“ฝ่าา ทหารหน่วยสอดแนมที่ส่งออกไปไม่มีผู้ใดกลับมาพ่ะย่ะค่ะ” นายทหารในชุดเกราะเต็มยศมองดูแล้วตำแหน่งของคนผู้นี้อาจสูงถึงแม่ทัพ ทว่าความน่าเกรงขามหรือรังสีอำมหิตที่เ้าตัวแผ่ออกมาก็ไม่อาจเทียบเท่าผู้เป็นายเหนือหัวที่ขี่ม้านำเยื้องอยู่เบื้องหน้าได้ กำบั้นแกร่งยกขึ้นมาทุบอกด้านซ้ายเป็การแสดงความเคารพพลางเอ่ยรายงานสถานการณ์
“ข่าวจากพวกสุนัขต้าซ่งส่งมาหรือยัง?” เสียงห้าวทุ้มเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยือก กระหายเื ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด แม้กองทัพที่มีกำลังพลห้าแสนนายแม้จะเดินทางอย่างเร่งรีบ ทว่ากลับเป็การเดินทางอันเงียบเชียบราวกับภูตผี เย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋ มิได้ให้ความสนใจกับทหารหน่อยสอดแนมไม่กี่ร้อยนายที่ถูกส่งออกไปแล้วไม่ได้กลับมาสักนิด หากแต่เ้าตัวกลับเอ่ยถามถึงข่าวจากสุนัขรับใช้จากต้าซ่งแทน
“จากจดหมายที่ส่งมา พวกต้าซ่งเริ่มเตรียมตัวฉลองวันสิ้นปีกันแล้ว” แม่ทัพคนดังกล่าวตอบคำถามด้วยน้ำเสียงหยามหยันอย่างห้ามไม่อยู่
“ใช่สิ...วันสิ้นปีใกล้เข้ามาทุกที แคว้นพี่น้องเช่นเราจะไม่มอบของขวัญชิ้นพิเศษให้ต้าซ่งอันยิ่งใหญ่ได้เช่นไร”
“ฝ่าาทรงตรัสได้ถูกต้อง นี่ถือเป็ความกรุณาจากแคว้นเหลียวของเรา ฮ่า ฮ่า” แม่ทัพหน้าเหี้ยมเปล่งเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ
ศึกในครั้งนี้เหมือนปล่อยฝูงหมาป่าหิวโซเข้าไปในคอกแกะอันอวบอ้วน โอกาสดีๆ เช่นนี้พวกเขาจะขอสนุกกับมันอย่างเต็มที่ แม้จะยึดครองไม่ได้ ทว่าการสร้างประวัติศาสตร์ให้พวกต้าซ่งได้หวนรำลึกไปอีกหลายร้อยปีมันก็เป็ชัยชนะที่สมบูรณ์แบบอีกครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือ
ดังเช่นครานั้น...
แม้การศึกในครั้งนั้นแคว้นเหลียวจะสูญเสียไปมาก ทว่า...การควักหัวใจของแม่ทัพสกุลเฉินออกมาสดๆ ช่างเป็เื่ราวที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ไม่รู้ว่า ต้าซ่งในวันนี้จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอลงกว่าแต่ก่อน
เย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋ ทอดสายตาไปเบื้องหน้าที่มีแต่ความมืดมิดและเวิ้งว้าง กองทัพทมิฬพร้อมประกาศศักดาให้ใต้หล้าได้รับรู้อีกครา ว่าแคว้นเหลียวไม่ได้เป็เพียงแคว้นป่าเถื่อนที่ไม่ควรค่าแก่การให้ความสนใจ
ข้าผู้นี้จะประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ว่าถึงแม้จะเป็แคว้นที่มีอารยะธรรมมากกว่าพันปี พวกเาาวเหลียวก็กล้าที่จะต่อกร ไม่เกรงกลัว!
...
