การประลองยุวราชันแห่งร้อยแคว้นทางตอนเหนือจบลงก่อนกำหนดเพราะหลัวเลี่ยสังหารไก้อู๋ซวง
ดังนั้นเทือกเขาเหยียนรื่อจึงกลับเข้าสู่ความเงียบสงบดังเดิม
นั่นคือสัตว์อสูรไม่ปรากฏกาย ผู้ฝึกวรยุทธ์ก็เข้ามาฝึกฝนได้ตามปกติ
หลัวเลี่ยไม่รีบร้อนที่จะออกไปจากเทือกเขาเหยียนรื่อแห่งนี้ หลังจากที่เขาได้ระฆังจันทราแล้ว เขาก็ใส่มันลงในกระเป๋าเฉียนคุณของตนเอง และอยู่ฝึกฝนเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตนที่นี่ก่อน
หลังจากที่พลังของหลัวเลี่ยเข้าสู่ระดับหยินหยางแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะทะลวงผ่านในขั้นถัดไปได้
ยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาที่หลัวเลี่ยเลือกฝึกฝนยังเป็เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมซึ่งยิ่งทะลวงขั้นพลังได้ยากกว่าเคล็ดวิชาธรรมดา ดังนั้นเขาจึงต้องฝึกฝนอย่างหนัก
หลัวเลี่ยฝึกฝนอยู่ในเทือกเขาเหยียนรื่อเป็เวลาหนึ่งเดือนแล้ว
เขาไม่เพียงฝึกฝนด้วยตัวเอง แต่ยังเริ่มที่จะต่อสู้กับสัตว์อสูรที่ทรงพลังบางตัว และพาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายเพื่อปลุกสัญชาตญาณการต่อสู้และเพื่อให้มีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีที่สุดโดยเร็วที่สุด
วันนี้เป็อีกวันที่หลัวเลี่ยนั่งขัดสมาธิบนก้อนหินเพื่อเข้าชาญฝึกฝนพลัง ทันใดนั้นก็มีคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาหาเขา
คนที่เดินเข้ามาก็คือเยี่ยนอวิ๋นหวู่
“นายน้อยหลัว เ้าช่างใจเย็นเสียจริงนะ”
หลัวเลี่ยตื่นขึ้นจากการเข้าชาญ เมื่อเขารู้สึกถึงพลังภายในที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของเขา เขาก็อารมณ์ดี การฝึกฝนในวันนี้ก็ยังคงทำให้เขาสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วอีกแล้ว
แม้ว่าการต่อสู้แบบเอาเป็เอาตายกับไก้อู๋ซวงในครั้งก่อนนั้นจะโหดร้ายและทรหดมาก แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งยิ่งกว่า เพราะความสามารถของหลัวเลี่ยเกือบจะพัฒนาขึ้นรอบด้าน และเมื่อเขาได้ทบทวนการต่อสู้ทั้งหมดบวกกับการฝึกฝนในเดือนนี้ ผลที่ได้ก็คือพลังที่พัฒนามากกว่าสองถึงสามเดือนก่อนหน้าเสียอีก
“เยี่ยนอวิ๋นหวู่เ้ามาเร็วจริงๆ” หลัวเลี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่มาได้ด้วยหรือ ตอนที่ปิงหนิงได้ยินว่าเ้าจะสังหารไก้อู๋ซวง นางเป็ห่วงเ้าแทบตาย สุดท้ายนางเลยส่งข้าให้มาคอยปกป้องเ้า” เมื่อเยี่ยนอวิ๋นหวู่พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดพูดไปและมองหลัวเลี่ยหัวจรดเท้าด้วยความชื่นชม “จะว่าไปแล้ว ความตั้งใจของเ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ เ้าสามารถสังหารไก้อู๋ซวงได้จริงๆ ต่อไปนี้ข้าคงต้องมองเ้าใหม่สินะ”
หลัวเลี่ยไม่ได้รู้สึกภูมิใจนัก “ที่ข้าสังหารนางเพราะนางสมควรตายแล้ว”
เยี่ยนอวิ๋นหวู่เองก็รู้เหตุผลที่หลัวเลี่ยสังหารไก้อู๋ซวง นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา หลัวเลี่ยผู้นี้ช่างให้ความสำคัญกับมิตรภาพและคุณธรรมเสียจริง แต่เมื่อนึกถึงผลที่จะตามมา นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะตามมาล้างแค้นหรือ? ผู้ที่อยู่เื้ัไก้อู๋ซวงก็คืออูอวิ๋นเซียนซึ่งเป็ผู้ที่อยู่เข้าใกล้ระดับเทพเชียวนะ”
“ไม่ใช่ว่าข้ามีเ้าแล้วหรือ” หลัวเลี่ยถามกลับ
