เนตรแห่ง์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกิญญาของอสรพิษเหมันต์าไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
“หนิงเอ๋อร์ เ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้าุโหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูริญญาในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางิญญาของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็กังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ
“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูริญญาเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกิญญาแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ
“เช่นนั้นแล้วแต่เ้า รบกวนผู้าุโหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา
“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้ายกับลู่ซีเป็อย่างดี! เพียงแต่ด้วยความสามารถและทักษะเชิงยุทธ์ของทั้งสองคนในตอนนี้ข้าคิดว่าคงไม่น่าห่วงสักเท่าไหร่นะขอรับ” หวังฮุ่ยรับคำพร้อมกับเอ่ยเสริมขึ้นตามความคิดของตน
“ผู้าุโจะเดินทางในวันพรุ่งนี้เลยหรือไม่?”
“เป็เช่นนั้นขอรับ” หวังฮุ่ยตอบกลับไป
“ท่านลุงฮุ่ยในวันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางยามใดดีขอรับ?” หนิงอ้ายได้สอบถามกับหวังฮุ่ยอีกเล็กน้อยเพื่อที่จะได้เตรียมตัวในการเดินทางวันพรุ่งนี้
“ข้าคิดว่าเริ่มออกเดินทางในต้นยามเฉินคุณชายคิดเห็นเป็อย่างไร??” หวังฮุ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปพร้อมกับถามความเห็นของเด็กหนุ่ม
“ดีเหมือนกันขอรับออกเดินทางแต่เช้าอากาศคงจะดีไม่น้อย เช่นนั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะขอรับ” หนิงอ้ายตอบกลับไปก่อนที่จะประสานมือโค้งคำนับอีกฝ่ายก่อนที่จะขอตัวกลับห้องพักของตน
หนิงอ้ายใช้เวลาตลอดทั้งคืนในการดูดซับพลังปราณฟ้าดินตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา หลังจากที่เขาได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกอสูรอสรพิษาไปจนทำให้ในตอนนี้เขาเป็ผู้ฝึกตนขุนนางิญญาระดับที่29 แล้ว พลังิญญาในแต่ละเขตขั้นใหญ่นั้นกว้างใหญ่และต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่าที่จะสะสมให้เติมเต็มพร้อมที่จะทะลวงผ่านขึ้นไปเป็ระดับจักรพรรดิิญญาได้สำเร็จ แม้จะมีแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตที่เขาสวมใส่อยู่ก็จริงแต่หนิงอ้ายไม่ได้เร่งรีบในการทะลวงผ่านระดับจักรพรรดิมากถึงเพียงนั้น สิ่งที่เขา้าคือรากฐานของพลังิญญาที่มั่นคงหนักแน่น
ระยะเพียงหนึ่งปีที่ใช้ไปกับเส้นทางของการเป็ผู้ฝึกตนนี้ จากคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่อาจปลุกพลังิญญาได้แต่ในตอนนี้กล่าวได้ว่าเขานั้นเป็ผู้ฝึกตนขุนนางิญญาขั้นสูงผู้หนึ่งด้วยอายุเพียงสิบห้าปี แต่กลับพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของผู้ฝึกตน สำหรับระดับพลังิญญาสามขั้นแรกนั้นไม่ใช่เื่ยากที่จะเอื้อมถึงได้ ทว่าเขตขั้นของระดับจักรพรรดิิญญาถือว่าเป็อีกหนึ่งคอขวดใหญ่ที่เป็อุปสรรคใหญ่ของผู้ฝึกตนที่เลือกเข้าสู่เส้นทางสายนี้ เพราะด้วยปริมาณของพลังิญญาที่มหาศาลที่นอกจากจะต้องดูดซับปราณฟ้าดินเป็จำนวนมากแล้ว ยังต้องใช้ทรัพยากรบ่มเพาะไม่น้อยเช่นกัน หรืออาจใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบปีในการดูดซับพลังลมปราณมาเติมเต็ม
แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้หนิงอ้ายคงไม่พบเจอเป็แน่เพราะด้วยเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันขึ้นชื่อในเื่การดูดซับปราณฟ้าดินและขยายเส้นชีพจรลมปราณของผู้ใช้วิชาให้ขยายใหญ่เพิ่มขึ้นกว่าคนทั่วไปแล้ว จี้หยกสีโลหิตที่ได้รับมาจากกล่อมสมบัติของท่านบรรพบุรุษที่มีส่วนช่วยในการดึงดูดลมปราณฟ้าดินโดยรอบพร้อมกับหลอมกลั่นให้มีความบริสุทธิ์อย่างยิ่งยวดก่อนจะถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายกระจายไปทั่วจุดชีพจรทั้ง361จุดและจุดตันเถียรอันเป็แหล่งกักเก็บพลังลมปราณของร่างกาย ขอเพียงอาศัยแรงกระตุ้นอีกเล็กน้อยสำหรับเขตขั้นจักรพรรดิิญญาหนิงอ้ายเชื่อมั่นว่าเขาย่อมสามารถก้าวถึงได้อย่างแน่นอน...
