อ๋องปีศาจ...
แม่ทัพหญิงอำมหิต...
เพียงย่างกรายออกมาจากรังจำศีล
หนึ่งวาจาทำให้สนมเอกต้องลงจากตำแหน่ง
หนึ่งวาจาทำให้องค์ชายที่กำลังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ต้องพ่ายแพ้
และอีกหนึ่งวาจาได้พิพากษาบทลงทัณฑ์อันะเืเลื่อนลั่น ทำให้บรรพบุรุษอีกเก้าชั่วโคตรของฏต้องถูกขุดขึ้นมาปะา
แอ๊ด...
เสียงประตูบานใหญ่เบื้องหน้าที่ถูกปิดตายเป็เวลานานเปิดออกอย่างช้าๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าประตูใหญ่จวนอิงกั๋วกงไม่ได้เปิดออกเป็ระยะเวลานานแล้ว กล่าวได้ว่าประตูใหญ่ของจวนจะเปิดออกก็ต่อเมื่อมีพระราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ หรือเป็ยามที่อิงกั๋วกงต้องออกไปทำศึกใหญ่เท่านั้น เมื่อบานประตูถูกเปิดออก ก็มองเห็นผู้ที่ยืนอยู่เื้ัอย่างชัดเจน เป็สตรีวัยกลางคนรูปร่างผอมบางคล้ายกับว่าเ้าตัวเพิ่งจะพื้นตัวจากอาการป่วยมาได้ไม่นาน ทว่านั้นก็มิอาจปิดบังราศีของสตรีผู้สูงศักดิ์ของนางได้
สตรีผู้นั้นคือหลินหว่านอวี๋ มารดาผู้ให้กำเนิดเฉินอี้นั่นเอง
หลินซื่อก้าวผ่านประตูที่เปิดกว้างออกมาอย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวของนางล้วนมั่นคงหนักแน่น สายตาของนางลอบสำรวจผู้มาเยือนอย่างถี่ถ้วน เื่ราวภายในจวนและข่าวสารภายนอกนั้นนางล้วนรับรู้มาไม่น้อย แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตนเองว่าบุคคลที่เป็ที่กล่าวขานในยามนี้กลับไม่เป็ดังที่นางคิด
นี่หรือคือบุคคลที่นำทัพกรำศึกอย่างห้าวหาญ นางแต่งเข้าตระกูลแม่ทัพย่อมรู้ซึ้งถึงความยากลำบากของการเป็ทหาร แต่ที่นางไม่เข้าใจก็คือเหตุใดคนเป็พ่อแม่ถึงได้ยินยอมให้บุตรสาวที่งดงามราวกับไข่มุกต้องมาทนแบกรับหน้าที่ของบุรุษเช่นนี้ ดูเอาเถิดใบหน้าเล็กๆนั่นเห็นได้ชัดว่างดงามราวกับเทพปั้นแต่ง สมควรที่จะถนอมไว้กลางฝ่ามือดั่งไข่มุกล้ำค่าถึงจะถูก
หากนางมีบุตรสาวที่งดงามเช่นนี้...
“หลินซื่อคาราวะซางหยางอ๋อง”นางหลินรีบสลัดความคิดที่อยากจะได้บุตรสาวของผู้อื่นมาออกไป แล้วประสานมือย่อเข่าทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย
“ฮูหยินไม่ต้องมากพิธี ยามนี้ท่านกั๋วกงยังเข้าเฝ้าฝ่าาอยู่ที่ห้องทรงอักษรข้ามารบกวนโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าหวังว่าฮูหยินคงไม่ถือสา”ซ่างกวนจือหลินกล่าวกับสตรีตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย ์เท่านั้นที่รู้ ว่านางไม่รู้จะพูดสิ่งใดกับท่านป้าผู้นี้จนลนลานไปหมดแล้ว!
“ท่านอ๋องให้เกียรติมาเยือนถึงจวนจะถือเป็การรบกวนได้เช่นไร เชิญท่านอ๋องเข้าไปนั่งพักดื่มชาดับกระหายด้านใน อีกไม่นานท่านกั๋วกงคงกลับมา”หลินซื่อเชื้อเชิญผู้สูงศักดิ์ด้วนท่าทางเป็มิตร
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”
ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในจวนอย่างไม่รีบร้อน ส่วนตงเอ๋อร์นั้นก็เดินห่างออกไปหลายก้าว ในมือของนางถือกล่องใบหนึ่งเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามของหลินฮูหยินได้แต่ลอบสำรวจอยู่เงียบๆ จะต้องเป็ของล้ำค่าควรเมืองอย่างแน่นอน!
