เหยียนชิงไม่ได้อยู่ที่หอชิงเฟิง เขาถูกฮูหยินเหยียนเรียกตัวไปเพื่อพูดคุยเื่ต่าง ๆ เว่ยซูหานลงมือทำอาหารด้วยตนเองและกำลังรอให้เขากลับมาทานด้วยกัน ทุกคนในจวนต่างร่วมมือกันช่วยงานของตระกูลถัง มีเขาผู้เดียวที่ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือสอบถาม ทุกวันทำเพียงแค่จัดการเื่ในจวน หากไม่มีเื่ใดก็นอนพักอยู่ในเรือน แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
หลังจากหลินชวนคิดทบทวนเกี่ยวกับเื่ของซือเยี่ยแล้วจึงเข้าไปบอกเว่ยซูหาน
ยามได้รับฟังใบหน้าของเว่ยซูหานก็เริ่มเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม เมื่อมาถึงห้องของซือเยี่ยแล้วเห็นชายที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพที่น่าเวทนาก็ให้รู้สึกเ็ปในหัวใจ
หลินชวนก้มศีรษะลงพร้อมกล่าวโทษตนเอง
“เป็ข้าที่ผิด ไม่ดูแลเขาให้ดี...”
“ไม่โทษเ้า... ทุกคนล้วนมีงานต้องทำจึงไม่สามารถเฝ้าดูได้ตลอดเวลา ซือเยี่ยเองก็ไม่ใช่เด็กที่ไม่อาจแยกตัวออกไปได้...”
เว่ยซูหานส่ายหัว เขาเม้มปากแล้วพูดต่อไปว่า
“เ้าไปหาอะไรกินสักหน่อยเถอะ เสร็จแล้วก็ไปหาฮูหยินถังอีกครั้ง บอกไปว่าคุณชายให้มาถามเหตุผล ถามพวกเขาว่าซือเยี่ยทำอะไรผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงจนถึงกับต้องถูกลงโทษเช่นนี้ อย่างไรก็ตามซือเยี่ยก็เป็คนในปกครองของคุณชายใหญ่ จะตีสุนัขยังต้องมองเ้าของ[1] มันไม่มากเกินไปหรือที่ให้คนทำเช่นนี้โดยไม่แจ้งชิงเอ๋อร์ก่อน หากไม่มีเหตุอันสมควรก็ให้พวกเขารอคุณชายใหญ่กลับมาจัดการเถอะ”
หลินชวนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ขอรับ”
เว่ยซูหานโบกมือให้เขา “ไปเถอะ ข้าจะดูแลทางนี้เอง ยามเ้าออกไประหว่างทางก็ช่วยบอกให้ไป่เส่านำอ่างผสมน้ำร้อนเข้ามาด้วย”
เมื่อหลินชวนถอยออกไป ไป่เส่าก็นำน้ำร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว เว่ยซูหานสั่งให้นางไปต้มยาให้ซือเยี่ยและหาอะไรให้เขากินสักหน่อยก่อนจะให้นางออกไป
หลังจากเว่ยซูหานมองคนบนเตียงด้วยสายตามืดมนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปปิดประตูจากด้านใน แล้วเดินกลับไปที่เตียงของซือเยี่ยเพื่อเช็ดหน้าเช็ดมือให้เขา จากนั้นจึงเริ่มปลดเสื้อผ้าของเขาออกด้วยใจที่เป็กังวลอย่างไม่อาจพูดออกมาได้
เมื่อเห็นว่าบนลำคอของซือเยี่ยมีร่องรอยมากมายหัวใจของเขาก็เริ่มดิ่งลง นิ้วสั่นเล็กน้อย ผิวของซือเยี่ยขาวมาก แม้จะเกิดรอยเพียงเล็กน้อยก็ยังสามารถเห็นได้ชัดเจน แต่เมื่อถอดเสื้อผ้าของอีกคนออกจนเหลือแค่กางเกงซับในที่ท่อนล่างแล้วไม่พบร่องรอยที่น่าสงสัยอีกเขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ในชาติที่แล้วความทรงจำที่มีต่อเหยียนิฮ่วนนั้นเลวร้ายมากเกินไป ในยามที่เขาฟังคำบอกเล่าจากหลินชวนเขาก็คิดถึงมันขึ้นมา โชคดีที่คนผู้นี้หนีพ้นออกมาได้และไม่ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา โชคดีจริง ๆ...