อีกฟากหนึ่งของหุบเขา
ยามนี้แสงแรกของวันใหม่เริ่มสาดส่องออกมาให้เห็นอย่างเลือนราง ภายในม่านหมอกที่แสงสาดส่องไปไม่ถึงเงาทะมึนปกคลุมไปจนสุดสายตา เมื่อม่านหมอกถูกสายลมพัดจนจางหายไปก็ปรากฏกองทัพขนานใหญ่ตั้งขบวนเฝ้ารอบางสิ่งอย่างเงียบเชียบ
อาชาศึกในชุดเกราะเหล็กสีดำทะมึนพร้อมกับผู้นั่งอยู่บนหลังของมัน ร่างเล็กแม้ไม่องอาจเช่นชายชาตรีทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามของแม่ทัพ หนึ่งอาชาหนึ่งสตรีร่างเล็กประจันหน้ากับกองทัพเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่ง สายลมอันเย็นเยียบพัดผ่านผ้าคลุมผืนสีดำสนิทเกิดเป็คลื่นพลิ้วไหว
"ท่านแม่ทัพ...ทุกสิ่งได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ"น้ำเสียงอันทรงพลังของรองแม่ทัพกวนกล่าวรายงานต่อท่านแม่ทัพของตน
"ดี...เช่นนั้นก็รอเพียงเวลาเท่านั้น"เสียงหวานใสของซ่างกวนจือหลินขานตอบผู้ใต้บังคับบัญชาคนใหม่อย่างแ่เบา พร้อมกับกระตุกสายบังเหียนเบาๆ ให้อาชาศึกคู่ใจหันหน้ากลับไปทางหุบเขาอับเป็ที่ตั้งของค่ายกลเก้าสังหาร
แม้ตัวนางจะได้รับาเ็จากการสร้างค่ายกลไปไม่น้อย ทั้งการกรีดเื เฉือนเนื้อ ตัดกระดูก ยิ่งอย่างสุดท้ายการตัดกระดูกนี่เป็การลงมือกับตนเองได้อย่างโหเหี้ยม และทารุณสำหรับการมีชีวิตใหม่ในชาตินี้ แม้กระดูกซี่โครงชิ้นเล็กๆ ทว่ากว่าที่จะเลาะจะตัดออกมาได้ ก็สร้างความเ็ปจนนางหวิดจะหมดสติไปหลายหน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดยากเกินกวามานะของคนไปได้
ยามนี้ั์ตาอันดำมืดราวกับมหานทีอันยากจะหยั่งกำลังทอดมองม่านพลังบางๆ ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขาเบื้องหน้า ช่างเป็ค่ายกลสังหารที่สมบูรณ์แบบยิ่งนัก
ไม่รู้ว่ายอดรักของข้า...จะมีปัญญาพอที่จะแก้มันได้หรือไม่นะ
อย่าทำให้ข้าผิดหวังนักเล่า เย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋
ข้ารอเ้าอยู่ตรงนี้ หวังว่าเราจะได้ประลองกันสักหน หึ หึ
"ฝ่าาด้านหน้าเป็หุบเขาน่าเหลาเจี๋ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
เย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดตอบผู้เป็แม่ทัพของตนอยู่ครู่ใหญ่ สายตาที่เฉียบคมราวกับพญาอินทรีย์มองปราดไปยังหุบเขาเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด ปลายนิ้วแกร่งลูบไล้สายบังเหียนไปมาอย่างใช้ความคิด ลางสังหรบอกชายหนุ่มว่าสถานการณ์ตรงหน้าแปลกไปจากเดิม ทว่าตัวเขาก็ไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งที่ผิดแปลกไปนั้นเกิดจากสิ่งใด