แสงแรกของอรุณรุ่งมาถึงเฉกเช่นทุกวัน เช้าวันนี้ลู่ซีได้เข้ามาจัดเตรียมข้าวของพร้อมกับจัดการความเรียบร้อย เมื่อถึงเวลานัดหมายแล้วทั้งสองคนได้มุ่งตรงไปยังหน้าเรือนในทันที
“ขออภัยท่านลุงฮุ่ยที่ทำให้ต้องรอขอรับ” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือโค้งคำนับเล็กน้อย
“ข้าเองก็พึ่งมาถึงก่อนหน้าคุณชายเพียงไม่นานเท่านั้น” หวังฮุ่ยตอบไปพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“ท่านแม่แน่ใจใช่ไหมขอรับว่าสามารถอยู่ที่เรือนนี้ได้ ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรู ข้าขอฝากทั้งสองท่านช่วยดูแลมารดาของข้าด้วยนะขอรับ” หนิงอ้ายถามารดาของตนไปด้วยความเป็ห่วง ก่อนจะหันไปพูดคุยกับบุรุษสตรีที่ยืนข้างมารดาตน
“คุณชายไม่ต้องเป็ห่วงขอรับ/คุณชายไม่ต้องเป็ห่วงเ้าค่ะ...” จางปินกับหรันหรูเอ่ยรับคำด้วยความหนักแน่น
“คุณชายไม่ต้องกังวล ข้าได้ให้องค์รักษ์สองคนคอยเฝ้าดูแลคุณหนูเยว่ซินพร้อมกับเรือนหลังนี้แล้วเช่นกัน...” หวังฮุ่ยเอ่ยเสริมขึ้น เพราะ่กลางคืนที่ผ่านมาเขาได้วางหมุดค่ายกลป้องกันระดับสูงไว้ล้อมรอบเรือนหลังนี้เรียบร้อย
“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้วขอรับ”
“เมื่อพร้อมกันแล้วข้าว่าพวกเราเร่งออกเดินทางกันเถิด แม้ว่าเทือกเขาหมื่นอสูริญญาจะอยู่ห่างจากแคว้นหงส์แดงไม่กี่ชั่วยามก็จริง แต่หากไปถึงเวลาค่ำมืดแล้วคงไม่ดีสักเท่าไหร่นัก!!” เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาเริ่มออกเดินทางเสียที จากนั้นหวังฮุ่ย หนิงอ้าย ลู่ซีและองค์รักษ์ชุดดำอีกหนึ่งคนได้พุ่งทะยานตัวขึ้นบนอากาศด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ ทั้งสี่คนได้มุ่งตรงไปยังทิศตะวันออก อันเป็ทิศที่ตั้งของเทือกเขาหมื่นอสูริญญาเพื่อเสาะหากระดูกิญญาและเพิ่มพูนทักษะประสบการณ์ที่มากขึ้น
การเดินทางของหนิงอ้ายได้เริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็หนิงอ้ายคนเก่าหรือตัวเขาที่เป็นทีที่อยู่ในร่างนี้ไม่ถึงหนึ่งปีล้วนต่างไม่เคยเดินทางไกลจากเรือนนี้แม้เพียงครั้งเดียว มากสุดที่เคยไปก็เป็เพียงตลาดนัดใจกลางเมืองหลวงที่อยู่ไม่ห่างไปจากจวนตระกูลจาง ความรู้สึกหนิงอ้ายในตอนนี้คือตื่นเต้นเป็อย่างมาก เพราะนี่ไม่ต่างจากการลงสนามทดสอบในฐานะของผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่จำเป็ต้องมีประสบการณ์ที่แท้จริง...