หลังจากยืนยันได้ว่าซือเยี่ยไม่ได้ถูกทำอะไรอย่างนั้น เว่ยซูหานก็โยนชุดสกปรกของเขาทิ้งไปแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของเขาเอาไว้ นั่งกุมมืออยู่ข้างเตียงที่มีประกายไฟวูบวาบพร้อมกับขมวดคิ้วไปมาอยู่ตลอดเวลา เศษเสี้ยวความทรงจำอันสุดแสนจะอัปยศของชาติที่แล้วปรากฏขึ้นมาในใจอีกครั้ง เขากัดฟันแน่นคิ้วยังสั่นไหวไปด้วยร่องรอยของความโหดร้าย
เหยียนิฮ่วนเป็สุนัขที่กล้าหาญ[2] กำลังจะแต่งงานในอีกไม่ช้ายังจะสร้างปัญหาได้อีก ในชาตินี้เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับตระกูลเหยียนจึงคิดว่าเขาคงเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าคนเลวมันช่างเปลี่ยนยาก ขยะเช่นนี้ให้ตายไปเสียคงจะดีกว่า... เพียงแต่ ลืมเื่การฆ่าคนก่อนงานแต่งครั้งใหญ่ของเขาไปได้เลย เพราะมันเป็การทำร้ายผู้บริสุทธิ์...
“อืม...”
ซือเยี่ยที่อยู่บนเตียงตื่นขึ้นมาช้า ๆ ทันใดนั้นก็เห็นชายที่กำลังนั่งแสดงความอาฆาตอยู่ข้างเตียงจึงรู้สึกหวาดกลัวเป็อย่างมาก สติที่ยังมีความสับสนอยู่เล็กน้อยตื่นตัวขึ้นมาในทันที
“ตื่นแล้วหรือ?” เว่ยซูหานระงับความโกรธที่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจ มองดูเขาแวบหนึ่งพร้อมกับพูดจาปลอบโยน “ใจเย็น ๆ นี่ข้าเอง”
“เอ่อ... ฮู... ฮูหยินน้อย... เป็ท่าน...”
อาการตึงเครียดของซือเยี่ยผ่อนคลายลงในทันที แม้ว่าเว่ยซูหานจะเ็าต่อผู้อื่นมาก มีเพียงในยามที่อยู่ต่อหน้าเหยียนชิงเท่านั้นที่เขาจะแสดงความอ่อนโยนออกมา แต่มันกลับทำให้สามารถอุ่นใจได้ ความอาฆาตเมื่อครู่นี้คงเป็ภาพลวงตา...
เขารีบลุกขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ตอนนั้นเองที่รู้ตัวว่าตนเองกำลังเปลือยเปล่าโดยมีเพียงกางเกงซับในแค่ตัวเดียว รู้สึกเขินอายจนต้องหดตัวกลับเข้าไปใหม่ สายตาจ้องมองไปที่เสื้อผ้าของตนที่ตกอยู่ข้างเตียง แล้วก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา ไม่ใช่ฮูหยินน้อยที่เปลื้องผ้าเขาใช่ไหม...