ตำแหน่งเทพาแห่งกองทัพทมิฬนี้ไม่ใช่เ้าตัวได้มาเพียงเพราะเป็องค์รัชทายาทเท่านั้น แต่ด้วยความสามารถในการรบที่ร้อยปียากจะเกิดสุดยอดนักรบมาจุติยังแคว้นเหลียว ทำให้ชายหนุ่มส่งตนเองและมารดาขึ้นมายังจุดสูงสุดของแคว้นได้อย่างมั่นคง เขานั่งในตำแหน่งรัชทายาทส่วนมารดาก็ได้นั่งตำแหน่งฮองเฮาอย่างชอบธรรม
"เตรียมตัวพร้อมรบ"
สิ้นเสียงคำสั่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและอำนาจขององค์รัชทายาทหนุ่มเหล่าทหารกองทัพทมิฬต่างเปล่งเสียงขานตอบอย่างกึกก้อง ราวกับเสียงนั้นจะสั่นะเืไปทั่วท้องฟ้าและผืนพสุธา กระทั่งอีกฟากหนึ่งของที่กองทัพิญญาพยัคฆ์ตั้งทัพรอท่าอยู่ยังสดับฟังอย่างชัดเจน
การเตรียมพร้อมรบของกองทัพทมิฬแห่งแคว้นเหลียวเป็ที่เลื่องลือเื่ความรวดเร็วว่องไวของเหล่าทหารกล้า ใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อทั้งกองทัพต่างก็เตรียมพร้อมอาวุธ ยุโทปกรณ์เสร็จสิ้น เมื่อได้รับสัญญาณให้เคลื่อนพลเข้าไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่หุบเขาน่าเหลาเจี๋ยทหารทุกนายต่างเปิดประสาทััเตรียมพร้อมรับการโจมตีได้ทุกเมื่อ
เย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋ขี่อาชาศึกนำอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง นี่ไม่ใช่ศึกครั้งแรกของเขาและก็ไม่ใช่การศึกที่เกิดอย่างกะทันหัน แต่เป็การวางแผนคิดคำนวณมาอย่างรอบคอบ ดังนั้นทุกความเป็ไปได้ที่ฝ่ายศัตรูจะรู้ทันหรือหาทางตั้งรับตัวชายหนุ่มก็ได้คาดการณ์เอาไว้หมดทั้งสิ้น
ภายในหุบเขาอันเวิ้งวางเต็มไปด้วยม่านหมอกอันหนาทึบ อากาศรอบด้านคล้ายกลับจะเย็นะเืกว่าด้านนอกยิ่งนัก เมื่อกองทัพเคลื่อนพลมาถึงใจกลางของหุบเขาสายลมหวีดหวิวพัดเอากลุ่มหมอกทึบที่ลอยตัวจนแทบจะมองไม่เห็นทางเบื้องหน้าออกไป แล้วสิ่งที่เย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋คาดการณ์เอาไว้ก็ได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาในที่สุด กองทัพต้าซ่งยามนี้กำลังประจันกับกองทัพทมิฬของเขาอย่างคนที่ไม่กลัวตาย
ฝ่ามือแกร่งยกขึ้นเป็สัญญา เหล่าทหารแห่งกองทัพทมิฬแยกทัพออกมาเตรียมพร้อมการประจัญบานอย่างพร้อมเพรียง สิ้นสัญญาณของเ้าเหนือหัวเหล่าทหารกล้าก็บุกตะลุยโจมตีฆ่าศึกในทันที เสียงดังกึกก้องแสดงถึงความห้าวหาญและความแกร่งกล้า เมื่ออาวุธสังหารถูกปล่อยออกไปสิ่งที่เหลือเอาไว้ก็มีเพียงทะเลเือันแดงฉาน
โลหิตไหลรินดุจธารา อาบชโลมเกล็ดหิมะ
หนึ่งดาบปลิดชีพ หนึ่งห่าธนูกวาดล้างให้สิ้น
กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง
เสียงไม้เท้าขักขระ[1] ที่พระภิกษุถือให้เห็นเป็บางครั้งคราวดังขึ้นเป็จังหวะสามครั้ง ในทางพุทธศาสนากล่าวว่าเสียงขักขระสามหนคือ พระมาโปรดแล้ว...