หนิงอ้ายกับลู่ซีใช้วิชาตัวเบากันอย่างคล่องแคล่ว ตรงด้านหน้ามีหวังฮุ่ยเป็ผู้นำทางในครั้งนี้ ตามมาด้วยหนิงอ้าย ลู่ซีและองครักษ์ชุดดำอีกหนึ่งคนปิดท้าย ด้วยเพราะหนิงอ้ายกับลู่ซีเป็ผู้ฝึกตนขุนนางิญญาแล้ว ดังนั้นในการใช้พลังลมปราณจึงเป็ไปอย่างราบรื่นไม่ติดขัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวังฮุ่ยกับองครักษ์ชุดดำคนนั้นที่เนตรแห่ง์ส่งข้อมูลให้หนิงอ้ายรับรู้ว่าทั้งสองคนเป็ผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสุด กลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาอย่างบางเบานั้นได้ขับไล่สัตว์อสูรที่ต่ำกว่าระดับนภาได้ทั้งสิ้น ดูไปแล้วการไล่ล่าสัตว์อสูรเพื่อหาวงแหวนิญญาคงมีความสำเร็จไม่น้อยไปกว่าแปดส่วน
“พวกเราจะเดินทางโดยใช้วิชาตัวเบาหนึ่งชั่วยามและเดินเท้าอีกหนึ่งชั่วยามสลับกันไปจนกว่าจะถึงเทือกเขาหมื่นอสูริญญานะขอรับ และหากถึงเขตป่าชั้นนอกแล้วค่อยหยุดพักสักครึ่งชั่วยามก่อนที่จะเดินทางอีกครั้ง” หวังฮุ่ยพูดกับเด็กหนุ่มตรงหน้าตน เพราะการเดินทางด้วยเคล็ดวิชาตัวเบานั้นสิ้นเปลืองพลังลมปราณในร่างกายเป็อย่างมาก แม้ว่าเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้จะมีความพิศดารในการดูดซับปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาชดเชยพลังลมปราณในร่างกายที่เสียไปก็จริง แต่ถึงอย่างไรทั้งหนิงอ้ายกับลู่ซีก็เป็เพียงผู้ฝึกตนระดับขุนนางิญญาเท่านั้น จึงสมควรที่ใช้การเดินทางสลับไปเช่นนี้เป็การดีที่สุด
“ขอรับท่านลุงฮุ่ย!!” หนิงอ้ายพยักหน้าเห็นด้วยกับการเดินทางเช่นนี้
คณะเดินทางของหนิงอ้ายในครั้งนี้ทั้งสี่คนต่างมุ่งเดินทางไปยังเทือกเขาป่าอสูรที่อยู่ฝั่งทิศตะวันออกของแคว้นหงส์แดงได้ดำเนินไปเรื่อย ๆ คณะเดินทางทั้งสี่คนได้สลับไปมาตามวิธีการดังกล่าวที่ได้ตกลงกันไว้ จนเมื่อถึงยามเว่ยจึงหยุดพักทานอาหารที่เตรียมมา
“เขตป่าชั้นนอกคงมีแต่สัตว์อสูรระดับปฐีหรือระดับนภาขั้นต่ำเพียงเท่านั้น พวกเราต้องเดินทางเข้าไปลึกกว่านี้ เช่นนั้นพักกันตรงนี้เสียก่อนแล้วกัน...”
