ยามตะวันคล้อยต่ำ แสงสุดท้ายแต่งแต้มขอบฟ้าเป็สีทองอร่าม เรือประมงบนทะเลสาบัทมิฬต่างทยอยกลับเข้าฝั่ง ชาวบ้านที่ซื้อของเสร็จต่างก็แยกย้ายกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหาร ควันจากเตาไฟลอยโขมงไปทั่วทั้งเมือง
“ว่าแต่พวกเ้าสองคนไปทำอะไรที่นั่น ถึงโดนต้นไม้กินคนจับได้เล่า” ระหว่างทางกลับเข้าเมืองพร้อมกับพี่น้องสกุลหง ลู่เต้าก็เอ่ยถาม “ที่นั่นไม่น่าจะเป็ที่ที่คนมีฐานะจะไปได้เลย”
โดยปกติแล้ว บุตรหลานตระกูลใหญ่ที่มีกิจการเป็ร้านแลกเงินเช่นนี้ ล้วนเป็คุณหนูคุณชายผิวกายบอบบาง พวกเขาจะยอมลดตัวลงมาเสี่ยงอันตรายในป่าดงดิบเช่นนี้ได้อย่างไร แม้แต่สกุลเกาก็เช่นกัน ที่แม้ว่าฐานะจะตกต่ำลงไปมาก แต่เวลาออกไปล่าสัตว์ิญญาก็ยังต้องพาลูกน้องติดตามไปเป็ขบวน
หนึ่งก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าตระกูลยังคงรุ่งเรือง สองก็เพื่อทำหน้าที่เป็องครักษ์คอยคุ้มครองภัย
เพียงแต่ในชาติที่แล้วผู้ควบคุมิญญานอกรีตระดับหนึ่งดาราเพียงสองคน ก็สามารถสังหารคนของสกุลเกาไปได้หลายสิบคนโดยที่ตัวเองไม่ได้รับาเ็แม้แต่น้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งระหว่างคนธรรมดากับผู้ฝึกตนนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เหมือนกับหมีและมดดีๆ นี่เอง
นี่ไม่ใช่การเปรียบเปรยที่เกินจริง แต่เป็ความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน
หงฝูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เรียนท่านผู้มีพระคุณ มีข่าวลือว่าบนยอดเขามีสัตว์ิญญาจำพวกงูปรากฏตัว พวกข้าจึงอยากลองเสี่ยงโชคดูสักครั้ง”
“สัตว์ิญญาบนยอดเขางั้นหรือ” ลู่เต้าสะดุ้งในใจครุ่นคิด 'เดี๋ยวก่อน คงไม่ใช่...ฉิวหมัวหรอกกระมัง'
ไม่รู้ว่ากระบี่อสูรเข้าใจหรือไม่ แต่ยามนี้กลับกระดิกหางไปหาหงฝูแล้ว
ตอนที่ฉิวหมัวออกอาละวาดบนยอดเขานั้น ถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็สัตว์ิญญาหายากที่ไม่ได้ปรากฏตัวมานาน ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว กลายเป็เป้าหมายที่ทุกอำนาจในเมืองัทมิฬหมายปลิดชีพ
‘คนของสกุลเกาเองยังกลับมามือเปล่า เพียงแค่คนธรรมดาเช่นพวกเ้าสองคน คิดจะไปล่าสัตว์ิญญา ไม่ผยองเกินไปหน่อยรึ’ ไป๋เสียเอ่ยอย่างไม่ปรานี โชคดีที่นอกจากลู่เต้าแล้ว ไม่มีใครได้ยินเสียงของเขา
หงฝูเล่าต่อ “ได้ยินมาว่าอาหารที่ทำจากสัตว์ิญญาจำพวกงูมีสรรพคุณฟื้นฟูิั ลบรอยแผลเป็ บางทีอาจรักษาใบหน้าของอาฮวาได้ พวกข้าจึงลองไปดู แต่กลับโดนต้นไม้กินคนเล่นงานั้แ่ยังไม่ถึงยอดเขา ดีที่ได้ท่านผู้มีพระคุณช่วยเหลือไว้ มิเช่นนั้นพวกข้าสองพี่น้องคงเหลือแต่กระดูกแล้ว”
ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสามคนก็เดินเข้ามาถึงตัวเมืองัทมิฬ ลู่เต้าที่เติบโตที่หมู่บ้านมาั้แ่เด็ก เพิ่งเคยเห็นตลาดที่คึกคักเช่นนี้เป็ครั้งแรก รถม้าขนสินค้าสัญจรไปมาไม่ขาดสาย สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ นานา ขายสินค้ามากมายละลานตา
“ถึงแล้ว ท่านผู้มีพระคุณเชิญทางนี้ขอรับ”
หงฝูนำเขาเดินผ่านถนนที่พลุกพล่านจนมาถึงหน้าจวนหลังหนึ่งที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เมื่อบริวารสองคนที่ถือไม้เท้าอยู่หน้าประตูเห็นคุณชายน้อยกลับมาก็รีบค้อมศีรษะคำนับ “คุณชายน้อย!”