จวนอิงกั๋วกงแม้ได้ชื่อว่าเป็จวนแม่ทัพทว่าการตกแต่งภายในไม่ได้ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น มันแฝงไปด้วยกลิ่นไอของปัญญาชน พาให้คนที่มาเยือนรู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว เดินมาไม่นานก็ถึงเรือนหลักส่วนหน้าที่ใช้รับรองแขกของท่านกั๋วกงโดยเฉพาะ เ้าบ้านและแขกต่างนั่งลงขณะเดียวกันก็มีสาวใช้ยกนำชาเข้ามา
“ท่านอ๋อง...”
“ฮูหยินอย่าเรียกท่านอ๋องอีกเลยเ้าค่ะ จือหลินยังไม่ปักปิ่นเป็ผู้เยาว์จะให้ผู้ใหญ่มาแสดงความเคารพออกจะขัดเขินอยู่บ้าง”ซ่างกวนจือหลินดื่มชาเข้าไปอึกใหญ่รู้สึกร่างกายอุ่นขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวเอ่ยขัดมารดาของเฉินอี้ด้วยความเกรงใจที่น้อยครั้งเ้าตัวจะมีมันให้กับคนที่พบหน้ากันครั้งแรกเช่นนี้
“ยัยหนู!ชานั่นเพิ่งต้มมาใหม่ยังร้อนอยู่เ้าดื่มไปได้เช่นไร! ป้าหวังเอาป้ายของท่านผู้เฒ่าไปเชิญหมอหลวงมา”ด้วยความร้อนรนระคนเป็ห่วงสาวน้อยตรงหน้าจึงทำให้เฉินฮูหยินเผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยความสนิทสนม จนไม่ทันสังเกตแววตาอันสั่นระริกของเด็กสาว
“เ้าค่ะฮูหยิน”ป้าหวังรับคำสั่งแล้วหมุนกายออกไปอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ...”กว่าที่ซ่างกวนจือหลินจะตื่นจากภวังค์คนก็จากไปไกลแล้ว จึงได้แต่นิ่งเงียบด้วยความจนใจ น้ำชานั่นมันร้อนตรงไหนกัน ได้รับความใส่ใจเช่นนั้นเล่นเอาหญิงสาวทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
ก่อนที่เฉินฮูหยินจะได้ลุกมาดูอาการคนเจ็บฉับพลันก็มีเงาร่างสายหนึ่งเคลื่อนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ร่างสูงใหญ่ของผู้มาเยือนบดบังร่างเล็กของนางจนมิด หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสบตาของเขานิ่ง
นิ้วแกร่งเลื่อนมาเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นอีกเล็กน้อย
“อ้าปาก”แม้จะเป็คำพูดห้วนๆ ที่แฝงไปด้วยโทสะนิดๆ แต่คนตัวเล็กก็ไม่ได้นำมาใส่ใจ ทำตามคำสั่งนั้นแต่โดยดี ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อค่อยๆ เผยอออก ั์ตาสุกใสเปล่งประกายราวกับถูกใจเป็หนักหนา
เฉินอี้มองข้ามสายตาวาวอย่างเด็กน้อยที่เจอของเล่นชิ้นโปรดนั่น หันมาสำรวจว่าเ้าเด็กดื้อโดนน้ำร้อนลวกจนเป็แผลหรือไม่ ในใจนึกคาดโทษที่นางทำสิ่งใดไม่ระมัดระวังอยู่เรื่อย ปลายนิ้วแกร่งหมุนคลึงเนื้อนวลด้วยความเผลอไผลโดยไม่รู้ว่ายามนี้ภายในห้องโถงต่างเงียบงันจนน่ากลัว
“เฉินอี้ปล่อยมือ!!”