“เหนื่อยมากหรือไม่ขอรับคุณชาย??” หวังฮุ่ยถามหนิงอ้ายด้วยความเป็ห่วง จริงอยู่ที่ว่าในตอนนี้อีกฝ่ายเป็ถึงผู้ฝึกตนระดับขุนนางขั้นสูงแล้วร่างกายย่อมมีความแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็อย่างมากก็ตาม
“ไม่เลยขอรับท่านลุงฮุ่ย ได้เดินทางเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย อีกทั้งลมปราณฟ้าดินยังหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าที่จวนตระกูลจางเป็อย่างมาก” หนิงอ้ายตอบไปตามที่ตนคิดเพราะร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก
แม้จะสิ้นเปลืองพลังลมปราณไปกับการใช้วิชาตัวเบาก็จริงแต่ก็ถูกทดแทนด้วยจี้หยกโลหิตที่เขาได้สวมใส่ไว้ตลอดเวลา อีกทั้งในตอนนี้เขาเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็อย่างมาก ดังนั้นแม้ไม่ได้บัญชาการหรือโคจรไปตามวิถีแต่ร่างกายของเขายังคงดูดซับปราณฟ้าดินที่อยู่โดยรอบตัวตลอดเวลาเช่นกัน
“แล้วเ้าเล่าลู่ซีรู้สึกอย่างไร ไหวหรือไม่?” หวังฮุ่ยหันไปถามเด็กหนุ่มอีกคนที่เป็ดั่งลูกศิษย์ของตนอีกคน
“ข้ายังไหวอยู่ขอรับผู้าุโ แม้จะสิ้นเปลืองพลังลมปราณไปไม่น้อยแต่การเดินทางสลับเดินเท้าเช่นนี้ถือว่าดียิ่งแล้วขอรับ...” ลู่ซีตอบกลับไป
“เป็เช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่างไรก่อนพระอาทิตย์ตกดินพวกเราคงถึงเขตป่าชั้นนอกของเทือกเขาหมื่นอสูริญญา อย่างไรค่อยหาที่พักบริเวณนั้นเพราะการเดินทางในเขตป่าในยามค่ำคืนคงไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำสักเท่าไหร่นัก”
“ขอรับ!!” หนิงอ้ายกับลู่ซีพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพวกเขาทั้งสี่คนจึงเริ่มเดินทางกันอีกครั้งด้วยวิธีการเดินทางเช่นเดิมสลับไปมาจนในที่สุดก็ถึงยามโหย่วแล้วพอดี
“ตรงหน้านี้คือทางเข้าเทือกเขาหมื่นอสูริญญาใช่หรือไม่ขอรับ??” หนิงอ้ายพูดขึ้นพร้อมกับมองไปโดยรอบ พบเห็นเป็แนวเทือกเขาสูงใหญ่สลับกันซับซ้อนไปสุดสายตา
“เทือกเขาหมื่นอสูริญญามีอาณาเขตติดกับแคว้นัเขียว กล่าวได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นไม่ต่างไปจากแคว้นหนึ่งเสียด้วยซ้ำ แม้จะเป็ในยามกลางวันแต่ทว่าภายในเขตพื้นที่ยังเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวปกคลุมไปทั่วทั่งผืนป่า อีกทั้งในยามกลางคืนยังมีสัตว์อสูรประหลาดมากมายหลายเผ่าพันธ์ที่คอยหลอกล่อชาวบ้านหรือผู้ฝึกตนระดับต่ำไปเป็อาหาร ดังนั้นหากพ้นคืนนี้ไปแล้วพวกเราควรที่จะเร่งเดินทางไปยังเขตป่าชั้นกลางให้เร็วที่สุด เพราะเป้าหมายในครั้งนี้คือการเสาะหากระดูกิญญาของสัตว์อสูรระดับนภาขั้นกลางเป็ต้นไป...”