ซ่างกวนจือหลินมองเหล่าภิกษุที่เดินฝ่าหิมะมาหยุดอยู่ด้านหน้าทางเข้าหุบเขาด้วยความเฉยเมย ั์ตาอันมืดมิดสว่างวาบเมื่อผู้มาเยือนนั่งปักหลักอยู่ด้านหน้า แล้วภิกษุที่ดูแล้วมีทั้งแก่ชราหรือหนุ่มแน่นทั้งห้ารูปกำลังเริ่มต้นสวดภาวะนาอย่างจริงจัง เสียงสวดดังเป็จังหวะจะโคนช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย คล้ายกลับจะปล่อยวางทุกสิ่งลงได้
ทว่านั่นไม่ใช่กับตัวข้า ซ่างกวนจือหลิน ไม่ใช่แม้เพียงเศษเสี้ยว ยิ่งเสียงสวดมนต์ดังเข้าไปในหัวของนางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนคมมีดที่บาดลึกมากเท่านั้น หญิงสาวสูดหายใจอย่างอยากลำบากพลางยื่นมือออกไปด้านข้าง ไม่นานง้าวจันทร์เสี้ยวก็ถูกส่งมาถึงมือของนางอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กะโลงจากม้าศึกเมื่อยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงแล้วสองเท้าก็เดินสืบไปเบื้องหน้าที่เหล่าภิกษุกำลังนั่งสวดมนต์อย่างเงียบเชียบ
"อยากตายนักหรือ"เสียงหวานใสเปล่งออกมาอย่างเย็นเยียบแฝงไปด้วยกลิ่นอายของการสังหาร ง้าวจันทร์เสี้ยวพาดอยู่บนคอของภิกษุชราที่ดูท่าแล้วจะเป็หัวหน้ากลุ่ม ความเย็นเยียบของอาวุธสังหารทำให้บทสวดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นภิกษุทั้งห้าก็สวดภาวะนาต่อไปโดยไม่ได้สนใจผู้มาเยือนแม้แต่น้อย
"ดี...คิดว่าเป็พระแล้วข้าจะไม่กล้าลงมือเช่นนั้นหรือ"หญิงสาวขยับด้ามง้าวเล็กน้อยก็ทำให้ปลายคมๆ ของใบมีดบาดลำคออันเหี่ยวย่นจนโลหิตไหลทะลักออกมาเปียกชุมไปทั่วจีวร แล้วก็มีผู้ที่ทนไม่ได้เป็หนึ่งในภิกษุที่อายุน้อยที่สุด เขาหยุดสวดภาวะนาแล้วหันมากล่าวกับสีกาในชุดเกราะทันที
"โยมได้โปรดอย่าทำร้ายท่านอาจารย์"เพราะบำเพ็ญฌานยังไม่สูงพอจึงทำให้ภิกษุหนุ่มยังตัดห่วงทั้งหลายไม่ลง และหนึ่งในนั้นก็คือความเป็ห่วงท่านอาจารย์ที่สอนสั่งเขามาแต่วัยเยาว์
"อ้อ...ที่แท้ก็ยังมีคนที่พอจะพูดคุยกันได้ แล้วท่านล่ะภิกษุเฒ่า พอจะมีเวลาสักครู่มาโปรดคนบาปเช่นข้าหรือไม่"ซ่างกวนจือหลินชักง้าวออกมาจากลำคออีกฝ่าเมื่อเห็นว่าการสวดภาวะนาไม่สามารถดำเนินต่อไปได้แล้ว หญิงสาวปักง้าวลงพื้นแล้วเดินอ้อมไปเบื้องหน้าคู่สนทนา ก่อนที่จะได้เริ่มพูดคุยนางโยนขวดยาห้ามเืให้ภิกษุหนุ่มอย่างไม่ใยดี
"โยมมักเป็เช่นนี้เสมอหรือ"ในที่สุดภิกษุชราก็ออกจากการทำสมาธิแล้วเอ่ยถามอย่างเมตตา ผู้ทรงศีลไม่มีแววของอารมณ์ใดทั้งที่ตนเองได้รับาเ็จนโชกเื
"เป็อย่าง?..."คนถูกถาม ถามกลับอย่างไม่ใส่ใจเ้าตัวยืนสบสายตากับภิกษุเฒ่าอย่างค้นหา ฝ่ายหนึ่งนั่ง ฝ่ายหนึ่งยืน ช่างเป็การสนทนาที่ประหลาด แม้จะประหลาดแต่ซ่างกวนจือหลินก็ไม่คิดที่จะนั่งลงแม้แต่น้อย
"ทำตนราวกับเป็คนโเี้ ทว่ากลับตั้งมั่นอยู่ในหลักของเหตุและผล"ภิกษุชราตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา ที่ตัวเขายังมีชีวิตรอดจะคมง้าวด้ามโตก็เพราะอีกฝ่ายอยากหาเหตุผลอันเหมาะอันควรต่อจากนี้เพียงเท่านั้น
"นี่ข้าทำตามหลักธรรมคำสอนนะ"หญิงสาวยกยิ้มอย่างชืดชาในใจเริ่มจะหมดความอดทนกับเ้าพวกนี้เต็มที
"สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็ของตน"
"ที่ท่านกล่าวมามันก็ถูก แต่ข้าจะบอกอะไรให้...หยุดซะ อย่าได้คิด อย่าได้ฝันว่าข้าจะยอมให้พวกเ้าสวดส่งดวงิญญาของพวกมัน!
