“นี่มัน...” ทุกคนต่างใกับพลังมิติที่ลำแสงนั้นปลดปล่อยออกมา
“นี่คือแสงนำทางงั้นหรือ?” ทุกคนครุ่นคิดอยู่ในใจ จากนั้นพวกเขาไปรวมตัวที่ลำแสงนั้นอยู่
“ทั้งแปดคนผ่านการทดสอบของหุบเขาเทียนเสวียนแล้ว เมื่อผ่านลำแสงนี้ก็จะกลับไปยังสำนักยุทธ์” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นฉับพลันราวกับมาจากฟากฟ้า
ดวงตาของทุกคนพลันกลายเป็แหลมคม นี่เป็ไปตามที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ จากนั้นทุกคนต่างก้าวไปยังศูนย์กลางของลำแสง ทันใดนั้นพลังมิติก็ห่อหุ้มร่างกายของพวกเขา นาทีต่อมาทุกคนถึงรู้สึกว่าวิสัยทัศน์ของตนดับมืดและวิงเวียนศีรษะ ราวกับว่ากำลังแล่นทะยานอยู่ในโลกอันมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด เมื่อพวกเขารู้สึกว่าร่อนลงถึงพื้น ก็พบว่าตัวเองกลับมาที่ทางเข้าหุบเขาเทียนเสวียนแล้ว ทั้งยังมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเฝ้ารออยู่
“ออกมาแล้ว! แปดคนนี้ผ่านการทดสอบจากหุบเขาเทียนเสวียน ดูเหมือนว่าจะมีน้อยคนนักที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน พวกเขาคือผู้มีพร์อย่างแท้จริง” สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมายังคนทั้งแปด พวกเขามาจากแต่ละสำนักยุทธ์เพื่อมาดูความครึกครื้นของที่นี่ บ้างก็เป็ผู้แพ้จากการเข้าร่วมการทดสอบและใช้ยันต์เคลื่อนย้ายออกมา
แต่ตอนนี้ทุกสายตามองไปยังเย่เฟิงและอีกเจ็ดคนด้วยสายตาเป็ประกาย พวกเขาอยากเห็นว่าอัจฉริยะแบบไหนที่สามารถผ่านการทดสอบของหุบเขาเทียนเสวียนที่รายล้อมไปด้วยอันตรายที่ไร้สิ้นสุด
ไป๋หลิงและซุนจิ้งก็อยู่ในฝูงชนเช่นกัน เมื่อพวกนางเห็นเย่เฟิงในกลุ่มแปดคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ พวกนางไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะเป็ความจริง แต่ความจริงก็ปรากฏตรงหน้าพวกนางแล้ว พวกนางไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เย่เฟิงคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ทั้งยังผ่านการทดสอบของหุบเขาเทียนเสวียน กระทั่งกลายเป็อัจฉริยะที่ผู้คนนับหมื่นเลื่อมใสศรัทธา
“ทั้งแปดคนผ่านบททดสอบพร้อมกัน ยุครุ่งเรืองของข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนกำลังจะมาถึงแล้วงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นสำนักยุทธ์เทียนเสวียนของข้าก็จะได้เปล่งประกายในงานชุมนุมหวงปั่งที่จัดขึ้นทุกสามปีน่ะสิ” ขณะนั้นมีผู้าุโสายนอกกล่าวด้วยความตื่นเต้น
งานชุมนุมหวงปั่งนั้นจัดขึ้นทุกสามปี เช่นนั้นต้นปีหน้าก็จะถึงเวลาของงานชุมนุมหวงปั่ง ถึงเวลานั้นอัจฉริยะจากสำนักยุทธ์ต่างๆ ในเมืองหลวงจะมารวมตัว ซึ่งในงานจะมีทั้งการเทศนา ไถ่ถามวิถี ชิงอันดับ และประลองฝีมือ อีกอย่างงานชุมนุมนี้ถือว่าเป็งานใหญ่งานหนึ่งของเมืองหลวงอาณาจักรจ้าว ทุกครั้งที่จัดงานจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับล้าน ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของผู้าุโสายนอกคนนั้นแววตาของทุกคนต่างก็เป็ประกาย และรอคอยงานชุมนุมหวงปั่งที่จะจัดขึ้นใน่ต้นปีหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
ขณะที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ พลันมีบางคนเอ่ยขึ้นว่า “แต่ปลายปีนี้จะมีการแข่งขันของสำนักยุทธ์ เหล่าอัจฉริยะจะแข่งขันเพื่อชิงรายนามบนแท่นศิลาเทียนเสวียน หลังจบการแข่งขันสำนักยุทธ์ ลำดับต่อมาก็เป็งานชุมนุมหวงปั่ง ช่างเป็ปีที่เต็มไปด้วยความคาดหวังยิ่งนัก”
ได้ยินเช่นนั้นก็มีหลายคนพากันพยักหน้า พวกเขาต่างรอคอยงานสำคัญยิ่งใหญ่ทั้งสองงานที่กำลังจะมาถึง หลังจากนั้นไม่นานเสียงพูดคุยก็ค่อย ๆ สงบลง มีหลายคนที่ยังไม่ละสายตาไปจากแปดคนนั้นที่ผ่านการทดสอบ