“ความจริงแล้วเทือกเขาหมื่นอสูริญญาไม่ได้เป็พื้นที่เดียวที่มีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ เพราะในแต่ละเขตติดต่อของทั้งสี่แคว้นต่างมีเขตป่าผืนใหญ่อันเป็แหล่งอาศัยของสัตว์อสูรเหล่านี้ทั้งสิ้น แต่หากนับจากระยะทางที่ใกล้เคียงกับแคว้นหงส์แดงแล้ว เทือกเขาหมื่นอสูริญญานับว่าเป็อีกหนึ่งสถานที่ที่สามารถพบเจอสัตว์อสูรได้มาก แต่แน่นอนว่าย่อมแฝงไปด้วยอันตรายที่มองไม่เห็นด้วยเช่นกัน...” หวังฮุ่ยอธิบายออกมา เพราะโดยปกติแล้วผู้ฝึกตนต่างล้วนทราบกันดีถึงความลี้ลับของเทือกเขาหมื่นอสูริญญาแห่งนี้
“คืนนี้พวกเราจะตั้งกระโจมพักกันที่นี่นะขอรับ” กล่าวจบลงหวังฮุ่ยได้เริ่มตั้งกระโจมที่ได้เตรียมมาเป็จำนวนทั้งสิ้นสองหลัง โดยที่พวกเขาทั้งสี่คนนั้นเร่งตั้งกระโจมพักนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จากนั้นหวังฮุ่ยได้แยกตัวไปจัดการร่ายบทเวทย์เขตแดนป้องกันในรัศมี1ลี้
หนิงอ้ายที่สามารถเรียกใช้ความสามารถของเนตรแห่ง์ตามที่ใจ้าแล้ว จึงรับรู้ได้ว่าบทเวทย์เขตแดนนี้มีนามว่า เขตแดนจตุรทิศศักดิ์สิทธิ์พิฆาตมาร อันเป็หนึ่งในบทเวทย์เขตแดนป้องกันแข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหวัง แม้อาจมีความยุ่งยากซับซ้อนเล็กน้อยในการเรียกใช้ แต่หนิงอ้ายเห็นว่านอกจากที่อีกฝ่ายจะร่ายบทเวทย์ดังกล่าวแล้ว ยังได้มีการวางสลักค่ายกลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอักขระเวทย์ป้องกันทั้งแปดทิศอีกด้วย
“นับว่าเป็บทเวทย์เขตแดนที่แข็งแกร่งเลยทีเดียวนะขอรับท่านลุงฮุ่ย!!”
“บทเวทย์เขตแดนจตุรทิศศักดิ์พิชิตมาร เป็หนึ่งในสามของบทเวทย์เขตแดนป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกุลหวังที่อดีตบรรพชนผู้นำตระกูลท่านหนึ่งได้เขียนขึ้น นับว่าเป็บทเวทย์เขตแดนที่มีประโยชน์และสามารถพลิกแพลงใช้งานได้อย่างหลากหลายยิ่งนัก หากคุณชายถึงเขตขั้นจักรพรรดิิญญาได้สำเร็จข้าจะสอนคุณชายได้เรียนรู้นะขอรับ...” ด้วยเพราะบทเวทย์เขตแดนนี้มีเพียงผู้าุโสำคัญในตระกูลเท่านั้นที่มีสิทธิในการศึกษาเรียนรู้ เงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ ที่มากมายและความยุ่งยากซับซ้อน รวมไปถึงการใช้พลังลมปราณมากกว่าสามถึงสี่ส่วนในการเรียกใช้ในแต่ละครั้ง ดังนั้นผู้ที่จะเรียกใช้บทเวทย์เขตแดนดังกล่าวนอกจากจะมากไปด้วยพร์แล้วยังต้องเป็ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญาขึ้นไป
“ขอบคุณท่านลุงฮุ่ยมากขอรับ วันใดที่ข้าพร้อมไปด้วยคุณสมบัตินี้คงต้องรบกวนท่านแล้ว...” หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความถ่อมตนที่สร้างความประกับใจให้กับชายวัยกลางคนนี้อีกครั้ง
หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วคณะเดินทางทั้งสี่คนจึงได้นั่งพักผ่อนพร้อมกับพูดคุยกันเล็กน้อยถึงแผนการหลังจากนี้ ก่อนที่จะตกลงกันว่าจะสลับกันเฝ้าเวรยามคนละหนึ่งชั่วยามโดยเริ่มจากลู่ซี หวังฮุ่ย หนิงอ้ายและองครักษ์ชุดดำจะเป็ผู้เฝ้ายามใน่ใกล้เช้าเพื่อให้ทุกคนได้สลับกันพักผ่อนให้ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสี่คนยังคงนั่งล้อมวงพูดคุยกันด้วยเพราะร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นไม่จำเป็ต้องนอนหลับพักผ่อนเฉกเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไปเช่นกัน
“คุณชายคิดไว้แล้วหรือยังขอรับว่าจะเลือกกระดูกิญญาสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์ใดในการประสานเข้ากับร่างกาย??” ลู่ซีถามหนิงอ้ายขึ้น
“เพื่อให้ความสามารถจากการดูดซับกระดูกิญญาของอสรพิษเหมันต์าเพิ่มพูนประสิทธิภาพ ข้าคงเลือกสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษสักตัวในการดูดซับกระดูกิญญาชิ้นแรกนี้...”
“แล้วเ้าเล่าลู่ซี คิดไว้แล้วบ้างหรือยังว่าจะเลือกสัตว์อสูรใดในการประสานเข้ากับกระดูกิญญาิญญากัน...”
“ิญญายุทธ์ของข้ามีรากฐานจากปราณธาตุน้ำ ดังนั้นข้าคงเลือกสัตว์อสูรในสังกัดปราณธาตุเดียวกันขอรับ” ลู่ซีตอบกลับไป
“หรือหากได้กระดูกิญญาของสัตว์อสูรที่มีความสามารถในการเพิ่มทักษะด้านการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วก็คงดีไปไม่น้อย...” หนิงอ้ายเอ่ยเสริมขึ้นโดยที่ลู่ซีนั้นพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝึกตนสามารถทะลุเขตขั้นเป็ผู้ฝึกตนขุนพลิญญาได้สำเร็จ หาก้าแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นนอกจากจะต้องเชี่ยวชาญในเชิงยุทธิ์รวมไปถึงการใช้งานบทเวทย์ต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถนำกระดูกิญญาที่เกิดจากการสังหารสัตว์อสูรระดับนภาเป็ต้นไปประสานเข้ากับร่างกายที่ของผู้ฝึกตน นอกจากที่กระดูกิญญาจะมีส่วนช่วยในการทะลวงระดับขึ้นไปแล้ว กระดูกิญญาเหล่านี้ยังคงมอบทักษะิญญาที่เป็ความสามารถให้อีกด้วย ซึ่งเป็อีกส่วนสำคัญของความแข็งแกร่งในหมู่ผู้ฝึกตน
ดังนั้นสัตว์อสูรแต่ละเผ่าพันธุ์ แต่ละสังกัดปราณธาตุล้วนต่างมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในด้านการโจมตีระยะประชิดหรือระยะไกล บ้างก็มีความสามารถในการป้องกันที่โดดเด่นหรือการโจมตีที่เฉียบคม แน่นอนว่าการเลือกกระดูกิญญาของสัตว์อสูรในการดูดซับประสานเข้ากับร่างกายนั้นต้องส่งเสริมพลังปราณธาตุต้นกำเนิดของผู้ฝึกตนให้ได้มากที่สุดนั่นเอง...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้