เยี่ยนอวิ๋นอวู่พูดอย่างอับจนหนทาง “ตอนนี้ข้าชักจะรู้สึกเสียใจแล้วที่ต้องมาติดตามเ้า เ้าช่างเป็ผู้ผดุงความยุติธรรมที่ขยันหาเื่ใส่ตัวจริงๆ”
หลัวเลี่ยไขว้มือไว้ด้านหลังและพูดอย่างสบายๆ ว่า “เกิดมาหนึ่งครา ดำรงอยู่หนึ่งชาติพบ บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ จะไม่เสียดายสิ่งใดอีก”
เยี่ยนอวิ๋นหวู่ที่มองหลัวเลี่ยเหมือนเด็กๆ มาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำพูดที่แสดงถึงความคิดที่เป็ผู้ใหญ่เช่นนี้ นางจึงตกอยู่ในภวังค์
ที่แท้เขาก็เป็ผู้ใหญ่แล้ว
ความคิดของเขาคล้ายคนที่ได้ผ่านเื่ราวมามากมาย
“คงจะดีถ้าทุกคนเป็เช่นนี้” เยี่ยนอวิ๋นอู่ถอนหายใจอย่างแ่เบา
“เพราะมันเป็ไปไม่ได้ ข้าจึงได้แต่พยายามอย่างสุดความสามารถ” หลัวเลี่ยก็ไม่เคยรับรู้รสชาติเช่นนี้ เพราะก่อนที่เขาจะข้ามมิติมา เขาไม่มีกำลังพอที่จะทำได้ แต่พอมาที่นี่เขามีกำลังมากพอที่จะลิ้มรสสัจธรรมนี้แล้ว
สายลมได้พัดพาความคิดของเยี่ยนอวิ๋นหวู่ให้ล่องลอยไปไกล ใบหน้าที่งดงามของนางดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นภายใต้แสงตะวัน จากนั้นริมฝีปากสีแดงชาติของนางก็แยกออกเล็กน้อย “ไก้อู๋ซวงอาจยังไม่ตาย”
หลัวเลี่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะตั้งสติขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็หัวเราะและพูดว่า “น่าตลกดีนี่ คงไม่ใช่ว่าเื่ที่ข้าแก้แค้นได้ทำให้เ้ามาล้อข้าเล่นถึงที่นี่หรอกนะ”
“ข้าดูเหมือนคนที่ล้อเ้าเล่นหรือ” เยี่ยนอวิ๋นหวู่พูดอย่างจริงจัง
“ไม่จริง หัวของไก้อู๋ซวงหลุดออกจากบ่าแล้ว นางจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? นางเป็ะหรือ” หลัวเลี่ยจำได้อย่างชัดเจนว่าไม่เพียงอวัยวะภายในของไก้อู๋ซวงจะะเิเท่านั้น แม้กระทั่งศีรษะของนางก็หลุดออกจากบ่าไปแล้ว นางจะไม่ตายได้อย่างไร
เยี่ยนอวิ๋นหวู่กล่าวว่า “ดังนั้นข้าถึงพูดว่านางอาจจะยังไม่ตาย”
หลัวเลี่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“หลังจากที่เ้าสังหารนางไปแล้ว ที่คลังสมบัติแห่งแคว้นเหยียนหลงก็ปรากฏเื่ประหลาดขึ้น ข้าคิดว่าเื่นี้อาจทำให้ไก้อู๋ซวงฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ และแน่นอนว่าเื่นี้ต้องเกี่ยวข้องกับวิชาลับที่นางฝึกอยู่ไม่ผิดแน่”
“วิชาหรือ? วิชาอะไร” หลัวเลี่ยถาม
เยี่ยนอวิ๋นหวู่พูดช้าๆ ว่า “หนึ่งดับหนึ่งเกิดคือวัฏแห่งนิพพาน พลิกหยินเปลี่ยนหยางบงการเป็ตาย!”
หลัวเลี่ยไม่คุ้นกับประโยคนี้ของเยี่ยนอวิ๋นหวู่เลย
แต่เขาก็ฟังเยี่ยนอวิ๋นหวู่พูดต่อไปว่า “นี่เป็ประโยคที่คนหนุ่มสาวที่ติดตามไก้อู๋ซวงเข้ามาในเทือกเขาเหยียนรื่อพูดกัน ต่อมาข้าได้ตรวจพบว่าคำพูดพวกนี้ปรากฏขึ้นบนตะเกียงโบราณอันหนึ่ง มันเป็หนึ่งในวิชาที่เรียกว่าเคล็ดวิชานิพพานเป็ตาย เพียงแต่ว่าไม่มีผู้ใดสามารถใช้วิชานี้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีแม้กระทั่งผู้ฝึกมันด้วยซ้ำ”
หลัวเลี่ยพึมพำกับตัวเอง “นิพพานเป็ตาย? เป็หรือตายขึ้นอยู่กับ์ลิขิต ตายหนึ่งครั้งก็เกิดใหม่หนึ่งครั้งถึงจะครบวัฏ”
“คำพวกนั้นก็มีความหมายตรงตัว ความตายของนางจะเป็ไปตามเงื่อนไขของประโยคนั้น ดังนั้นข้าคิดว่าเื่ประหลาดที่แคว้นเหยียนหลงครั้งนี้คือการฟื้นคืนชีพของไก้อู๋ซวง” เยี่ยนอวิ๋นหวู่เอ่ย
หลัวเลี่ยมองไปทางเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลง “เ้าบอกว่าสมบัติรูปัที่อยู่ในเมืองหลวงนั้นผิดปกติ?”