สมแล้วที่เป็ตระกูลใหญ่ แม้แต่บริวารก็ยังแต่งตัวดีกว่าคนทั่วไป
หงฝูพยักหน้ารับ บริวารทั้งสองจึงกลับไปเฝ้าประตูเช่นเดิม จากนั้นเขาก็นำลู่เต้าเดินเข้าไปในสวน เช่นเดียวกับประตูบ้าน การตกแต่งภายในสวนก็หรูหราไม่แพ้กัน ด้านซ้ายมือเป็ูเาจำลองรูปทรงคล้ายเงินตำลึง สื่อถึงความมั่งคั่งร่ำรวย ด้านขวามือเป็ต้นไม้นำโชคที่สื่อถึงอายุยืนยาว ใต้ต้นไม้มีสระน้ำเลี้ยงปลาหลี่ [1] ตัวเท่าแขนสีสันสวยงามยิ่งนัก
บริวารที่ให้อาหารปลาอยู่ริมสระก็ไม่ได้ใช้อาหารปลาธรรมดา แต่เป็ข้าวขาวชั้นดี! ต้องรู้ว่าข้าวที่ลู่เต้านำสัตว์ป่าไปแลกมานั้นเป็เพียงข้าวที่ไม่ได้ขัดสีเท่านั้น
แต่ครอบครัวของหงฝูกลับใช้ข้าวขาวอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ลู่เต้ารู้สึกว่าชีวิตตัวเองอ่อนด๋อยกว่าปลาเสียอีก ไป๋เสียที่อยู่ในร่างรับรู้ถึงอารมณ์ของเขา มองบริวารที่กำลังโปรยข้าวลงไปในสระ “อาหารแค่นี้ มีอะไรให้น่าอิจฉา”
ลู่เต้าเอ่ย “นั่นมันข้าวขาวเชียวนะ! แพงโขเลยทีเดียว!”
ไป๋เสียต่อว่า “แล้วอย่างไรเล่า แค่ใช้เงินน้อยนิดก็หาซื้อได้แล้ว ข้าเคยได้ข้าวสีทองมาจากดินแดนลับแห่งหนึ่ง แต่ละเมล็ดล้วนผลึกพลังบริสุทธิ์ไว้ นำมาหุงกินกับผักดองจากเมืองหมีิญญา ถึงจะเรียกว่ารสชาติชั้นเลิศ ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยเพิ่มพูนพลังได้มาก”
ลู่เต้าได้ยินเสียงท้องร้องโครกคราก น้ำลายสอ
ขณะที่พวกเขากำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในเรือนใหญ่ ก็มีเสียงแหลมดังขึ้นจากหลังฉาก
“โอ๊ะ กลับมาแล้วรึ” หญิงวัยกลางคนในชุดผ้าต่วนสีแดงหรูหราและแต่งหน้าจัดจ้านเดินออกมาจากหลังฉากอย่างเชื่องช้า มีสาวใช้สองคนเดินตามมาด้วย
ตอนแรกหงฝูขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ปรับสีหน้าเป็รอยยิ้มบางๆ “ข้ากลับมาแล้ว ท่านแม่”
‘ท่านแม่’ ลู่เต้าสำรวจหญิงวัยกลางคนตรงหน้า อายุอย่างมากก็ไม่เกินสามสิบปี จะมีบุตรชายอายุเท่าหงฝูได้อย่างไร
ร่างกายอิ่มเอิบภายใต้ชุดผ้าต่วนเผยให้เห็นเสน่ห์อันเย้ายวนใจ นางพาสาวใช้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหงฝู กวาดตามองพี่น้องทั้งสองด้วยสายตาหยิ่งผยอง เมื่อเห็นว่าทั้งคู่กลับมามือเปล่า จึงเอ่ยถาม “สัตว์ิญญาเล่า อยู่ที่ไหน”
ทั้งที่ด้านข้างก็มีที่ว่างมากมาย แต่นางกลับจงใจเดินเบียดตรงกลาง ผลคือไม่เห็นสัตว์ิญญา แต่กลับเห็นลู่เต้าที่แต่งตัวซอมซ่อเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ไม่เข้ากับบรรยากาศรอบข้าง นางจึงเอ่ยอย่างรังเกียจ “ขอทานที่ไหนกัน ไล่มันออกไป!”