เสียงตวาดดังก้องไปทั่วห้องโถง ด้านคนก่อเรื่อไม่แม้แต่กระพริบตาด้วยซ้ำ กลับเป็เ้าเด็กดื้อที่ใสะดุ้งตัวโยน นางก้มศีรษะต่ำมองปลายเท้าของตนเองห่อไหลเล็กน้อย ช่วยเรียกคะแนนสงสารได้ท่วมท้น
ตัวแสบ
“ท่านแม่จะเสียงดังไปใย ไม่เห็นหรือว่าทำน้องใ”เฉินอี้หันไปกล่าวกับมารดาหน้าตาย ทำราวกับว่าตัวเขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิด
“ยังจะพูดอีก! เราเป็พี่จะมารังแกน้องได้เช่นไรดูสิ... อย่ากลัวไปเลยนะเดี๋ยวป้าจะสั่งสอนพี่เขาให้เองดีหรือไม่”เฉินฮูหยินไม่เพียงแต่พูดแต่ยังลงมือฟาดแขนบุตรชายหน้าตายไปหนึ่งที นางนั่งลงเก้าอี้ข้างเด็กสาวพูดปลอบนางอยู่หลายคำ เห็นนางไม่ตอบก็คิดว่านางาเ็จนพูดไม่ได้ นั่นยิ่งทำให้นางร้อนใจยิ่งขึ้น ผิวเนื้อของเด็กสาวๆ นั้นบอบบางยิ่งนัก
เฉินอี้ได้แต่แค่นเสียงอย่างเ็า นั่งลงขนาบข้างนางเป็การคุมเชิงในที ท่านแม่...ข้ารังแกบุตรสาวบ้านท่านหรือ?
ก็เห็นว่ายายหนูนี่เป็จิ้งจอกห่มหนังแกะน้อยแสนบอบบาง...ท่านเห็นตอนน้องสาวตัวน้อยตัดหัวศัตรูหรือไม่?
เฉินอี้เลิกคิ้วสีหน้าแปลกใจ อะไรกันสาวน้อย...ยังไม่ทันแต่งเป็ภรรยาพี่เหตุใดถึงทำท่าทีราวกับอ่านใจกันได้เช่นนั้นเล่า คนที่โดนเตะน่องโดยมิทันตั้งตัวได้แต่คร่ำควรด้วยสีหน้าหยอกเย้า เห็นนางทำท่าจะเตะซ้ำเขาก็รีบชักขาหลบทันที
ซ่างกวนจือหลินได้แต่ลอบถลึงตาใส่เ้าคนกวนประสาทผู้นี้
ไหลล่ะบุรุษเ็าสุขุม อิงกั๋วกงผู้แสนเ็าถูกสุนัขคาบไปกินแล้วหรือ?
ด้านเฉินฮูหยินได้แต่แสร้งทำเป็ไม่เห็นเหตุการณ์ประทะเล็กๆ น้อยๆ ของเด็กทั้งสอง ความจริงยามนี้มีแต่์เท่านั้นที่รู้ว่านางตื่นเต้นมากเพียงใด บุตรชายที่นิสัยแข็งทื่อเป็ท่อนไม่ยามนี้รู้จักหยอกเย้าสตรีแล้ว
อีกไม่นานนางก็จะได้เป็ย่าคนกับเขาเสียที…
“แค่กๆ อะอืม...แขกจากที่ใดมาเยือนรึ?”เสียงไอโขลกๆ ดังขึ้นขัดจังหวะบุคคลในห้องโถงได้ชะงัก ท่านอิงกั๋วกงผู้เฒ่าปรากฏตัวพร้อมกับบุตรชายบัณฑิตของเขา หนึ่งดุดันน่าเกรงขามแผ่กลิ่นอายขุนศึกที่กรำศึกมาทั้งชีวิต อีกหนึ่งลักษณะภูมิฐานคงแก่เรียนดูเป็ปัญญาชนผู้สูงส่ง มีเหตุผลไม่มากที่สองพ่อลูกจะปรากฏตัวพร้อมกัน ถ้าหากมิใช่ท่านผู้เฒ่าลากบุตรชายบัณฑิตให้ติดตามไปรับมือกับพวกขุนนางฝ่ายบุ๋น ก็คงเป็บุตรชายบัณฑิตเป็ฝ่ายลากบิดาผู้แก่ชราไปไปข่มขวัญสหายวัยเด็กที่บัดนี้เป็แม่ทัพนายกองอยู่หลายคน
สองพ่อลูกต่างพึ่งพาอาศัยกัน รักใคร่กลมเกลียว
แค่กๆ นอกเื่แล้ว...