เขารู้สึกผิดมาก เขาสร้างปัญหาให้ผู้อื่นอีกแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เว่ยซูหานดูแลเขา ในยามที่เขาและเหยียนลั่วล้มป่วยที่เมืองหนานฮั่นก็เป็เว่ยซูหานที่ดูแลพวกเขาเช่นกัน
“เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วค่อยพูด”
เว่ยซูหานเห็นความอับอายของเขา จึงยืนขึ้นก่อนจะเดินออกไปด้านนอกเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
ซือเยี่ยเห็นว่าเขาเดินเลี่ยงหายไปในฉากกั้น จึงรีบลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่หีบเสื้อผ้าเพื่อหาชุดมาใส่
เมื่อเว่ยซูหานเดินกลับมาเขาก็นั่งอยู่บนขอบเตียงโดยที่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ใบหน้ายังคงซีดเซียว และด้านที่ถูกตบก็ยังบวมอยู่มาก มุมปากจึงดูเบี้ยวไปเล็กน้อย ด้านข้างยังคงมีรอยฟกช้ำ
มองที่ลำคอเพียงชั่วครู่ เว่ยซูหานก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วลงอีกครั้ง นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามเขา ด้วยไม่อยากอ้อมค้อมจึงถามออกไปตรง ๆ ว่า
“ถูกเหยียนิฮ่วนทำร้ายมาใช่หรือไม่?”
“…” ซือเยี่ยอ้าปากค้าง หลังจากขยับริมฝีปากไปมาอยู่สักพักก็ก้มหัวลง กำมือเอาไว้เงียบ ๆ ความเ็ปบนมือขวากำลังกระตุ้นเส้นประสาทของตน ยังคิดว่าเขาจะถามหาสาเหตุ แต่ไม่คิดว่าเขาจะถามอย่างตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้...
“ซือเยี่ย บอกความจริงกับข้า ไม่ต้องกลัว” เว่ยซูหานพูดให้กำลังใจเบา ๆ “เหยียนิฮ่วนเป็เช่นไร ข้ารู้ดี”
คำว่าสัตว์เดรัจฉานใต้หมวก[3]นั้น ราวกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเหยียนิฮ่วน
ไหล่ของซือเยี่ยสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ ผ่านไปสักครู่น้ำตาก็เริ่มหยดใส่หลังมือทีละหยด เขากัดริมฝีปากจนเืไหลก่อนจะพูดอย่างละล่ำละลักว่า
“ฮูหยินน้อย ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด มันเป็เจตนาชั่วร้ายของเขาที่มีต่อข้า...”
เดิมทีเขาเตรียมใจที่จะอดทนกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจไว้แล้ว และเตรียมตัวรอรับการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง แต่ด้วยกำลังใจจากเว่ยซูหานที่บอกให้เขาเล่าความจริง เขาจึงเล่าถึงความอัปยศอดสูและวิธีการเอาตัวรอดออกไปทีละขั้นตอนจนหมด
ยิ่งเว่ยซูหานได้ฟัง มือของเขาที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งกำแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในชาติที่แล้วไม่รู้ว่าเหยียนิฮ่วนทำสิ่งสกปรกมากมายเพียงใดลงไปบ้างกับตัวเขา สัตว์เดรัจฉานยังดีเสียกว่า สิ่งที่เขารับรู้มานั้นมีไม่น้อย ไม่รวมกับสิ่งที่เขายังไม่รู้
“ทุกอย่างที่ข้าพูดไปคือเื่จริง...”
หลังจากที่ซือเยี่ยเล่าจบ เขาก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา หากเขาไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ ไม่อยากคิดถึงผลที่จะตามมาเลย บัดนี้โฉมหน้าได้ถูกฉีกกระชากไปแล้ว ไม่แน่ว่าเหยียนิฮ่วนอาจจะอยากฆ่าเขา
“ข้าเชื่อเ้า” เว่ยซูหานตอบกลับไปสั้น ๆ “วางใจเถอะ ข้าจะบอกชิงเอ๋อร์เอง เราจะเรียกร้องความยุติธรรมให้เ้า”
“ขอบคุณขอรับฮูหยินน้อย...”