บริวารหลายคนถือไม้เท้าวิ่งเข้ามาหมายจะลากตัวลู่เต้าออกไป หงฝูรีบเข้ามาขวาง ก่อนยิ้มกล่าว “ช้าก่อนท่านแม่ พวกข้าโชคร้ายถูกปีศาจต้นไม้จับตัวไป โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านผู้มีพระคุณคนนี้ ข้ากับอาฮวาถึงรอดชีวิตกลับมาได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงผลักบริวารออกไป ยืนอยู่ตรงหน้าลู่เต้า สำรวจเขาั้แ่หัวจรดเท้า ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้มากความสามารถสักนิด ตอนแรกลู่เต้าคิดจะพูดคุยตามมารยาท แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดจะพูดคุยกับเขา นางเพียงแค่เอามือปิดจมูก ก่อนจะเดินเบียดพี่น้องทั้งสองออกไป
“เช่นนั้นก็ให้เงินมันแล้วไล่มันออกไป! อย่าให้มันมาเหยียบพรมข้า สกปรก” นางมองลู่เต้าด้วยสายตาเหยียดหยาม พูดจบก็พาสาวใช้ทั้งสองจากไป
“เขา...” หงฮวาเอ่ยปากพูดอย่างหาได้ยาก นางเอามือปัดผมที่ปรกหน้าผากรวบรวมความกล้า “เขาช่วยชีวิตข้ากับพี่ชายไว้ เขาคือแขกผู้มีพระคุณของสกุลหง พวกเราควรจัดเลี้ยงต้อนรับเขาอย่างดีเ้าค่ะ!”
หญิงวัยกลางคนคงไม่คิดว่าหงฮวาที่ไม่ค่อยพูดค่อยจาจะยอมเอ่ยปากเพื่อคนนอกเช่นนี้ นางจึงประหลาดใจอย่างยิ่งยวด
“หึ ตามใจพวกเ้าก็แล้วกัน” นางหันหลังเดินจากไป แต่เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่าเสียหน้าจึงหยุดฝีเท้า และหันกลับมาออกคำสั่ง “จำไว้ว่าต้องรีบหาสัตว์ิญญามาให้ได้ ่นี้ริ้วรอยบนใบหน้าข้าเพิ่มขึ้น ต้องบำรุงอย่างดี”
จากนั้นก็มองดูแผ่นหลังของหญิงวัยกลางคนจากไป หงฮวาเผยสีหน้าไม่พอใจ ส่วนหงฝูได้แต่ถอนหายใจ “แต่นั่นข้าตั้งใจจะหามาเพื่อรักษาใบหน้าของเ้า...”
ลู่เต้ากลับไม่คิดเช่นนั้น “ข้าว่าเ้าไม่จำเป็ต้องเสียเวลากับการตามหาสัตว์ิญญาบนยอดเขาเลย”
หงฝูใรีบถาม “ทำไมหรือ ท่านผู้มีพระคุณหมายถึงว่าท่านเองก็หมายปองสัตว์ิญญาตัวนั้นเช่นกันหรือ”
ลู่เต้าเกาหัวครุ่นคิดก่อนจะตอบ “ไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่ข้าไม่อยากให้เ้าเสียเวลากับสัตว์ิญญาที่ไม่มีอยู่จริง”
“ไม่มีอยู่จริง เช่นนั้นข่าวลือนั้นเป็เท็จงั้นรึ” หงฝูเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ลู่เต้าพยักหน้า เป็การยืนยันว่าเขาเดินทางผ่านยอดเขามายังที่นี่ ไม่พบเห็นสัตว์ิญญาจำพวกงูที่หงฝูกล่าวถึงเลย
ท้ายที่สุดแล้ว ต้นตอของข่าวลือเื่สัตว์ิญญาก็อยู่บนหลังเขานี่เอง
หงฝูที่ตั้งใจหาสัตว์ิญญามารักษาใบหน้าของน้องสาวก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าจะทำใจได้ “เป็เช่นนี้นี่เอง...”
ลู่เต้าเห็นสีหน้าของหงฝูก็สงสาร จึงถามไป๋เสียในใจ “ในน้ำเต้าของเ้ามีขนมหวานอะไรที่พอจะช่วยพวกเขาได้บ้างหรือไม่”
‘มีสิ’ ไป๋เสียตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“จริงหรือ” ลู่เต้าถามอย่างประหลาดใจ
‘หลังจากทานเข้าไป รอยแผลเป็บนใบหน้าของนางจะลอกออก ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แผลอื่นๆ บนร่างกายก็จะหายเป็ปกติ’ ไป๋เสียใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ทำท่าทางว่าเล็กน้อยยิ่ง พร้อมกล่าวต่อ ‘เพียงแต่...มีผลข้างเคียงเล็กน้อย’
“รีบบอกข้ามาสิ บางทีพวกเขาอาจจะรับได้” ลู่เต้าร้อนใจ
‘จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่นางจะกลายเป็ศพเดินได้ที่ไร้ิญญา เชื่อฟังคำสั่งข้าทุกอย่างเท่านั้นเอง’ ไป๋เสียหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
‘นั่นมันไม่ต่างอะไรกับคนตายแล้ว!!!’ ลู่เต้าคำรามลั่นในใจ ในเวลาเดียวกันก็อยากจะคว้าตัวไป๋เสียมาเขวี้ยงลงพื้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด
[1] ปลาหลี่ หมายถึง ปลาคาร์ป