“หลานซ่างกวนจือหลินคารวะท่านปู่”คนที่เมื่อครู่กำลังนั่งก้มหน้ามองพื้นอย่างสงบเสงี่ยมลุกขึ้นไปคุกเข่าเบื้องหน้าชายชราทันที
“ดีๆ รีบลุกขึ้นๆ นางหนูอย่าได้ทำเหมือนปู่เป็คนอื่นเช่นนี้”ชายชรารีบประคองเด็กสาวขึ้นมาแทบจะทันที เมื่อคนทั้งหมดนั่งลงประจำที่แล้วป้าหวังที่ไปเชิญหมอหลวงก็กลับมา
“ขออนุญาตนายท่านทั้งหลายเ้าค่ะ หมอหลวงมาถึงแล้ว”
“รีบเชิญท่านหมอเข้ามา ท่านพ่อก่อนจะพูดคุยให้ท่านหมอตรวจท่านแม่ทัพน้อยก่อนนะเ้าคะ เมื่อครู่นางซดน้ำชาร้อนลงไปครึ่งถ้วย สะใภ้เห็นแล้วคงาเ็ไม่น้อย”
“เช่นนั้นนางหนูให้หมอตรวจสักหน่อย”ท่านผู้เฒ่าพยักหน้าเห็นด้วยเต็มที่ พลางส่งสายตาให้หัวหน้าหมอหลวงไป๋
“รับกวนท่านอ๋องยื่นมือออกมา”ชายชรากล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม เมื่อเห็นว่าผู้ป่วยยื่นมือออกมาเขาก็เริ่มจับชีพจรทันที ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ยังตรวจลึกลงไปใบหน้าอันแก่ชราของเขาก็ยิ่งยับย่นจนไม่น่าดูมากเท่านั้น เม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วใบหน้า ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
“ข้าน้อยขอเรียนถามท่านอ๋อง น้ำชาที่ท่านดื่มลงไปให้ความรู้สึกเช่นไร?”
“อุ่น อุ่นจนรู้สึกบายยิ่ง”ซ่างกวนจือหลินตอบคำถามไปตามความจริง แม้ในใจจะรู้ซึ้งถึงอาการของตนเองแต่เ้าตัวก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจกับมันเท่าใดนัก
“ผู้น้อยไร้ความสามารถ ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษ!”ราวกับคำตอบของซางหยางอ๋องช่วยยืนยันข้อวินิจฉัยในใจของเขา นั่นเหมือนเขาได้รับรู้ความลับของอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว
“อย่ากล่าวโทษตนเอง ข้ารู้สถานการณ์ของตนเองเป็อย่างดี...หมอหลวงไป๋ข้าจำชื่อเ้าได้ เอาล่ะท่านกลับไปได้แล้ว”
“ขะขอ รับ ทุกท่านข้าขอลา”หมอหลวงไป๋จากไปด้วยท่าทีแข็งเกร็ง ที่ว่าท่านจำชื่อของข้าได้นั่นหมายความว่าเช่นไรเหตุใดเขาจะไม่เข้าใจ ข้าจำชื่อเ้าเอาไว้แล้ว หากความลับนี้แพร่งพรายออกไป อย่าว่าแต่ร่างแก่ๆของเขาจะหายไปตลอดกาลเลย แม้กระทั่งวงศ์ตระกูลคงไม่มีเหลือ!
