“กุ้ยฮัว จางกุ้ยฮัว หายหัวไปไหน ยังไม่รีบก่อไฟทำกับข้าวอีก นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังทำตัวเป็ศพอยู่บนคั่งอีก?”
ั้แ่ครั้งล่าสุดที่ลงโทษครอบครัวหลิวซานกุ้ยแล้วไม่ได้ผล คำขู่ของหลิวฉีซื่อจึงเปรียบเสมือนฝุ่นบนพื้น
ทว่าเื่ที่ให้จางกุ้ยฮัวทำอาหารเช่นนี้ นางยังคงตอบรับ
จางกุ้ยฮัวได้คํานวณเวลาและแอบไปยังแปลงผัก ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงให้หลิววั่งกุ้ยที่อยู่ห้องข้างๆ รู้
ขณะนี้นางกำลังเดินถือหัวผักกาดขาวสองหัวเดินมาจากทางแปลงผัก
“ท่านแม่ เรียกข้าหรือ?”
เวลาที่ไม่ได้ฉีกหน้ากัน จางกุ้ยฮัวกับหลิวฉีซื่อก็ยังฝืนอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้
“อืม เอานี่ไปแขวนไว้ที่ห้องครัว เก็บไว้กินตอนตรุษจีน”
หลิวฉีซื่อบอกให้ชุ่ยหลิวยื่นเป็ดให้จางกุ้ยฮัว แล้วเตรียมพาชุ่ยหลิวกลับห้อง
ขณะนั้นจางกุ้ยฮัวก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินเสียงในห้องด้านเหนือของห้องปีกตะวันตก ไม่รู้ว่าใช่อาสี่กลับมาหรือไม่?”
เท้าของหลิวฉีซื่อชะงักเล็กน้อย แล้วหันมองมาด้วยความระแวง เหมือนว่านางกำลังโกหกอยู่หรือไม่
“ท่านแม่ เื่นี้ข้าจะโกหกท่านด้วยเหตุใด?”
คิดว่าหลิววั่งกุ้ยเคลือบทองไว้จริงๆ หรือ!
จางกุ้ยฮัวแอบเบะปากอย่างดูแคลน นางรู้จากบุตรสาวมาว่า ถงเซิงนั้นไม่เท่าไร ถึงแม้จะสอบเป็ถงเซิงได้ ก็แค่มีสิทธิลงสอบสนามถงเซิง เมื่อสอบผ่านถึงจะได้เป็บัณฑิตซิ่วไฉ เวลาเห็นนายอำเภอก็ไม่ต้องคุกเข่าคำนับ หากสอบไม่ผ่าน คนก็ไม่ได้เรียกบัณฑิตถงเซิงเสียหน่อย
สรุปแล้วก็คือหลิวเต้าเซียงทำให้จางกุ้ยฮัวเข้าใจว่าถงเซิงนั้นไร้ค่า มีมูลค่าเทียบเท่ามันเทศในหลุมดิน
หลิวเต้าเซียงพอใจมากเกี่ยวกับคําอธิบายนี้ ก็มันเข้าใจง่ายนี่นา!
ย้อนกลับมาที่หลิวฉีซื่อ นางเชื่อว่าจางกุ้ยฮัวคงไม่ได้โกหก
พอคิดดูจึงรีบหันปลายเท้าเดินไปทางห้องด้านเหนือทางปีกตะวันตก
“วั่งกุ้ย วั่งกุ้ย ลูกสี่!”
ยังไม่ทันเดินไปถึงหน้าระเบียงห้อง หลิวฉีซื่อก็แหกปากะโเสียงดัง
ลูกชายคนที่สี่นี้เป็ดั่งหัวแก้วหัวแหวนที่นางประคบประหงมไว้ในมือ การที่นางจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับลูกชายสี่
ส่วนสามคนแรก ก็เป็อย่างที่เห็นจึงไม่ได้คาดหวังอะไร
ทว่าห้องด้านเหนือทางปีกตะวันตกยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีคนขานรับนาง
“ลูกรักของแม่ เ้ากลับมาแล้วหรือ?”