“เฉินอ้าวเทียน ซ่างกวนหง เฟิงเฉียน หลิวอวิ๋นเจี๋ย เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ ฉินเยียนหราน และโจวมู่ไป๋ คนเหล่านี้ล้วนฝีมือร้ายกาจ ผ่านการทดสอบก็สามารถเข้าใจได้ แต่คนนั้นที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 เป็ใครกัน? แล้วเขาผ่านการทดสอบมาได้อย่างไร? ต่อให้เป็อีกาในฝูงหงส์ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะทำสำเร็จ” มีคนหนึ่งกล่าวขณะมองไปที่เย่เฟิงด้วยสีหน้ากังขา ในบรรดาแปดคนนี้ เฉินอ้าวเทียนกับซ่างกวนหงเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ ฝีมือย่อมชัดเจน ส่วนเฟิงเฉียน ฉินเยียนหราน และคนอื่น ๆ ต่างอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ทว่ามีเพียงเย่เฟิงคนเดียวที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 แต่การที่ผ่านบททดสอบของหุบเขาเทียนเสวียนมาได้ มันช่างไม่สมเหตุสมผล
“พวกเขากำลังพูดถึงเ้า” ฉินเยียนหรานกล่าวขณะมองเย่เฟิงราวกับว่านางเห็นเย่เฟิงเป็สหายไปแล้ว
“ช่างปะไร ทำไมข้าต้องสนใจคำพูดของพวกเขา? ทำตัวเองให้ดีก็พอแล้ว” เย่เฟิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ แต่จู่ ๆ มีอีกคนพูดขึ้นว่า “พวกเ้าไม่เห็นหรือว่าคนผู้นี้ดูสนิทสนมกับฉินเยียนหรานมากขนาดไหน หรือว่าฉินเยียนหรานจะเป็คนคอยช่วยเหลือเขามาตลอด?”
“จะเป็ไปได้ยังไง ในหุบเขาเทียนเสวียนมีอันตรายรอบด้าน ฝีมือของฉินเยียนหรานแม้จะไม่เลว แต่นางจะช่วยให้ผู้ชายคนหนึ่งผ่านการทดสอบได้อย่างไรกัน?” มีคนเอ่ยด้วยความสงสัย ก่อนจะมีหลายคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ฉินเยียนหรานงดงามเพียงนี้จะยอมลดตัวมาช่วยผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 ให้ผ่านบททดสอบไปทำไมกัน?
เมื่อได้ยินคำถกเถียงของคนเหล่านี้ บรรยากาศก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ในระหว่างการถกเถียงกันนั้น เย่เฟิงก็กลายเป็ประเด็นหลักที่ทุกคนให้ความสนใจอย่างไม่รู้ตัว
“พวกเ้าอย่าพูดจาส่งเดชเชียว คนผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดา ต้องรู้ว่าตอนอยู่ในหุบเขาเทียนเสวียน เขาสามารถแย่งชิงผลเทียนเสวียนได้ถึงแปดผลจากเก้าผล อีกอย่างยังรอดชีวิตจากการไล่ล่าของผู้ฝึกยุทธ์มากมายได้อีก” ขณะนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์อีกคนพูดขึ้น เย่เฟิงคนเดียวได้รับผลเทียนเสวียนไปถึงแปดผล เพราะว่าผู้ฝึกยุทธ์คนนี้เห็นเหตุการณ์กับตาตัวเอง พลังโจมตีอันแกร่งกล้าของเย่เฟิงเอาชนะหนานกงหลิงซวงผู้มีิญญาาหงส์ขั้นเขียว ทั้งยังเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัว เหตุการณ์ในตอนหลบหนีนั้นยังคงชัดแจ้งอยู่ในความทรงจำ
“อะไรนะ?” ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตะลึงงัน ลือกันว่าผลเทียนเสวียนได้ปรากฏในหุบเขาเทียนเสวียน หลายคนจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถึงอย่างไรทุกคนในที่แห่งนี้ก็ยังไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง เพราะเื่นี้จึงดึงดูดผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากเข้าร่วมการทดสอบของหุบเขาเทียนเสวียน ก็เพื่อผลเทียนเสวียน
บัดนี้พวกเขาไม่เพียงได้ยินว่าผลเทียนเสวียนมีอยู่จริง แต่ยังมีถึงเก้าผล ที่สำคัญกว่านั้นคือจากแปดผลในเก้าผลตกอยู่ในมือของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 นี่ทำให้ทุกคนไม่อยากจะเชื่อ
ต้องรู้ก่อนว่าผู้เข้าร่วมทดสอบมีเป็พัน ๆ คน ผู้อยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาก็มีเป็จำนวนมาก ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่หลายคนเข้าร่วมการทดสอบนี้ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ผลเทียนเสวียนจะตกไปอยู่ในมือของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 แต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไร?