ท่านลองหันหลังมองกลับไปยังทิศนั้น"ข้าขี้ไปยังทิศที่ตั้งของสามหัวเมือง
"แล้วทีนี้ท่านลองตรึกตรองดู หากข้าไม่ยกทัพมาในครั้งนี้ที่ต้องตายในด่านแรกคือทหารรักษาชายแดนกว่าหนึ่งแสนนาย ต่อมาก็ชีวิตประชาชนต้าซ่งอีกหลายหมื่นหลายแสนครัวเรือน! ดูท่าแล้วท่านคงไม่เชื่อคำพูของข้าว่าพวกเหลียวจะทำเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นก็จงดูให้เต็มตา!"ข้ากัดปลายนิ้วจนเืไหลรินออกมาเสร็จแล้วก็นำไปแต้มกลางหว่างคิ้วของภิกษุชราอย่างรวดเร็ว
ภิกษุชราเบิกตากว้างกับนิมิตภาพที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวราวกับสายน้ำอันเชี่ยวกราก เป็ครั้งแรกในหลายสิบปีที่มีสิ่งใดทำให้ใจท่านได้รับความตื่นตระหนกและความรู้สึกหลากหลายที่มิอาจจะบรรยายออกมาได้
นี่เป็การนองเืชีวิตประชาชนที่บริสุทธิ์ครั้งใหญ่ในรอบหลายร้อยปี
แล้วท่านก็เข้าใจที่สีกาท่านนี้จะมีใจ้าสังหารตน ตัวท่านแม้จะเป็ผู้ทรงศีล ผ่านการบำเพ็ญภาวะนามาเกือบทั้งชีวิต ทว่าก็มิอาจรับรู้ถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้แม่นยำเช่นนี้ ที่ท่านและเหล่าศิษย์มากันในวันนี้เป็เพราะจิตญาณหยั่งรู้ในห้วงจิตเสี้ยวหนึ่งว่าจะมีการนองเืครั้งใหญ่ที่ดินแดนทางเหนือแห่งนี้ ทว่าท่านกลับไม่อาจรู้แจ้งได้ว่าที่จริงแล้วการนองเืในครานี้ผู้ใดจะเป็ผู้กระทำ หรือผู้ใดจะเป็ผู้ถูกกระทำกันแน่
เสียงการฆ่าฟัน เสียงกรีดร้องโหยหวนดังแววออกมาจากหุบเขาเบื้องหน้าเป็ระยะ ทว่านั่นก็มิอาจสั่นคลอนจิตใจของผู้เป็แม่ทัพที่อยู่เบื้องหน้าภิกษุชราได้
ใช่แล้ว สิ่งที่สีกาท่านนี้ปรารถนาคือฆ่าเหล่าอริศัตรูไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งดวงิญญา บุคคลตรงหน้าท่านก็มิอาจปล่อยให้เข้าสู่วัฏสงสาร
แรงอาฆาตช่างมากมายิ่งนัก แม้บุคคลที่ยืนตระง่านอยู่เบื้องหน้าของท่านจะเป็แม่ทัพที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ บารมี ทว่าอาการาเ็จากการสละอายุขัยจะทำให้ร่างเล็กๆ นี่ทนรับแรงอาฆาตจากดวงิญญาของเหล่าทหารกล้าทั้งกองทัพได้เช่นไร
"เช่นนั้นอาตมาจะช่วยทำพิธีเพื่อลดแรงปะทะจากไอพิฆาตที่จะย้อนกลับมาหาตัวผู้สร้างค่ายกล ท่านแม่ทัพเห็นว่าสมควรหรือไม่ ถือว่าอาตมาได้ไถ่บาปที่มองเจตนาของท่านผิดไป"ภิกษุชราหลับตาลงพนมมือคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
"หากทำแล้วท่านภิกษุสบายใจก็เชิญ อย่าให้ข้าได้ยินบทสวดส่งดวงิญญาอีกล่ะ จำไว้ท่านไม่มีโอกาสครั้งที่สาม"หญิงสาวจ้องตาภิกษุชราด้วยสายตาอันว่างเปล่า
"อาตมาจะจำคำของท่านแม่ทัพให้ขึ้นใจ"กล่าวจบเหล่าภิกษุทั้งห้าก็เริ่มบทสวดในพิธีกรรมทันที ครั้งนี้เสียงสวดดังก้องกังวานเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอันแน่วแน่
ซ่างกวนจือหลินไม่ได้ให้ความสนใจกับเหล่าภิกษุเท่าใดนัก หญิงสาวเดินมาหยิบง้าวจันเสี้ยวแล้วกลับไปขึ้นนั่งบนม้าของตนแล้วรอเวลาอย่างใจเย็น