หลิวฉีซื่อไม่ได้สนว่าหลิววั่งกุ้ยจะสนใจนางหรือไม่ นางยังคงะโเรียก ขณะเดียวกันก็เยื้องย่างใกล้เข้าไป เมื่อถึงหน้าประตูห้องจึงใช้มือข้างที่กำผ้าเช็ดหน้าเคาะประตูเสียงเบา
ขณะนั้นประตูจึงเปิดออกจากด้านใน
ใบหน้าซีดขาวของหลิววั่งกุ้ยยังคงรูปโฉมงาม ความอ่อนแอนี้ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์
ชุ่ยหลิวที่อยู่ด้านหลังหลิวฉีซื่อเผยสีหน้าท่าทางสะดีดสะดิ้ง ดวงตาคู่สวยกลอกไปมา
“ท่านแม่!” หลิววั่งกุ้ยเปิดประตูและเรียกหานาง
หลิวฉีซื่อฟังแล้วเกิดความโมโห แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็ลูกแท้ๆ ดูเถิด บุตรชายของนางคงกลัวว่าความดื้อรั้นของตนเองจะทำให้ผู้เป็แม่เศร้าเสียใจ สุดท้ายจึงยอมเปิดประตูออกมา
แต่หลิววั่งกุ้ยหาได้คิดเช่นนี้จริงๆ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้
“ลูกรัก ให้แม่ดูหน่อยสิ โอ๊ย ผอมซูบไปไม่น้อย นางซุนซื่อตัวดี นางไม่ได้เรียกเ้าไปกินข้าวหรือ? ดูสิว่าเ้าอดอยากแค่ไหน ไม่เป็ไร เดี๋ยวแม่จะจัดการนางเอง”
ในสายตาของหลิวฉีซื่อ บุตรชายของตนผอมลงก็นับว่าเป็ความผิดของลูกสะใภ้อย่างหลิวซุนซื่อ
จากนั้นก็ย้อนนึกถึงชุ่ยหลิวที่หน้าตาสะสวยรูปร่างสะโอดสะอง คราวที่แล้ว นางจงใจให้บุตรชายคนรองได้เจอ เขาถึงกับมองจนตาค้าง ความคิดของหลิวฉีซื่อที่อยากยกชุ่ยหลิวให้เป็ภรรยาน้อยของเขาก็ยิ่งมีความเป็ไปได้
บุตรชายคนรองชอบใจ รอตรุษจีนค่อยหาโอกาสให้นางได้ไหลไปตามน้ำ
หลิวฉีซื่อที่กําลังคิดวางแผนจึงไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของบุตรชายคนที่สี่อย่างหลิววั่งกุ้ย เมื่อเขาเห็นชุ่ยหลิวครั้งแรกก็ตกอยู่ในภวังค์ เหมือนได้กลิ่นหอมเย้ายวนของดอกไม้ที่ผลิบาน รู้สึกเพียงเืในกายพลุ่งพล่านและเรียกร้องอะไรบางอย่าง?
นึกอยากจะผลักให้ล้มแล้วกดลงไป จากนั้นจัดการกินเ้าแกะตัวน้อยตรงหน้าสักที
หลิววั่งกุ้ยที่มักจะเข้าหอนางโลมกับเพื่อนร่วมรุ่น หาใช่คนที่มีความคิดใสซื่อ ตอนนี้เขาที่อายุสิบเจ็ด จึงรับรู้เื่ราวระหว่างชายหญิงมานานแล้ว
ชุ่ยหลิวเคยได้ยินหลิวฉีซื่อบอกว่า มีบุตรชายที่เล่าเรียนอยู่หนึ่งคน ตอนนี้เห็นท่าทางของเขาที่มีพร์ หน้าตาหล่อเหลา จึงหวั่นไหวไม่น้อย และนึกถึงหลิวเหรินกุ้ยที่พุงโย้ เมื่อเทียบกันแล้วในใจของชุ่ยหลิวก็เริ่มไม่ชอบใจกับแผนการของหลิวฉีซื่อ
เพียงแต่สัญญาขายของนางยังอยู่ในมือของหลิวฉีซื่อ นางจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
เมื่อรับรู้ถึงสายตาเร่าร้อนคู่นั้นที่มองมายังตัวนาง ชุ่ยหลิวเป็ใครกัน นางย่อมรู้ถึงความคิดของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ชุ่ยหลิวที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิวฉีซื่อ จึงทำท่าเขินอาย และยิ่งทำให้หลิววั่งกุ้ยนั้นจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เขาใจเต้นเพราะคนที่สวยงามสะโอดสะองเช่นนี้ดันมาอยู่ในบ้านเขา
ส่วนหลิวฉีซื่อยังคงบ่นอยู่ข้างๆ ขณะที่ในใจของหลิววั่งกุ้ยเกิดความรำคาญใจเล็กน้อย ไม่เห็นหรือว่าเขากำลังหยอกล้อเด็กสาวตรงหน้า?