ซือเยี่ยลุกขึ้นกล่าวขอบคุณเขา ความรู้สึกอึดอัดในใจหายไป จากในอดีตที่ต้องทนรับความอัปยศมานานหลายปี บัดนี้์คงเริ่มอวยพรให้เขาแล้วจริง ๆ
ในยามนี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก เป็ไป่เส่าผู้ที่ไปเตรียมอาหารและยามาให้
เว่ยซูหานลุกขึ้นตบไหล่ของเขาด้วยมือทั้งสอง
“หลังจากกินข้าวกินยาแล้วก็พักผ่อนให้มาก ๆ ไม่ต้องคิดมาก ข้ากับชิงเอ๋อร์จะจัดการเื่นี้เอง ซือเยี่ย ข้าและพี่ใหญ่เป็ผู้พาเ้ากลับมา เราย่อมต้องปกป้องเ้าและทำให้เ้าได้มีชีวิตที่ดีต่อไป หากได้รับความคับข้องใจก็ไม่จำเป็ต้องแบกรับไว้ เ้าต้องพูดมันออกมา การอดทนเพราะไร้กำลังสามารถนำคนไปสู่ความสิ้นหวังได้”
เขาต้องทุกข์ทนในชีวิตก่อนเพียงเพราะไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ดังนั้นหลังจากที่ได้รู้ว่าซือเยี่ยมีประสบการณ์คล้ายกับเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจ
เื่นี้ไม่สามารถจบด้วยดีได้ เขายังไม่อาจลงมือ ต้องรอเหยียนลั่วกลับมาก่อน หากเหยียนลั่วไม่สนใจถึงค่อยว่ากันอีกที
“ข้าทราบแล้ว” ซือเยี่ยพยักหน้า “ขอบคุณขอรับฮูหยินน้อย”
เว่ยซูหานออกไปจากเรือนเซียวเหยา ซือเยี่ยเมื่อได้ทานอาหารและดื่มยาแล้วอารมณ์ของเขาก็สงบลง หลังจากอาบน้ำอย่างระมัดระวังแล้วก็มานั่งไตร่ตรองอย่างจริงจังอยู่บนขั้นบันไดนอกทางเดิน หวนคิดถึงสิ่งที่เหยียนิฮ่วนกล่าวไว้ในยามที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเหยียนิฮ่วน เหยียนลั่วไม่ชอบผู้ชาย
ใช่แล้ว เหตุใดเขาจะไม่รู้เล่า? ั้แ่วันแรกที่เหยียนลั่วช่วยเขาเอาไว้ เขาก็รู้แล้วว่าเหยียนลั่วไม่ชอบผู้ชาย
ในยามนั้นเขาวิ่งออกมาจากจวนอ๋องฉางอัน นอกจากจะติดโรคระบาดแล้วยังถูกวางยาโดยบรรดาพวกสารเลวที่ส่งตัวเขาไป หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากเหยียนลั่วจึงเข้าหาเหยียนลั่ว แล้วก็ถูกเหยียนลั่วทุบด้วยฝ่ามือไปทีหนึ่งจนล้มลง ในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้นมาภายใต้น้ำเย็น ๆ ที่ถูกผสมด้วยผงยา
“เสียใจด้วยนะ ข้าไม่ชอบผู้ชาย”
นี่คือประโยคแรกที่เหยียนลั่วพูดกับเขาหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา
ไม่ใช่เพราะเขามั่นใจในตนเองสูง แต่ในโลกที่โหดร้ายนี้ผิวพรรณของเขามันมีมูลค่ามากมายจริงๆ... เมื่อใดก็ตามที่ชายหนุ่มมีความอยากรู้อยากลองก็จะไม่สามารถปฏิเสธความ้าได้ ความเฉยเมยของเหยียนลั่วเป็หนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจขอพึ่งพิง
เหยียนลั่วเป็คนที่หากมองเพียงผิวเผินจะดูเป็ผู้ที่ชอบทำตัวตามอำเภอใจแต่ในความจริงแล้วเขาเป็บุคคลผู้มีศีลธรรมอันสูงส่งและมีความประพฤติดี อย่ามองว่าคนผู้นั้นดูไม่จริงจัง เขาเป็ดั่งกระจกเงาที่อยู่ในใจ[4] มีความสง่างามและมีเกียรติสมกับเป็ลูกหลานของตระกูลขุนนาง ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวังและมีเหตุผล หลังจากที่ได้รับรู้ตัวตนของเขาแล้วจึง้าจะขับไล่เขาไปเพียงเพราะไม่อยากให้มีผลกระทบมาถึงตระกูลเหยียน...