เยี่ยนอวิ๋นหวู่พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กลับไปที่เมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงกันเถิด” ดวงตาของหลัวเลี่ยเป็ประกาย
“เ้าคิดจะ?” เยี่ยนอวิ๋นหวู่ถาม
หลัวเลี่ยพูดอย่างราบเรียบว่า “ถ้าไก้อู๋ซวงยังไม่ตาย ข้าก็จะฆ่านางอีกครั้ง!”
เยี่ยนอวิ๋นหวู่ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
นางนึกว่าหลัวเลี่ยแค่พูดออกมาว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำด้วยกำลังทั้งหมดของเขาจริงๆ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ!
เมื่อดูจากเื่ในครั้งนี้ เยี่ยนอวิ๋นหวู่ก็แน่ใจแล้วว่าประโยคนี้น่าจะเป็ภาพรวมชีวิตของหลัวเลี่ย
เมื่อทั้งสองเดินทางออกจากเทือกเขาเหยียนรื่อ พวกเขาก็พบว่ามีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่ที่ด้านนอกเทือกเขาก่อนแล้ว และรถม้าคันนี้ก็คือรถม้าไล่ตามดวงจันทร์ที่บังคับโดยหัวหน้าองครักษ์ซูชิวเชิง
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ซูชิวเชิงกลายเป็คนบังคับรถม้าส่วนตัวของหลัวเลี่ยไปแล้ว และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วซูชิวเชิงคือยอดฝีมือคนหนึ่ง
เดิมทีครั้งนี้เยี่ยนอวิ๋นหวู่จะมาที่นี่คนเดียว แต่เมื่อซูชิวเชิงได้ยินข่าว เขาก็ขอมาที่นี่ด้วย โดยให้เหตุผลว่าตนจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวสวยบังคับรถม้ามาพียงลำพัง ดังนั้นเยี่ยนอวิ๋นหวู่จึงยอมตกลง
ซูชิวเชิงค้นพบแล้วว่าอ๋องเซี่ยผู้นี้จะต้องเป็อนาคตของดินแดนเหยียนหวงอย่างแน่นอน บางทีแม้ว่าเขาจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้แต่เขาอาจอยู่เคียงข้างคอยมองดูอนาคตที่สดใสด้วยตนเองได้
รถม้าไล่ตามดวงจันทร์ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด
การเปลี่ยนแปลงใหม่นี้ถูกดัดแปลงโดยหลิวจื่ออั๋งแห่งหอเซียวเหยา เขาเป็คนเดียวที่รู้ว่าหลัวเลี่ยได้เข้าร่วมตระกูลข่งแล้ว และเขายังเป็คนถือตราข่งเชวี่ยที่หลัวเลี่ยมอบให้อีกด้วย ดังนั้นหลิวจื่ออั๋งจึงไม่กังวลเื่ที่หลัวเลี่ยจะเผชิญหน้าต่อสู้กับผู้าุโที่มีพลังแข็งแกร่งกว่ารวมทั้งไม่กังวลหากหลัวเลี่ยจะได้เผชิญหน้ากับคนที่ทรงพลังกว่า ดังนั้นหลิวจื่ออั๋งจึงรู้ว่าสิ่งที่เขาทำได้มีเพียงเท่านี้ เขาจึงเปลี่ยนรถม้าไล่ตามดวงจันทร์ให้เป็รถม้าที่หรูหราที่สุด สะดวกสบายที่สุด และแข็งแรงที่สุด
เมื่อหลัวเลี่ยและเยี่ยนอวิ๋นหวู่ขึ้นไปบนรถม้าแล้ว ซูชิวเชิงจึงบังคับรถม้าไล่ตามดวงจันทร์ให้ค่อยๆ ขับไปทางเมืองหลวงแห่งแคว้นเหยียนหวง
เมื่อมีคนเห็นหลัวเลี่ยขึ้นรถม้าไล่ตามดวงจันทร์ไป พวกเขาก็เริ่มแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปทันที
เดิมทีข่าวที่ว่าไก้อู๋ซวงถูกหลัวเลี่ยตัดหัวก็ยังไม่ซาลง แต่ฆาตกรหลัวเลี่ยไม่เพียงไม่หลบหนีแต่เขายังกล้าที่จะกลับเข้าไปในเมืองหลวงแห่งแคว้นเหยียนหลง เื่นี้ย่อมเป็เื่ที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนสังเกตเห็นว่ารถม้าไล่ตามดวงจันทร์คันนี้มุ่งหน้าตรงไปยังที่สถานที่เกิดของไก้อู๋ซวงซึ่งเป็ศูนย์กลางของจัตุรัสเหยี่ยนหลงที่อยู่ด้านล่างของสมบัติรูปั สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังรถม้าโดยพร้อมเพรียงกัน