ช่างเป็หญิงชราที่ไม่ดูตาม้าตาเรือจริงๆ!
ไม่ว่าหลิวฉีซื่อจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ก็ปฏิบัติต่อหลิววั่งกุ้ยด้วยความจริงใจ นางไม่รู้เลยว่าความรักสุดซึ้งของตนที่ให้ไปนั้น กำลังถูกตอบแทนด้วยความดูแคลนของบุตรชาย
หากนางรู้เข้าคงโมโหลมชักตายคาที่
“เอาเถิด ท่านแม่ ข้าเพิ่งกลับมารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ข้าขอตัวพักผ่อนก่อน”
หลิววั่งกุ้ยไม่ได้บอกหลิวฉีซื่อถึงสาเหตุที่เขากลับมาบ้านล่วงหน้าก่อนตรุษจีน
เดิมทีเขาอยู่ในสถาบันเดียวกันกับหลิวจื้อไฉ แต่คิดไม่ถึงว่าหลิวจื้อไฉจะสามารถสอบผ่านถงเซิงได้ั้แ่อายุเก้าขวบ หากไม่มีการเปรียบเทียบก็จะไม่เกิดการทำร้ายกัน
เขาเองก็ดีใจแทนหลานชายอย่างหลิวจื้อไฉ เพราะถึงอย่างไร นี่ก็คือการพิสูจน์ว่าเชื้อสายของตระกูลหลิวนั้นดีและมีวาสนา!
เพียงแต่เพื่อนร่วมรุ่นของเขาเป็พวกชอบสร้างเื่ บางคนโตกว่าเขาถึงสิบเอ็ดสิบสองปี บางคนก็มีภรรยาและลูกแล้ว เดิมทีที่พวกเขายอมรับในตัวหลิววั่งกุ้ยก็เพราะเขาสอบผ่านถงเซิงตอนอายุสิบสอง ซึ่งก็นับว่าเป็เื่ปกติสำหรับวัยนี้
หลิวจื้อไฉเรียนปฐมวัยเช่นเดียวกับหลิววั่งกุ้ย ส่วนใหญ่ก็เริ่มเรียนกัน่สามถึงสี่ขวบ แต่สามารถสอบผ่านถงเซิงั้แ่เก้าขวบ นับว่ามีพร์ด้านการเรียนพอสมควร
คนเหล่านี้ไม่รู้ว่ายังมีหลิวซานกุ้ยที่มีความจำดี ไม่ลืมในสิ่งที่เห็น หากรู้เข้า ไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบทางจิตใจจนทำให้เกลียดชังการเรียนหรือไม่?