เว่ยซูหานออกจากเรือนเซียวเหยาแล้วกลับมาที่หอชิงเฟิง เหยียนชิงกลับมาแล้ว เขานั่งอยู่ที่โถงด้านข้างที่ซึ่งพวกเขามักใช้ในการรับประทานอาหาร ยังมีหลินชวนที่กำลังรายงานสถานการณ์ให้เขาทราบ สีหน้าของเหยียนชิงแย่มาก การแสดงออกของเขาเ็าราวกับน้ำค้างที่เกาะตัวรวมกันเป็ชั้น ๆ
“ชิงเอ๋อร์”
“ซูหาน ทางด้านของซือเยี่ยเป็อย่างไรบ้าง?” หลังจากเหยียนชิงสั่งให้หลินชวนถอยออกไปก็มองมาอย่างช้า ๆ “ตื่นขึ้นมาหรือยัง?”
“ตื่นขึ้นมาแล้ว” เว่ยซูหานตอบกลับ “สภาพจิตใจก็มั่นคงแล้ว ข้าบอกให้เขาพักผ่อนให้มากและไม่ต้องคิดมากอีก”
“ดีแล้ว” เหยียนชิงรู้สึกโล่งใจ หลังจากที่เว่ยซูหานนั่งลงข้าง ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า
“ตอนที่ข้าอยู่กับท่านแม่มีคนมาจากฝั่งของฮูหยินถัง บอกว่าซือเยี่ยไม่ระมัดระวังจึงทำลายข้าวของในจวนถังไปไม่น้อย ด้วยความโกรธเพียงชั่ววูบทำให้เหยียนิฮ่วนเผลอลงมือตบเขาไป หลินชวนไปตรวจสอบมาแล้ว ล้วนเป็เครื่องเคลือบดินเผาที่เหยียนิฮ่วนมักจะเก็บสะสม แม้จะไม่แพงมาก แต่ก็ยังเป็ของดี...”
“ผู้กระทำความผิดชิงฟ้องก่อน! ชิงเอ๋อร์เ้าเชื่อหรือไม่?”
เว่ยซูหานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาปรากฏแววอาฆาต ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่เชื่อข้อแก้ตัวโง่ ๆ เช่นนั้น ด้วยในความจริงแล้ว เขายัง้าปกป้องซือเยี่ย
“ในสายตาเ้าข้าดูโง่นักหรือ?” เหยียนชิงถามกลับ เหลือบมองเขาแล้วดึงมือเขามาบิดไปทีหนึ่งก่อนจะพูดอย่างเ็าว่า
“ซือเยี่ยเป็คนทำงานอย่างรอบคอบ เป็ผู้ที่ใจดีและอ่อนโยน จะทำลายสิ่งของโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร อีกทั้งหน้าที่ของเขาคือดูแลดอกไม้และต้นไม้ในสวน จะวิ่งไปห้องโถงที่เหยียนิฮ่วนอาศัยอยู่ได้อย่างไร เกรงว่าคงมีคนขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ[5] สุดท้ายจึงเป็ผู้กระทำความผิดที่มาชิงฟ้องก่อน”
เว่ยซูหานจับมือของเขาขึ้นมาแตะริมฝีปากแล้วจูบลงไป “ชิงเอ๋อร์ฉลาดเช่นนี้เสมอ”
หูของเหยียนชิงร้อนขึ้นมาก่อนจะถามอย่างจริงจังว่า “ซือเยี่ยว่าอย่างไรบ้าง ได้รับาเ็หรือไม่?”