นางกำลังรอให้การสังหารสิ้นสุดลง ในขณะเดียวกันก็นึกทบทวนเนื้อหาในบันทึกการสร้างค่ายกลของท่านปู่บรรพบุรุษไปมา ในครานั้นที่ท่านตัดสินในสร้างค่ายกลเก้าสังหารเพราะตัวท่านทนให้ายืดเยื้อไปมากกว่านี้ไม่ได้
'สามสิบปี...าระหว่างกลุ่มชนน้อยใหญ่ดำเนินมาดูท่าแล้วจะไม่มีวันจบสิ้น กองทัพทุกกลุ่มต่างรบกันอย่างห้าวหาญ ทว่าผู้ที่ต้องทนทุกข์ที่สุดคือประชาชน หลายครอบครัวเสียบิดา หลายครอบครัวเสียสามี และมีอีกหลายครอบครัวเสียบุตรชายที่ตนหวังพึ่งพิงยามแก่เฒ่า
เหล่าสตรีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ชราต่างก็ต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัส ข้ามองเห็นความโหดร้ายที่ว่านั่นมาตลอดสามสิบปีของการทำา ยามข้าหลับตานอนในแต่ละคืน ตัวข้าหวังว่ายามเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ าจะสิ้นสุดลง
ครอบครัวจะกลับมาเป็ครอบครัว บ้านจะกลับมาเป็บ้าน แคว้นจะมั่นคงเป็บึกแผ่น
ข้าต้องเสียสละบางสิ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่ง นั่นเป็หลักการอันชอบธรรม ข้าเริ่มแก่ชราลงไปทุกที ลูกหลานต่างก็มีครบถ้วนถึงเวลาที่จะจบาอันโหดร้ายนี่ลงเสียที
ค่ายกลเก้าสังหาร ที่ข้าใช้เวลาคิดค้นและพัฒนามากว่าสามสิบปีในการออกรบไปทั่วใต้หล้า บัดนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว'…
'ในทีสุดาก็สิ้นสุด พวกเราสามตระกูล หลี่ เฉิน ซ่างกวน ร่วมกันสถาปนา'ต้าซ่ง'
ทุกคนต่างยกย่องสรรเสริญ ฮ่องเต้จะแต่งตั้งข้าเป็ชินอ๋อง ทว่าตัวข้ากลับปฏิเสธแล้วปลีกตัวออกมาจากความวุ่นวาย ไม่ใช่ว่าข้ารักสงบอะไร แต่เป็เพราะผลจากการสร้างค่ายกล เพราะยินดีรับแรงอาฆาตจากคนที่ตายไปแล้วทำให้พลังชีวิตของข้าลดหายไปในทุกๆ วัน
ข้าจะตายในอีกไม่ช้า เพื่อซ่อนตระกูลซ่างกวนจากโลกภายนอก ข้าจึงใช้สนามรบแห่งนั้นที่ยังเหลือไอพิฆาตจากาเพียงเล็กน้อยสร้างค่ายกลอำพรางขึ้นมา พาเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาและครอบครัวตั้งรกรากนับแต่นั้นมา
ทุกๆ วันข้าต้องเผชิญกับความทุกทรมาน ความทุกทรมานในดวงจิต ความทุกทรมานในดวงิญญา เนื่องจากในตัวได้รับเอาสิ่งที่ไม่เป็มงคลเข้ามา หลังจากที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงแล้ว ข้าก็คงต้องจากไปในอีกสามวันข้างหน้าแล้ว นับรวมๆ กันก็หนึ่งปีเท่านั้นที่ตัวข้าพยายามยื้อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อเพิ่มอีกสักหนึ่งวัน
ทายาทแห่งข้า หากไร้ซึ่งการเสียสละ ก็ยากที่จะชนะในาได้'
ใช่หากไม่เสียสละ จะทำการใหญ่ได้เช่นไร หนึ่งปีหลังจากนี้ก็ถือว่าเพียงพอให้ส่งทุกคนที่ติดค้างข้าลงนรกได้จนหมดสิ้น
คิดๆ ดูแล้วนางควรแต่งงานหรือไม่นะ หากตนต้องจากไปอย่างรวดเร็วมันจะไม่เป็การเอาเปรียบพี่ชายแซ่เฉินหรอกหรือ