พวกเขาชิงชังหมั่นไส้ตระกูลหลิวที่มีแต่คนเล่าเรียนได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังอายุแค่เก้าขวบ
กระนั้นจึงหาเื่ทำให้หลิววั่งกุ้ยเกิดความขมขื่น “วาสนาบ้านของเ้าช่างดีนัก เ้าได้เป็ถงเซิงตอนสิบสองขวบ หลานชายเ้าเก่งยิ่งกว่า เก้าขวบก็ได้เป็แล้ว จากการเล่าเรียนของเขาเช่นนี้ ต่อไปอาจจะได้เป็เขยแห่งเชื้อพระวงศ์ก็เป็ได้”
“เฮอะๆ วั่งกุ้ย เดิมทีเ้าเป็คนที่เรียนดี ใครเล่าจะรู้ว่า หลานชายเ้าเก่งกาจกว่าอีก”
นี่เป็การตบหน้าเขาอย่างจัง
“ใช่ หลิววั่งกุ้ย ข้าดูไม่ออกจริง ที่แท้หลานชายวัยเก้าขวบของเ้ากลับมีความรู้ทัดเทียมกับเ้าจนเคียงบ่าเคียงไหล่ได้ ช่างมีพร์เหลือเกิน”
นี่เป็การแทงเขาด้วยมีดอีกครั้งหนึ่ง
“หลิวจื้อไฉมีความตั้งใจในการเล่าเรียนกว่าอาของเขามากนัก ตอนที่เขามัวแต่เที่ยวเล่นกับพวกเ้า หลานชายของเขากำลังอ่านตำราอย่างใจจดใจจ่อ!”
ตามด้วยการเหยียบย่ำซ้ำเติม
หลังจากที่ตบหัวเสร็จก็ลูบหลังต่อโดยการบอกว่า ชื่นชมตระกูลหลิวที่มีวาสนา ลูกหลานแต่ละคนเรียนดีกันทั้งนั้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลิววั่งกุ้ยได้เปลี่ยนความภาคภูมิใจก่อนหน้านี้เป็ความเกลียดชังที่อยากจะบีบคอหลิวจื้อไฉให้ตาย อารมณ์นั้นหดหู่ราวกับตกจาก์ลงไปสู่ขุมนรก
เขายังคงมีสติอยู่บ้าง จึงไม่ได้บอกหลิวฉีซื่อเื่นี้
แต่หลังจากที่บอกให้หลิวฉีซื่อออกไปแล้ว
ชุ่ยหลิวมองหลิววั่งกุ้ย
หลิววั่งกุ้ยสบตากับชุ่ยหลิว
ฝ่ายช่ายหวั่นไหว ฝ่ายหญิงก็เช่นกัน
“ฮูหยิน ข้าว่าคุณชายสี่หน้าตาดูไม่ค่อยดี คงเพราะเรียนหนักเกินไปหรือไม่?” ชุ่ยหลิวยังนึกถึงหลิววั่งกุ้ย จึงพยายามคิดหาโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น
หลิวฉีซื่อไม่รู้ความคิดของชุ่ยหลิว เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็เอื้อมมือของชุ่ยหลิวมาแล้วตบหลังมือนางเบาๆ
“ลูกชายของข้าหรือ โชคดีที่ข้าไม่ได้เอ็นดูเ้าอย่างเปล่าประโยชน์ เ้าละเอียดอ่อนนัก ก่อนหน้านี้ข้ามัวแต่กังวลว่าเหตุใดเขาจึงกลับบ้านเร็วกว่าปกติ กลัวว่าเขาจะถูกรังแกแล้วหนีกลับมา พอเ้าพูดเช่นนี้ ข้าเองก็ละเลยไป อีกเดี๋ยวเชือดแม่ไก่มาตุ๋นแล้วใช้ไฟอ่อนต้มหลายชั่วยามหน่อย จากนั้นยกไปให้เขาดื่ม”
ชุ่ยหลิวก้มศีรษะอย่างเคารพแล้วตอบ “ฮูหยิน เื่นี้ไม่เห็นต้องให้ท่านลงมือเองเลย รับสั่งข้าน้อยก็พอ ข้าน้อยจะปรนนิบัติให้ฮูหยินพักผ่อน แล้วไปจับไก่มาเชือด ฮูหยินวางใจได้ ข้าน้อยจะเฝ้าอยู่หน้าเตาตลอด ไม่ให้ใครมาแอบฉวยโอกาสได้”