“นางหนูอาการหนักมากเลยหรือ?”เฉินปินถามหญิงสาวด้วยความห่วงใย
“ไม่ถือว่าหนักหนาเ้าค่ะ เพียงแค่ผลสะท้อนกลับจากการสร้างค่ายกลเท่านั้น”ซ่างกวนจือหลิน ตอบกลับด้วยท่าทีไร้กังวล ราวกลับว่าการมีชีวิตเหลืออีกหนึ่งปีมิได้มีผลกระทบใดๆ กับนางแม้แต่น้อย
“นั่นมัน...เอาเถิด แล้ววันนี้เ้ามาหาปู่ถึงจวนมีเื่อันใดหรือ”ท่านผู้เฒ่าทำท่าจะพูดบางอย่างออกมาแต่เมื่อมองเห็นว่ามีคนอยู่มากก็กลืนคำพูดนั้นลงไป เปลี่ยนบทสนทนาทันที
“อ้อ... หลานเกือบลืมเื่นั้นไปเสียสนิทเลยเ้าค่ะ วันนี้ที่มาด้วยมีหัวใจมามอบให้”ประโยคแรกหญิงสาวยังมองหน้าท่านผู้เฒ่าอยู่ แต่ประโยคหลังเ้าตัวกลับผินหน้าไปทางชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่กำลังนั่งจ้องมาที่นางตาไม่กระพริบ
“หัวใจ?”เฉินปินถามอย่างมิใคร่แน่ใจในสิ่งที่ตนได้ยินนัก
“ผู้นำตระกูเฉิน เฉินปิน วันนี้ทายาทตระกูลซ่างกวนรุ่นที่53 มาเยือน ขอให้ท่านเปิดศาลบรรพชนตระกุลเฉินเพื่อให้ข้าได้ทำความเคารพวีระบุรุษผู้ล่วงลับ”ซ่างกวนจือหลินไม่ปล่อยให้เกิดความสงสัยนานนักก็แจ้งจุดประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้
“เป็เกียรติของตระกูลเฉินที่ได้ต้อนรับขุนศึกจากตระกูลพี่น้องร่วมรบ ถ่ายทอดคำสั่งเปิดศาลบรรพชน!”
สิ้นเสียงอันก้องกังวานของท่านอิงกั๋วกง คำสั่งถูกถ่ายทอดออกไปเป็ทอดๆ รวมพลเหล่าทหารกล้าที่ประจำการอยู่ที่จวนออกมาทั้งหมด คนทั้งตระกูลสายหลัก และสายรองที่เป็ขุนศึกในกองทัพต่างก็ถูกเรียกมารวมตัวกัน คนทั้งหมดเรียงแถวกันเป็กองธงเกียรติยศ จากด้านหน้าเรือนรับรองยาวไปจนถึงโถงบรรพชนตระกูลเฉิน ระเบียบทางการทหารนั้นเคร่งครัด ทุกคนยืนตัวตรงสีหน้าหนักแน่น แม้ในใจจะมีคำถามมากมายทว่าพวกเขาก็มิได้แสดงสีหน้าอื่นใดนอกจากความสงบนิ่ง
ผู้นำตระกูลเฉิน ท่านทายาท และคนในตระกูลสายหลักต่างเดินเรียงแถวมุ่งหน้าไปยังศาลบรรพชนที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจวน ที่เดินเคียงข้างท่านอิงกั๋วกงอยู่นั้นคือซางหยางอ๋อง อ๋องคนใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา ในมือของท่านอ๋องถือประคองกล่องไม้ใบเล็กเอาไว้
ภายในศาลบรรพชน
ยามนี้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า โคมไฟถูกจุดขึ้นมาจนสว่างไสวไปทั่วจวน สตรีเส้นผมสีเงินสวมชุดเกราะบัดนี้กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าป้ายิญญาป้ายหนึ่ง ‘เฉินอี้คุน’
ห้าสิบปีก่อน เฉินอี้คุน ผู้นำตระกูลเฉินรุ่นที่51 สิ้นชีพกลางสมรภูมิ เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทหารสูญสิ้นกำลังใจ บ้านเมืองอยู่ในภาวะระส่ำระส่าย ทายาทผู้สืบทอดขึ้นรับตำแหน่งในวัยเพียงสิบหกปี ทายาทผู้นั้นก็คือผู้นำตระกูลรุ่นที่52ในยามนี้ เฉินปิน
“ท่านทวด หลานซ่างกวนจือหลิน วันนี้มีความกล้ามาสู้หน้าท่านแล้ว...”
เสียงหวานใสทว่าเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นเปล่งออกมาดังกังวาน เพราะใช้พลังยุทธช่วยเสริมจึงทำให้ผู้คนด้านนอกได้ยินไปด้วย
“ห้าสิบปีก่อนเพราะความล่าช้าของตระกูลซ่างกวนจึงทำให้ท่านตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก นี่คือตราบาปที่ยากจะชดใช้ วันนี้ผู้เยาว์ขอใช้หัวใจของอดีตรัชทายาทแคว้นเหลียวมาเซ่นสังเวยให้ดวงิญญาของท่าน!