แต่ว่านี่เป็คำสั่งจากท่านปู่บรรพบุรุษมันต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน หรือว่าตัวข้าที่เป็สตรีเปิดใช้ค่ายกลเก้าสังหารแล้วจะให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป
นี่มีความเป็ไปได้ ช่างเถิด...บุรุษหากเมียตายเดี๋ยวภรรยาคนที่สองคนที่สามก็ตามมาเอง
ก่อนอื่นให้คนเขายอมแต่งงานด้วยเสียก่อนถึงจะพูดในลำดับต่อไปได้นะ
คิดวกวนเลื่อนเปื้อนไปเสียมากจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เมื่อกวาดสายตาสำรวจไปโดยรอบก็เห็นภิกษุทั้งห้ากำลังเดินมาหานางอย่างช้าๆ
"เหตุการณ์ภายในหุบเขาสิ้นสุดลงแล้ว หากท่านแม่ทัพเสร็จจากตรงนี้แล้วขอเวลาอาตมาพูดคุยกับท่านสักครู่"เป็ภิกษุชราที่เอ่ยวาจาขึ้นมา
"ได้ ท่านรออีกไม่เกินหนึ่งชั่วยาม ข้ายังมีสาหายที่ต้องทักทายกันนานสักหน่อย" ซ่างกวนจือหลินจดจ้องเงาร่างคุ้นตาที่กำลังเดินออกมาจากทางหุบเขาช้าๆ
"เช่นนั้นอาตมาจะไปรออยู่ด้านนั้นไม่ขอรบกวนเวลาของท่านแม่ทัพ"ภิกษุชราพนมมือแล้วเดินนำเหล่าลูกศิษย์ออกไปทันที
ซ่างกวนจือหลินไม่ได้ละสายตาไปจากร่างสูงใหญ่ องอาจเปี่ยมไปด้วยพละกำลังของเย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋เลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเดินถือดาบเล่มใหญ่ที่ชุ่มโชกไปด้วยเื ั์ตาแดงก่ำราวกับสุนัขจนตรอกตัวหนึ่ง เข็มเงินเล่มบางเฉียบราวกับเส้นไหมถูกยิงออกไปจากอาวุธลับของหญิงสาวทันที่ที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาถึงระยะสังหาร
แม้ชายหนุ่มจะรับรู้ได้ถึงไอสังหารอันเย็นเยียบและยกดาบขึ้นปัดออกได้อย่างทันท่วงที ทว่าอาวุธลับที่ยิงออกมานั้นมากมายราวกับขนวัว จนมิอาจต้านทานได้ทั้งหมด ร่างสูงใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารพลันแข็งทื่อทันทีที่พิษจากอาวุธลับออกฤทธิ์ในชั่วอึดใจ
ชายหนุ่มเบิกตากว้างมองใบหน้าอันงดงามของคนร่างเล็กที่นั่งอยู่บนอาชาศึกอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วร่างอันใหญ่โตของเย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋ก็ล้มตึงลงบนพื้นอย่างแรง แม้จะเป็เช่นนั้นแต่สติรับรู้ของเขายังแจ่มชัดยิ่งนัก เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ย่ำหิมะเข้ามาใกล้เรื่อยๆ มันดังกึงก้องเข้าไปในใจของนักรบหนุ่ม จนเ้าตัวปรากฏความหวาดหวั่นลึกๆ ขึ้นมา
เมื่อเห็นศัตรูเข้ามาอยู่ในครรลองสายตาเขาก็ต้องเบิกตามอง สายตาเ็าที่เหลือบลงมามองเขา แม้จะเต็มไปด้วยความเ็าทว่าดวงตาอันดำขลับนั้นกลับว่างเปล่าราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
"ต่ำ...ช้า"เย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยความคั่งแค้นระคนไม่ยินยอมกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเช่นนี้ เขาเป็นักรบ เขามั่นใจว่าตนเองเก่งกล้า ทว่ากลับต้องมาพ่ายแพ้ในกับวิธีการสกปรกเช่นนี้!