นางกำลังเตือนหลิวฉีซื่อว่าไม่ควรให้ใครสักคนฉวยโอกาสทำร้ายหลิววั่งกุ้ย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชุ่ยหลิวก็คือหลิวฉีซื่อในอดีต เวลามองใครก็มักจะมองในแง่ร้ายก่อนเสมอ
หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าการพานางกลับมานั้นนับว่าเป็โชค เพราะนางทั้งใส่ใจและละเอียดอ่อน
“ลูกชายของข้า เ้าวางใจได้ แม้ว่าลูกรองข้าจะแต่งงานมีเมียแล้ว แต่หลานชายข้าก็ไม่ได้ชื่นชอบ เดิมทีก็ดีๆ อยู่ แต่ใครเล่าจะรู้ พออ้าปากก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็ความจริง”
ชุ่ยหลิวเพียงหัวเราะอยู่ด้านข้าง นางเคยได้ยินหลิวฉีซื่อเอ่ยถึงซุนซื่อหลายครั้ง
ครอบครัวของซุนซื่อนั้นนับว่าพอมีอันจะกิน ในมือมีที่นาเป็สินเ้าสาวหลายไร่ มิน่าตระกูลหลิวจึงมีความแข็งแกร่งเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ใช่คนที่ชอบพูดความจริง เวลามีความสุขก็หลอกล่อให้หลิวฉีซื่อดีใจ เวลาไม่พอใจก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
ช่างสมกับเป็บุตรสาวคนขายเนื้อ พอมีเื่ขึ้นมาก็ไม่ได้นึกถึงความสัมพันธ์เดิมเลยแม้แต่นิดเดียว
“ท่านพี่ เมื่อครู่ข้าเห็นชุ่ยหลิวเข้าไปในห้องของอาสี่” หลิวเต้าเซียงนึกประหลาดใจ ชุ่ยหลิวที่สูงส่งเหตุใดจู่ๆ จึงขยันหมั่นเพียรปานนั้น
หลิวชิวเซียงหันหลังกลับและถามว่า “จริงหรือ? นางคิดจะทำอะไร?”
“ไม่มีสิ่งใดกระตุ้นความขยันหมั่นเพียรได้ นอกเสียจากเื่ของความโลภ เรารอดูกันไปเถิด” หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าเื่นี้มีกลิ่นตุๆ
ชุ่ยหลิวคนนั้นไม่ใช่คนที่ว่านอนสอนง่าย
“หรือไม่ เราลองไปดู?” หลิวชิวเซียงวางเข็มในมือลง แล้วกะพริบตาคู่กลมโต ซึ่งตอนนี้กำลังมีไฟปะทุอยู่อย่างร้อนแรง
เป็ความคิดที่ดี สองพี่น้องเห็นพ้องต้องกัน จึงจับมือกันเดินอ้อมไปด้านหลังห้องปีกตะวันตก
ดี ไปแอบฟังกันเถอะ!
“คุณชายสี่ ข้าน้อยเห็นใบหน้าของคุณชายซีดเผือด เห็นทีคงเหนื่อยกับการเล่าเรียน จึงไปจับแม่ไก่ที่อายุมากกว่าหนึ่งปีมาตุ๋นไว้ น้ำแกงไก่นี้ตุ๋นไปสองชั่วยามเชียวนะเ้าคะ”
เสียงที่ละเอียดอ่อนและนุ่มนวลนั้นทำให้คนที่ได้ยินถึงกับท้องไส้ปั่นป่วน ช่างเป็หญิงสาวที่อ่อนช้อยออกมาจากกระดูก
ขอเพียงเป็ผู้ชาย ก็ควรพ่ายแพ้ให้กับดอกบัวขาวที่บอบบางเช่นนาง
หลิววั่งกุ้ยก็ไม่มีข้อยกเว้น ครั้งแรกที่เขาเห็นชุ่ยหลิวก็เกิดหลงรัก ตอนนี้เมื่อนางส่งอาหารมาให้ด้วยตัวเอง จึงเข้าใจว่ามารดาของตนอนุญาตแล้ว
เขาเอื้อมมือไปััมือเล็กๆ ที่นวลเนียน ปลายนิ้วมือส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจจนเขาใจเต้นระส่ำ
หลิววั่งกุ้ยนั้นแท้จริงแล้วเล่าเรียนไม่ได้เื่ แต่ชอบเสแสร้ง
-----