ท่านทวดซ่างกวนละสังขารจากโลกใบนี้ไปด้วยใจที่ยังมีห่วง วันนี้หลานสาวบรรลุเจตนารมณ์ของผู้ล่วงลับทั้งสอง ตัดหัวทายาทตระกูลเย่ว์ลู่ที่พวกมันภาคภูมิใจที่สุด ควักหัวใจมันออกมา กวาดล้างพวกมันทั้งตระกูลให้สิ้นซาก!
ท่านทวดทั้งสอง ขอให้ท่านจากไปอย่างสงบ...”
ขอให้ท่านจากไปอย่างสงบ!
ทุกคนะโก้องอย่างพร้อมเพรียง ความคับแค้นใจที่สั่งสมมาถึงห้าสิบปีบัดนี้ได้รับการปลอบประโลม โดยเฉพาะท่านอิงกั๋วกงผู้เฒ่า ชายชราถึงกับคุกเข่าหมอบกราบหน้าป้ายิญญาของผู้เป็บิดาหลั่งน้ำตาเงียบๆ
ซ่างกวนจือหลินค่อยๆท่องคำสั่งเสียของท่านทวดซ่างกวนออกมาต่อหน้าป้ายิญญาของทหารร่วมรบ จะเรียกว่าเป็คำสั่งเสียก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เรียกว่าเป็บทความสดุดีแด่เพื่อนทหารที่เป็ดั่งพี่น้องร่วมสายเืมากกว่า
‘...ใบหน้ามักแสดงออกถึงชีวิตที่ผ่านมาของคนคนนั้น
คราแรกที่พานพบหน้าตาของเ้าช่างสุภาพ ไม่เหมือนบุรุษที่เติมโตมาจากจวนแม่ทัพ ข้ารู้ว่าเ้าเติบโตมาอย่างดี
ทุก่เวลาในชีวิตมนุษย์ มักจะต้องมีเื่ที่ต้องตัดสินใจอยู่เสมอ
และการตัดสินใจที่มากมายนั้น...จะหลอมรวมจนกลายเป็ชีวิต
การตัดสินใจเมื่อครั้งเยาว์วัยของเ้านั้น...ช่างสูงส่ง
แม้จะต้องสูญเสียสิ่งใดไปมากมาย แม้จะต้องแลกมาด้วยชีวิต
ทว่าการเสียสละของเ้าได้ปกป้องผู้คนมากมาย
การเสียสละของเ้าในวันนั้น ทำให้ลูกหลานอยู่อย่างสงบสุขในวันนี้
ขอบคุณที่ช่วยปกป้องชีวิตของผู้คนนับไม่ถ้วน
ขอโทษ...’
“สิ่งที่ข้าจะทำได้ในตอนนี้... มีเพียงนำเกียรติยศ ศักดิ์ศรีที่ท่านเคยถูกลบหลู่กลับคืนมา ข้าขอใช้หัวใจดวงนี้เพื่อชำระแค้น เพื่อประกาศให้ทั้งใต้หล้ารู้ หลี่ เฉิน ซ่างกวน สามตระกูลหวนกลับคืนสู่หน้าประวัติศาสตร์
จากนี้มันผู้ใดที่กล้าคิดแผนร้ายก็ต้องทบทวนให้ดี
ข้าให้จะเหล่าแคว้นที่คิดไม่ซื่อต้องหวาดผวายามนึกถึงแคว้นต้าซ่ง!”
ฉึก!
มีดสั้นปักลงไปบนหัวใจที่ถูกบรรจุอยู่ในกล่องอย่างแรง สายลมยามค่ำคืนพัดโหมราวกับจะตอบรับคำสัตย์สาบาน ทุกคนต่างคุกเข่าลงสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ถ้วยสุราถูกยกขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
เพื่อต้าซ่ง!
เพื่อวงศ์ตระกูล!
มือเล็กที่กำรอบมีดสั้นค่อยๆ คลายออกอย่างช้าๆ ร่างเล็กที่แบกชุดเกราะอันหนักอึ้งโอนเอนไปมาเล็กน้อย ก่อนที่สติสุดท้ายของซ่างกวนจือหลินจะดับไป นางได้ยินเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกแว่วมา