“เป็ไปไม่ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด เ้ากำลังล้อเล่นอยู่แน่ ๆ เขาอยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 การที่ผ่านบททดสอบได้ก็นับว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว ไม่รู้ว่าทำการซุกซ่อนหรือแย่งชิงผลเทียนเสวียนออกมาได้อย่างไร?” ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 คนหนึ่งกล่าวด้วยความดูแคลน ราวกับว่าไม่เห็นเย่เฟิงอยู่ในสายตา
“เ้าไม่เชื่อฝีมือของคนผู้นี้ก็ลองไปทดสอบดูสิ หากเ้าเอาชนะเขาได้ เช่นนั้นผลเทียนเสวียนที่เขาได้มาก็จะตกเป็ของเ้า” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าวขณะมองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 คนนั้น
“เขางั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 คนนั้นชำเลืองมองเย่เฟิงครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหาเย่เฟิงพร้อมกล่าวขึ้น “ได้ยินมาว่าเ้ามีฝีมือไม่เลว ถึงกับชิงผลเทียนเสวียนได้ตั้งแปดผล เป็ความจริงหรือไม่?”
เย่เฟิงหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉยเมยพร้อมกล่าวต่อ “เื่ของข้า เ้ามีสิทธิ์มารับรู้ด้วยหรือ?”
“ฮ่า ๆ ๆ” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นหัวเราะอย่างเ็า จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หยิ่งยโสพอตัว แบบนี้สิถึงจะน่าสนใจ”
เมื่อกล่าวจบ ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกวาดมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวอีกว่า “หากหมัดของข้าโค่นเ้าได้ก็คงมีสิทธิ์รับรู้ได้แล้วใช่ไหม?”
ในระหว่างที่พูดนั้น สายตาของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเปลี่ยนเป็เฉียบคม ก่อนจะปล่อยหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลโจมตีเย่เฟิง ในขณะที่หมัดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นถูกปล่อยออกไป เขารู้สึกว่าหมัดของเขาถูกฝ่ามือใหญ่คว้าจับไว้ พร้อมกับมีพลังแกร่งกล้าที่ทำให้หมัดของเขาเดินหน้าต่อไม่ได้
“เ้าจะโค่นข้าภายในหนึ่งหมัดงั้นหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเ็าขณะจับหมัดของอีกฝ่ายไว้แน่น
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเผยสีหน้าหวาดกลัว เขารู้สึกว่าหมัดของตนถูกพลังที่มิอาจต่อต้านได้พันธนาการ ต่อให้เขาดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์
“ไม่...” บนหน้าผากของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองไปยั่วโทสะคนที่ไม่ควรจะยั่วด้วย จึงกล่าวเช่นนั้นด้วยเสียงติด ๆ ขัด ๆ และได้แต่เกลียดตัวเองที่ไปฟังคำนินทาไร้สาระของคนชั้นต่ำพวกนั้น
“ใต้เท้าโปรดเมตตาด้วย ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นวิงวอนเย่เฟิงโดยหวังว่าเย่เฟิงจะปล่อยเขาไป
“เสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม ก่อนจะปล่อยหมัดโจมตีไปที่จุดตันเถียนและจุดชี่ไห่ของอีกฝ่าย ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นต้องตัวสั่นแรงและโอดครวญออกมา ก่อนร่างจะกระเด็นปลิวออกไป
คนผู้นี้เห็นเย่เฟิงมีระดับการบ่มเพาะต่ำต้อย จึงดูถูกเหยียดหยามและพูดจาโดยไม่เกรงใจเย่เฟิง ซ้ำยังบอกว่าจะโค่นเย่เฟิงภายในหนึ่งหมัด แต่เขาพบว่าตนเองสู้เย่เฟิงไม่ได้ จึงเอ่ยปากขอให้เย่เฟิงไว้ชีวิตเขา ทำผิดก็คิดขอโทษเพื่อแก้ไขปัญหา แต่มีหรือในโลกนี้จะสวยงามเช่นนั้น?