“สัตว์เดรัจฉานผู้นั้นทำไม่สำเร็จ...”
เว่ยซูหานเล่าไปตามความจริงที่ตามซือเยี่ยบอกกล่าวออกมา เหยียนชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากได้ยินเช่นนี้
“เื่นี้ไม่อาจจัดการให้ดีได้ ข้าจะบอกกับพี่ใหญ่ด้วยตนเอง เขาน่าจะใกล้กลับมาถึงจวนแล้ว ในสองวันนี้ต้องดูแลซือเยี่ยให้ดี ทางด้านท่านแม่ข้าบอกแล้วว่าขอให้นางเพิกเฉยต่อเื่นี้ไปเสีย ดูว่าพี่ใหญ่จะว่าอย่างไร สุดท้ายแล้วซือเยี่ยยังเป็คนของพี่ใหญ่ หากพี่ใหญ่มีเจตนาที่จะระงับข้อพิพาทและอยู่อย่างสงบ ก็ยังไม่สายเกินไปที่เราจะเข้าไปแทรกแซง”
“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” เว่ยซูหานเห็นด้วยกับเขา คิดไปคิดมาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าจะส่งใครสักคนให้คอยปกป้องซือเยี่ยอย่างลับ ๆ”
เดิมคิดว่าซือเยี่ยจะปลอดภัยตราบใดที่เขายังอยู่อย่างสงบ คาดไม่ถึงว่าจะมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงต้องส่งคนมาคอยแอบปกป้อง
“เอาตามที่ฮูหยินเห็นสมควร” เหยียนชิงยิ้ม ก่อนจะถูท้องของตน “เอาล่ะ ในยามนี้คงควรพอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ข้าจะไปหาซือเยี่ย ดึกมากแล้ว ท้องก็หิวแล้ว...”
เว่ยซูหานลุกขึ้นแล้วก้มศีรษะลงจูบเขา “วันนี้ข้าเป็พ่อครัวเอง เ้ารอข้าไปนำอาหารมาสักครู่”
เหยียนชิง “ได้”
ฮูหยินของเขาในยามนี้ยิ่งนานวันยิ่งเป็ภรรยาที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
เชิงอรรถ
[1] ตีสุนัขยังต้องมองเ้าของ (打狗还要看主人 / 打狗看主人) หมายถึง การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในระดับก่อนลงโทษหรือแก้แค้น และไม่กระทำการหรือออกคำสั่งให้ผู้อื่นปฏิบัติโดยง่ายเพื่อหลีกเลี่ยงผลที่ตามมา
[2] สุนัขที่กล้าหาญ (狗胆包天) หมายถึงคนเลวที่มีความกล้า บรรยายพฤติกรรมคนเลว ๆ ไร้จรรยาบรรณ ทำทุกอย่างเพื่อความ้าของตนเอง
[3] เดรัจฉานใต้หมวก (衣冠禽兽) หมายถึงผู้ที่แสร้งว่าตนมีศีลธรรมแต่แท้จริงแล้วกลับแอบประพฤติเสื่อมทราม น่ารังเกียจ
[4] ดั่งกระจกเงาที่อยู่ในใจ (心里明镜似的) หมายถึง การรู้ทุกอย่างแต่ไม่แสดงออก ก็คือการที่มีใครบางคนที่ดูเหมือนไม่รู้อะไรเลย แต่จริงๆ แล้วรู้ทุกอย่าง
[5] ขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ (偷鸡不成蚀把米) หมายความว่า ไม่ได้ในสิ่งที่ตนเอง้าแถมยังต้องพบกับความสูญเสียอีกด้วย หรือพยายามจะฉวยโอกาสแต่ทำไม่สำเร็จทั้งยังต้องขาดทุนอีกต่างหาก
