อมองจ้อง นางจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างนางย้อนคิดถึงสิ่งที่ตนเองพูดเมื่อครู่ว่ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือไม่นางจะดูหน้าหนาเกินไปไหม? คงไม่หรอกกระมัง
“พวกเ้าอย่าลืมว่าข้าเป็บุตรสาวของใคร” เว่ยซื่อพูดอย่างเ็า
เว่ยซื่อเป็บุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพาุโฉางผิงถึงแม้แม่ทัพชราจะไม่ได้กุมอำนาจทางทหารแล้ว แต่คนยังมีชีวิตอยู่อำนาจและอิทธิพลบางอย่างก็ยังคงอยู่
“การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีความกล้าทำเื่อะไรขึ้นนั้นก็ถือเป็เื่ที่ดีแต่การทำอะไรไม่เจียมเนื้อเจียมตัวและไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อคนอื่นนั้นเป็สิ่งที่โง่เขลาที่สุด” ในเมื่อสตรีสกุลฟู่ล้ำเส้นนางขนาดนี้ นางก็จะไม่เกรงใจแล้วเว่ยซื่อเม้มปากแน่น
“ท่านแม่ การแต่งงานของข้ากับตระกูลหนิงจะยังเป็ไปด้วยดีไหมขอรับ?” กู้เจิ้งชินเอ่ยปากถามอย่างลังเลเมื่อวานหลังจากเกิดเื่ หนิงซิ่วอิงก็ร้องไห้พร้อมกับวิ่งหนีไปเขาอยากจะตามไปอธิบาย แต่ถูกคนอื่นขวางไว้เลยได้แต่กังวลเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็อย่างไรบ้าง
เว่ยซื่อมองบุตรชายเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่
เกิดเื่อื้อฉาวเช่นนี้ขึ้น สาวใช้คนนั้นคงจะต้องถูกโบยจนตายแต่ปัญหาคือ คนไปร่วมงานกวีนั้นมีมากมาย หากสาวใช้คนนั้นเกิดตายขึ้นมากะทันหันทั้งตระกูลกู้และตระกูลหนิงคงถูกคนประณาม เื่นี้สำหรับตระกูลชั้นสูงแล้วคงจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
แม้ว่าตระกูลหนิงอาจจะไม่ถือเป็จริงเป็จังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานแต่คำนินทาของผู้คนก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ตระกูลหนิงรับได้มากแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็เป็ตระกูลป๋อเจวี๋ยเหมือนกัน คนที่คู่ควรเหมาะสมนั้นล้วนมีมากมายไยจะต้องเป็ตระกูลกู้ด้วยเล่า?
ฟู่ผิงเซียงคนนี้วางแผนได้ดีมาก
“ท่านแม่ขอรับ?” กู้เจิ้งชินถามอย่างไม่ยอมแพ้
เว่ยซื่อหลับตาลง ก่อนลืมตาขึ้นมากล่าวว่า “นังเด็กสกุลหนิงมันมีอะไรดี ถึงทำให้เ้าคิดถึงจนลืมไม่ลงขนาดนี้”
กู้เจิ้งชินหน้าสลดหลังจากที่ได้ยินมารดาพูดเช่นนี้
“เ้ากลับมาบ้านมีธุระอะไรหรือ?” เว่ยซื่อถามถึงธุระของกู้เจิง
ดูเหมือนเว่ยซื่อจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วกู้เจิงรีบเอากล่องไม้มาวางบนโต๊ะน้ำชา “นี่เป็ของขวัญแต่งงานที่ข้าตั้งใจนำมามอบให้น้องสามข้าปักด้วยมือของข้าเองเ้าค่ะ”
พอได้ยินว่าเป็ของนาง กู้อิ๋งจึงรีบเดินมาหยิบไปดู “นี่คืออะไรเ้าคะ?” กู้อิ๋งมองงานปักรูปเ้าบ่าวเ้าสาวตัวเล็กๆ ในชุดมงคลแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าปักเป็นางและตวนอ๋อง