"นี่เ้ากำลังต่อว่าตนเองอยู่รึ เ้าก็รู้ตัวเองนี่ว่าต่ำช้าเพียงใด การตอบแทนความต่ำช้าด้วยความต่ำช้าเช่นเดียวกันมันจะเสียหายตรงไหนกันล่ะ?
อย่าได้คร่ำครวญราวอิสตรี ขนาดข้าที่เป็สตรียังไม่โยเยเท่าบุรุษตัวโตเช่นเ้าเลย"ซ่างกวนจือหลิน ยกยิ้มอย่างเ็าพลางถอดหมวกเกราะทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี ร่างเล็กลงจากหลังม้าพร้อมกับถุงหนังที่ถืออยู่ในมือ เส้นผมสีดำขลับแซมไปด้วยสีเงินประปรายขับเน้นให้หญิงสาวดูเ็าและงดงาม
ราวกับหญิงสาวในชุดเกราะผู้นี้มิใช่มนุษย์ แต่เป็ส่วนผสมของมารและเทพเซียนในคนๆ เดียว
"หมาลอบกัด...แพศยา!"เป็อีกครั้งที่คนกำลังจะตายเร่งเวลาชีวิตของตนเองให้ลดสั้นลงเรื่อยๆ
"เ้า-มัน-ไร้-ค่า เกินกว่าที่ข้าจะเสียเวลามารบด้วยเป็เดือนๆ แค่วิธีการนิดหน่อยก็สารมารถกวาดล้างกองทัพทมิฬที่พวกคนเหลียวอย่างเ้าภูมิใจหนักหนา
แล้วรู้หรือไม่ต่อไปข้าจะทำเช่นไร"หญิงสาวย่อตัวลงไปเพื่อที่จะจ้องตาอีกฝ่ายได้อย่างถนัด
"..."
"ข้าจะกรีฑาทัพเยียบแผ่นดินเหลียวให้ราบเป็หน้ากลอง ตัดหัวฮ่องเต้จอมสับปลับ หั่นฮองเฮาเป็ชิ้นๆ แล้วนำไปโยนให้สุนัขกิน เ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่"หญิงสาวชักมีดสั้นออกจากฝักใช้ปลายอันแหลมคมไล้ใบหน้าอันหล่อเหลาอย่างช้าๆ
"เ้าไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น! สองแคว้นมีสัญญาต่อกันไว้แล้ว!"
"น่าขันจริง เ้าเป็ผู้ฉีกสัญญาที่ว่านั่นเองนะเย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋"
"เช่นนั้นจะฆ่าก็รีบลงมือ จะพล่ามให้เสียเวลาทำไม"
"เ้าจะไม่ตายง่ายๆ หรอกยอดรัก ให้เ้าได้ลิ้มรสการถูกหั่นเป็ชิ้นๆ เสียก่อนค่อยลงนรกเถิดนะ"แล้วหญิงสาวก็เริ่มลงมือทำในสิ่งที่กล่าวอย่างคนใจเย็น เชื่องช้า พิถีพิถัน
ศีรษะของรัชทายาทหนุ่มถูกตัดบรรจุลงกล่องเพื่อนำกลับไปยังเมืองหลวง
หัวใจที่ยังเต้นตุบๆถูกควักออกมาใส่กล่องใบเล็กเป็ลำดับสุดท้าย น่าแปลกหัวก็ถูกตัดไปแล้วทว่าหัวใจยังคงเต้นได้ ช่างมีเืนักสู้จริงๆ
ลำคับต่อไป ก็เป็ราชวงศ์เย่ว์ลู่ ต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นพวกมันจะได้หมดความคิดที่จะแว้งกัดต้าซ่งไปอีกนาน
ซ่างกวนจือหลินเช็ดหยาดโลหิตที่เปรอะเปื้อนใบหน้าอย่างช้าๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มน่ารักคลี่ยิ้มอย่างคนกระหายเื
[1]ไม้เท้านี้เรียกว่า "ขักขระ" เป็หนึ่งในอัฏฐารสบริขาร (十八物)
หรือเครื่องใช้ 18 อย่างของพระภิกษุ (ระบุในพรหมชาลสูตรฝ่ายมหายาน) สำหรับใช้ถือมือขวาเวลาออกบิณฑบาต (มือซ้ายถือบาตร) เมื่อไปถึงบ้านโยม พระสงฆ์จะเขย่าขักขระ 3 ครั้งบอกว่าพระมาโปรดแล้ว