ในทางกลับกัน หากผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นมีพลังแกร่งกล้าพอจะเอาชนะเย่เฟิงได้ เย่เฟิงจะมีจุดจบเช่นไร? เกรงว่าจะน่าสมเพชยิ่งกว่าคนผู้นั้นในเวลานี้หลายเท่า ดังนั้นจะโทษเย่เฟิงที่ลงมือโดยไร้ความเมตตาไม่ได้ เย่เฟิงก็แค่คืนทุกอย่างที่อีกฝ่าย้าให้เขา
“ช่างโหดยิ่งนัก” ฉากนี้ทำให้ทุกคนใจเต้นโครมคราม ได้รู้จักกับความโหดและความแข็งแกร่งของเย่เฟิง คนเ่าั้ที่พูดจาดูถูกเย่เฟิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสี และไม่กล้าพูดอะไรอีก ราวกับกลัวเย่เฟิงจะมาเอาคืนพวกเขาที่พูดจาดูถูกเหยียดหยาม
ในโลกที่มีแต่ผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ ผู้อ่อนแอมักตกเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่ง เมื่อเ้าแสดงความแข็งแกร่ง อีกฝ่ายจึงจะเคารพนับถือโดยไร้ข้อกังขาใด ๆ เช่นเดียวกับเย่เฟิงในเวลานี้ ใช้ความแข็งแกร่งกำราบ ทำให้คนเ่าั้ที่ชอบดูถูกถึงกับปิดปากเงียบ
“เงียบ!” ตอนนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากตำหนักตรงทางเข้าหุบเขาเทียนเสวียน ทุกคนจึงหันไปมองทางด้านนั้น ก่อนจะเห็นผู้าุโวัยกลางคนปรากฏตัวอีกครั้ง ผู้าุโคนนั้นมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีเกรงขาม สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่แปดคนนั้น นับแต่ที่เขาเฝ้าหุบเขาเทียนเสวียนแห่งนี้มายังไม่เคยปรากฏผู้ผ่านการทดสอบพร้อมกันถึงแปดคนเช่นนี้ กระทั่งสามคนพร้อมกันก็ไม่เคยมี อีกอย่างครั้งนี้ยังมีคนผู้หนึ่งสามารถผ่านการทดสอบทั้งเก้าของวานรั์ภายในเวลาเก้าวันได้
“การทดสอบของหุบเขาเทียนเสวียนในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว พวกเ้าทั้งแปดคน อีกเดี๋ยวข้าจะแจกรางวัลให้พวกเ้า” ผู้าุโคนนั้นกล่าวช้า ๆ แต่กลับมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาที่แฝงด้วยความชื่นชม
“การแจกรางวัลมาถึงแล้ว” ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็พากันอิจฉา การทดสอบของหุบเขาเทียนเสวียนนั้นลึกลับและอันตรายเสมอมา ดังนั้นรางวัลของสำนักยุทธ์ที่จะมอบให้แก่ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะต้องล้ำค่ามากแน่นอน
“ทั้งแปดคนผ่านการทดสอบ จะมีการแบ่งอันดับคะแนนหรือไม่?” มีคนหนึ่งเอ่ยถามผู้าุโคนนั้นด้วยสายตาคาดหวัง นี่ทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างตาเป็ประกาย พวกเขาทุกคนอยากรู้ว่าในแปดคนที่ผ่านการทดสอบนี้ใครจะมีฝีมือดีที่สุด
“มีแค่อันดับที่ 1 เท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่นับ” ผู้าุโคนนั้นกล่าวขณะมองคนผู้นั้น
“มีแค่อันดับที่ 1 เช่นนั้นใครในแปดคนนี้จะได้อันดับที่ 1 ของการทดสอบครั้งนี้?” ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ในใจกลับรู้สึกสนใจผู้ที่จะได้อันดับที่ 1 ในการทดสอบครั้งนี้
“เฉินอ้าวเทียนแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแปดคน ข้าเดาว่าเฉินอ้าวเทียนได้อันดับที่ 1 ในการทดสอบครั้งนี้เป็แน่” มีคนกล่าวขึ้นเสียงเบาขณะมองเฉินอ้าวเทียนด้วยสายตาเคารพยำเกรง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้